xs
xsm
sm
md
lg

แพ้พวกเส้นใหญ่!! "เขตหวงห้ามสุวรรณภูมิ" บุกได้ ซื้อคนวงใน-ความปลอดภัยสาบสูญ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


“ขออนุญาตไม่ล้างมือ” จวกสนั่น! พฤติกรรมสุดยี้ติ่งเกาหลี เข้าเขตหวงห้ามสุวรรณภูมิ เนียนเป็นเจ้าหน้าที่กรมศุลฯ ดอดจับมือ “อี จงซอก” แถมโพสต์อวดไม่แคร์สื่อ โซเชียลฯ ถล่มเละ “คลั่งเกินลิมิต- ความปลอดภัยของสนามบินอยู่ที่ไหน” พร้อมเกิดช่องโหว่เสมอหากเส้นใหญ่พอ ฟากเฮดใหญ่สุวรรณภูมิสั่งลงดาบ จนท. แล้ว!!

เขตหวงห้ามที่ใครๆ ก็เข้าได้?!

กลายเป็นประเด็นดรามาร้อนๆ สะเทือนแวดวงแฟนคลับของ “อี จงซอก” นักแสดงและศิลปินชื่อดังจากแดนกิมจิ ในขณะนี้ หลังจากที่โลกทวิตเตอร์ “แฉ” พฤติกรรมอันน่าส่ายหัวของติ่งนางหนึ่ง ที่ใช้เส้นสายจากเพื่อน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สนามบินสุวรรณภูมิ เข้าไปยังพื้นที่หวงห้ามสำหรับคนนอก เพื่อจะได้ใกล้ชิดพระเอกดัง ซ้ำยังเกทับแฟนคลับคนอื่นแบบไม่รู้สึกผิดว่า “ได้จับมือซอกเป็นคนแรกด้วย ขออนุญาตไม่ล้างมือ”

เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อค่ำคืนของวันที่ 14 ก.ย.61 ขณะที่ “อี จงซอก” เดินทางมาประเทศไทยเพื่อร่วมงาน เวิลด์ทัวร์แฟนมีตติ้ง 2018 Lee Jong Suk Fan Meeting in Bangkok ‘CRANK UP’ ในวันรุ่งขึ้น



แต่แล้ว...ดรามาก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อมีแฟนคลับสาวคนหนึ่ง ได้อัปเดตเหตุการณ์ขณะไปรอรับพระเอกในดวงใจ ผ่าน IG Story แบบเรียลไทม์ ว่าเธอขอความช่วยเหลือจากเพื่อนที่ทำงานในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ให้ช่วยพาเข้าไปในพื้นที่หวงห้าม ด้วยการปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ศุลกากร เพื่อเข้าไปถึงจุดตรวจคนเข้าเมือง และจุดรับกระเป๋า สายพานหมายเลข 17 ที่ปกติบุคคลภายนอกไม่สามารถเข้าไปในจุดดังกล่าวได้ ก่อนที่จะโพสต์อวดผู้ติดตามว่า ตนเป็นผู้จับมือ “อี จงซอก” เป็นคนแรก

นอกจากนี้สาวคนเดิม ยังโพสต์ขอบคุณเพื่อน ด้วยภาพระหว่างคุยแชตไลน์กับเจ้าหน้าที่ที่คาดว่าเป็นคนพาเข้าไป ส่วนอีกภาพหนึ่งเป็นภาพของหญิงสาวคนดังกล่าวเอง ที่สวมสูทสีดำทับเสื้อเอวลอยและกางเกงยีนส์ขาสั้นกุด ประกอบข้อความว่า “ก่อนเปลี่ยนกางเกงปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร”



หลังจากที่เรื่องราวนี้ถูกเผยแพร่ออกไปบนโซเชียลมีเดียแล้ว ก็นำมาซึ่งความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมของแฟนคลับสาวผู้นี้และเพื่อนที่เป็นเจ้าหน้าที่อย่างไม่เหลือชิ้นดี โดยความเห็นส่วนใหญ่มองว่า ไม่มีมารยาทในการติดตามดาราที่ตนเองชื่นชอบ แถมการอวดการกระทำแบบผิดๆ นี้ ก็ดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย

ทางฟากของพื้นที่เกิดเรื่องอย่าง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ก็ถูกตั้งคำถามถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยด้วยเช่นกันเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนนอกสามารถเข้าไปยัง “เขตหวงห้าม” ที่สงวนไว้เฉพาะเจ้าหน้าที่ได้ และส่วนใหญ่คนที่พาเข้าไป ก็ล้วนแล้วแต่มีคนในคอยอำนวยความสะดวกให้ทั้งสิ้น

หากยังจำกันได้ เมื่อประมาณ 1 ปีที่แล้ว ก็เคยเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ ที่มีชายคนหนึ่ง ได้ถ่ายทอดสดเฟซบุ๊กไลฟ์อย่างสบายอารมณ์ ในขณะที่เขาเดินเข้าไปรับกลุ่มเพื่อนที่เดินทางมาจากประเทศจีน ภายในอาคารผู้โดยสารขาเข้า ประตู F5 ประจำท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ผ่านช่องทางพิเศษสำหรับผ่านเข้า-ออก ที่มีไว้สำหรับพนักงานและผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น



แต่ปรากฏว่าเขาไม่มีตั๋วเที่ยวบินหรือติดบัตรอนุญาตให้เข้าพื้นที่แต่อย่างใด กระทั่งมีการสืบหาข้อเท็จจริง ก็พบว่า บัตรที่เขายืมมาเป็นบัตรของข้าราชการตำรวจ สังกัดกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว ในเวลาต่อมาตำรวจท่องเที่ยวรายนี้ ถูกเด้งให้ไปช่วยปฏิบัติราชการในส่วนอื่นชั่วคราวเป็นเวลา 30 วัน ก่อนที่จะตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย

ส่วนความคืบหน้าของเหตุการณ์ล่าสุดนั้น ศิโรตม์ ดวงรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ก็ออกมาชี้แจงแล้วว่า ได้ตรวจสอบภาพจากกล้องโทรทัศน์วงจรปิดย้อนหลัง และทราบชื่อของเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่ร่วมกันกระทำความผิดแล้ว เหตุการณ์นี้ถือเป็นการละเมิดมาตรการการรักษาความปลอดภัย ซึ่ง ทสภ. ได้ดำเนินการแจ้งความ ณ สถานีตำรวจภูธรท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดังนี้


ย้อนเหตุการณ์ คนนอกไลฟ์ในพื้นที่หวงห้ามของสนามบินสุวรรณภูมิ

ประเด็นที่ 1 แจ้งความบุคคลภายนอก จำนวน 2 คน ข้อหา บุกรุกพื้นที่ควบคุม ทสภ.ในเวลากลางคืน ซึ่งถือเป็นคดีอาญา โทษจำคุก 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ประเด็นที่ 2 เจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจสินค้าซึ่งเป็นผู้นำพาบุคคลที่ไม่มีสิทธิ์เข้าไปยังพื้นที่หวงห้าม ข้อหา “สนับสนุนช่วยเหลือในการกระทำความผิดดังกล่าว”

และประเด็นที่ 3 เจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจสินค้าซึ่งบุคคลภายนอกทั้ง 2 คน ได้นำบัตรมาใช้เข้าพื้นที่หวงห้าม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเชิญตัวมาสอบสวนหากมีส่วนรู้เห็นในการกระทำความผิดดังกล่าว จะมีการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมต่อไป ซึ่งได้มีการระงับสิทธิ์ของเจ้าหน้าที่ศุลกากรทั้ง 2 ในระบบเป็นที่เรียบร้อยและไม่อนุญาตให้บุคคลทั้งสองเข้าพื้นที่อย่างเด็ดขาด

ทิ้งท้าย เฮดใหญ่สุวรรณภูมิ ยืนยันว่าให้ความสำคัญกับการรักษาความปลอดภัยภายในท่าอากาศยานอย่างเคร่งครัดให้เป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐานสากล ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาความปลอดภัยต่อไป

อย่า “คลั่งไคล้” จนกลายเป็น “คุกคาม”

ไม่เพียงแค่ประเด็นการพาคนนอกเข้าไปยังพื้นที่หวงห้ามจนสั่นคลอนความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัยในสนามบินแล้ว อีกประเด็นที่ถูกหยิบขึ้นมาพูดถึงไม่แพ้กัน ก็คือมารยาทการตามติ่งศิลปินดังทั้งหลาย แน่นอนว่าแฟนคลับทุกคนก็อยากใกล้ชิดศิลปินที่ตนเองชื่นชอบ แต่หากรักโดยไม่คำนึงถึงกฎระเบียบและนำมาซึ่งความอันตรายต่อตัวศิลปินเอง ก็คงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องเช่นกัน

กรณีของแฟนคลับที่คอยติดตามศิลปินไปทุกที่เพื่อหาทางใกล้ชิดทุกความเคลื่อนไหว ตลอดจนรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของศิลปิน มีคำเรียกการกระทำลักษณะนี้ว่า “ซาแซง” โดยพฤติกรรมอันน่ากลัวของซาแซงบางคน กลายเป็นการล้ำเส้น จนเข้าขั้นโรคจิตก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว



โดยเฉพาะในประเทศเกาหลีใต้ที่เป็นต้นกำเนิดของวัฒนธรรม K-Pop เหล่าไอดอลชื่อดังทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่เคยเจอแฟนคลับที่มาในรูปของซาแซงมาแล้วทั้งสิ้น ทั้งการถูกติดตามชีวิตตลอด 24 ชั่วโมง ถูกบุกไปถึงที่พักในยามวิกาล และที่สยองแบบสุดๆ มีเหตุการณ์ที่ไอดอลบางคน ถูกซาแซงแฟนส่งผ้าอนามัยใช้แล้ว พร้อมจดหมายเขียนด้วยเลือดมาให้ก็ยังมี

สำหรับประเทศไทยเอง แต่จะไม่รุนแรงแบบนั้น แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น เพราะเมื่อในปีที่แล้ว ที่กลุ่มศิลปิน “วง Wanna One” เดินทางมามีตติ้งที่ประเทศไทยครั้งแรก ก็เจอเข้ากับประสบการณ์สุดสะพรึง เพราะมีแฟนคลับบางคนที่ไม่สนใจกฎระเบียบ พยายามหาช่องทางเพื่อที่จะได้ถ่ายภาพและประชิดตัวศิลปินกลุ่มนี้ ทั้งยื้อยุดฉุดกระชาก ทั้งเคาะกระจกรถตู้ ประหนึ่งซอมบี้ก็ไม่ปาน จนผู้จัดงานในตอนนั้นต้องออกมาประกาศขอความร่วมมือให้ช่วยเป็นเจ้าบ้านที่ดีเพื่อความปลอดภัยต่อตนเองและศิลปิน



หรือจะเป็นอีกเหตุการณ์ที่อาจเรียกได้ว่าเข้าข่าย “คุกคาม” ก็ว่าได้ เพราะมีติ่งชาวไทย ถึงขนาดบินลัดฟ้าไปถึงประเทศเกาหลีใต้ เพื่อเจอกับ “แทฮัน มินกุก และมันเซ” แฝดสามสุดฮอต ลูกชายของ “ซงอิลกุก” นักแสดงชื่อดัง ที่ในตอนนั้นพวกเด็กๆ มีอายุเพียง 4 ขวบเท่านั้น โดยเรื่องราวนี้ถูกเปิดเผยผ่าน เฟซบุ๊กแฟนเพจ Daehan MinGuk Manse TH

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนั้นตรงกับวันเกิดของแฝดสามพอดี ซึ่งหากการจะตามไปติ่งคนดังที่ชื่นชอบเฉยๆ ก็คงไม่แปลก แต่ครั้งนี้แฟนคลับชาวไทยบางคน บุกไปถึงห้องเรียนของเด็กๆ ไม่เพียงแค่นั้น ยังไปตะโกนเรียกชื่อจนสร้างความตกใจกลัว ให้ทั้งแฝดสามเอง ทั้งคุณครูที่สอนอยู่ด้วย แถมยังรออยู่จนกว่าโรงเรียนจะเลิก โดยอ้างว่าจะนำของขวัญให้เด็กๆ อีกด้วย กระทั่งเรื่องราวนี้ถูกนำมาเปิดเผย ก็สร้างความไม่พอใจให้แฟนคลับคนอื่นๆ เป็นอย่างมาก



ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเพียงแฟนคลับส่วนน้อยเท่านั้น ที่มีพฤติกรรมที่ไม่ควรทำตาม ความจริงแล้วยังมีแฟนคลับดีๆ อีกเป็นจำนวนมาก ที่เคารพกฎระเบียบและคอยเตือนซึ่งกันและกันเสมอ ว่าไม่ควรไปละเมิดสิทธิและความเป็นส่วนตัวของศิลปิน

แต่หากยังมีติ่งบางคนที่ยังไม่หยุดการกระทำในลักษณะของ “ซาแซงแฟน” เช่นนี้ ก็คงพลอยทำให้ภาพลักษณ์ประเทศไทย รวมถึงแฟนคลับนิสัยดีคนอื่นๆ ถูกมองแบบเหมารวมไปด้วย ก็เป็นได้ ...
กำลังโหลดความคิดเห็น