ลูก้า โมดริช เกิดที่ ซาดาร์ ยูโกสลาเวีย ระหว่างสงครามแยกประเทศของโครเอเชีย ด้วยพรสวรรค์ด้านฝีเท้าที่เกินหน้าเกินตาเพื่อนรุ่นเดียวกัน โมดริช ได้เซ็นสัญญากับ ดินาโม ซาเกร็บ ตอนอายุ 17 ปี ในปี 2002 ก่อนที่อีก 3 ปีต่อมาจะได้สัญญาถาวร เขาช่วยให้ ดินาโม ซาเกร็บ คว้าแชมป์ลีกในฤดูกาล 2006-07 อีกทั้งยังได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของลีก ประจำปีนั้นด้วย
ก่อนที่ในปี 2008 โมดริช ได้ย้ายไปอยู่กับ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ในช่วงต้นซีซั่น ดาวเตะร่างจิ๋วรายนี้ เจองานยากพอสมควร เพราะอยู่ในช่วงปรับตัว อีกทั้งเกมในอังกฤษเล่นกันหนัก อนาคตของ โมดริช ดูเหมือนกำลังจะมืดมน แต่การเข้ามาของ แฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์ กุนซือใหม่ ทำให้ โมดริช กลับมาเป็นคนเดิมที่ฟอร์มการเล่นสุดยอดเหมือนกับที่เคยเล่นให้ ดินาโม ซาเกร็บ หลังจากถูกจับไปเล่นตำแหน่งถนัดคือหน้าต่ำ อยู่หลังกองหน้า
ก่อนที่ในปี 2012 เรอัล มาดริด คว้าตัวเขาไปร่วมทีมด้วยราคา 30 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,314 ล้านบาท) แต่ในฤดูกาลแรกกับ เรอัล มาดริด เขาไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก
แต่ปีต่อมา การเข้ามาของ คาร์โล อันเชล็อตติ ทำให้ โมดริช ได้ฉายแสงอีกครั้ง โดยเขามีสถิติการผ่านบอลที่ดีที่สุดในศึก ลา ลีกา สูงถึง 90% ก่อนที่จะพาทีมคว้าถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มาครองได้อีกด้วย
หลังจากนั้นเขาก็เข้า-ออกทีม 11 ตัวจริงมาตลอด เพราะมีปัญหาอาการบาดเจ็บอยู่เป็นระยะๆ แต่หลังจากที่เขาหายจากอาการบาดเจ็บและได้ ซีดาน มาคุมทีม เรอัล มาดริด เขาก็ยิ่งเล่นดีขึ้นเรื่อยๆ และเป็นกำลังสำคัญที่แทบจะจองพื้นที่ 11 ตัวจริงตลอด ถ้าไม่เจ็บไม่ป่วย
ซึ่งจากฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยมของเขานั้น ช่วยให้ เรอัล มาดริด ประสบความสำเร็จอย่างมาก ก้าวขึ้นไปคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้อีกถึง 3 สมัย ในปี 2016 , 2017 และ 2018 เป็นการคว้าแชมป์ถ้วยใบนี้ 3 สมัยติดต่อกันของเจ้าตัวอีกด้วย
ส่วนผลงานกับทีมชาติโครเอเชีย นั้น เขาเป็นกำลังสำคัญของทีมมาโดยตลอด จะมีหลุดจากทีมชาติไปบ้างก็ในช่วงที่บาดเจ็บเท่านั้น และในช่วงฟุตบอลโลกที่ผ่านมา เจ้าตัวได้รับคำชื่นชมในฝีเท้าอย่างมาก เพราะเป็นคนแบกทีมโครเอเชีย เข้าไปถึงนัดชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลก 2018 แม้จะพ่ายให้กับฝรั่งเศส แต่ผลงานตลอดรายการนี้ของเขานั้นสุดยอดมาก ทำให้เริ่มมีกระแสเชียร์ให้เขาได้รับรางวัล บัลลงค์ ดอร์ ในปีนี้อีกด้วย