xs
xsm
sm
md
lg

ขอเรียนด้วยคน! “ครูปุ้ม” นักร้องเสียงสวย ดีกรีนักบำบัดภาษา

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


 
“หน้าหวาน-เสียงสวย-ผิวน้ำผึ้ง” นี่แหละคำจำกัดความอาจารย์สาว 'ปุ้ม-พิมลพรรณ์ วงศ์อร่าม' ครูสอนภาษาอังกฤษ คณะโบราณคดี ม.ศิลปากร พ่วงตำแหน่งนักร้องอิสระ แถมมีวงเป็นของตัวเองด้วย! ล่าสุด สร้างความฮือฮาในรายการร้องเพลงชื่อดัง สวย-เก่งจนใครได้เห็นก็อยากสมัครเรียนด้วย!

ภาษาอังกฤษ = เครื่องมือต่อรอง

“ความฝันแรกในวัย5 ขวบ ปุ้มบอกพ่อกับแม่ว่าเราอยากเป็นครู เพราะเรามีต้นแบบ คือ ครูที่เรารักที่โรงเรียน ปุ้มเลยคิดว่าวันหนึ่งเราจะเป็นครูให้ได้ เราอยากทำแบบที่ครูคนนั้นทำ เราอยากรักคนอื่นให้ได้มากเหมือนที่ครูรักเรา”

'ปุ้ม - พิมลพรรณ์ วงศ์อร่าม' ฉายภาพความฝันที่อยากเป็นครูตั้งแต่วัยเด็ก ด้วยความที่มีครูเป็นไอดอลประจำใจ เธอจึงวาดภาพฝันไว้ว่าสักวันหนึ่งเธอจะเป็นครูที่ดีให้ได้ในอนาคต ชีวิตวัยเด็กของเธอจึงคลุกคลีอยู่กับการสอนหนังสือให้เด็กๆ แถวบ้าน สิ่งเหล่านี้จึงสั่งสมเป็นประสบการณ์การสอนให้กับเธอมาจนเข้าสู่วัยมหา'ลัย

“เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยมหา'ลัย ปุ้มได้เข้าเรียนที่คณะโบราณคดี เอกวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งเอกวิชาภาษาอังกฤษหลังจากที่เรียนจบ ในด้านการทำงานสามารถแบ่งได้เป็นสองทาง นั่นคือ สายวิชาการ และ สายองค์กรทั่วไป หรือแม้กระทั่งสายฟรีแลนซ์ โดยอยู่บนหลักของการใช้ภาษาไปทำประโยชน์อื่นๆ ต่อไป”

ด้วยวัยเพียง 21ปี เธอเริ่มทำงานเป็นอาจารย์ประจำวิชาเอกภาษาอังกฤษ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร จะเห็นได้ว่าด้วยอายุเพียง 20 ต้นๆ ช่องว่างระหว่างวัยของอาจารย์และนักศึกษาห่างกันแค่เพียงนิดเดียว แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอก้าวไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ได้ นั่นคือ การรู้จักวางตัวที่ดี


 
“หลังจากที่ปุ้มเรียนจบก็ได้สอนหนังสือเลย เป็นโอกาสที่ดีที่ปุ้มได้ลองทำ แต่จากจุดนั้นวันแรกที่ปุ้มเข้าสอน ปุ้มคิดเสมอว่าเรากำลังใส่หมวกใบไหน เราใส่หมวกที่เป็นรุ่นพี่เขา หรือเราใส่หมวกที่เป็นอาจารย์เขา อันที่จริงก็ไม่มีความกังวลนะคะ แค่รู้สึกตื่นเต้น แต่อย่างที่บอกว่าปุ้มเป็นคนชอบสอนหนังสือมาตั้งแต่เด็กจึงไม่รู้สึกประหม่าเท่าไหร่”

มองภายนอกแม้ดูเป็นสาวหวาน-ยิ้มเก่ง-ใจดี แต่เธอออกตัวไว้ก่อนเลยว่า เมื่อใดก็ตามที่เธออยู่หน้าชั้นเรียน เธอจะสวมคาเร็คเตอร์การเป็นคุณครูสาวมาดดุ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการสอนให้รู้จักเคารพซึ่งกันและกัน

“พออยู่ในโหมดของการสอนหนังสือ ปุ้มจะเป็นคนดุ แต่จะไม่ดุด้วยคำพูดนะคะ เราจะไม่มีการประจานหรือดุด่านักศึกษาเด็ดขาด แบบนั้นไม่ใช่สไตล์เรา แต่จะเป็นการเข้มงวดในเรื่องของวินัยการเรียนการสอนมากกว่า เราจะต้องเคารพกันและกัน

ดังนั้น เวลาที่อยู่ในห้องสอน มันจะไม่ใช่การร้องเพลงแน่นอน โดยเนื้อหาที่ปุ้มสอนจะอยู่ในกลุ่มภาษาศาสตร์ เราเรียนเรื่องของหน่วยเสียงที่เล็กที่สุดของภาษา ต้องดูมิติของเสียงว่าแตกต่างกันที่ความก้อง ด้วยลม หรือฐานของฟัน จึงเป็นการเรียนการสอนวิชาภาษาอังกฤษที่ค่อนข้างลึกอยู่พอสมควร”

ในฐานะที่เธอเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาภาษาตะวันตก เธอกล่าวทิ้งท้ายถึงเรื่องการเรียนรู้ภาษาไว้ว่า ภาษาอังกฤษ นอกจากจะมีความจำเป็นในการสื่อสารในระดับสากลแล้ว ยังถือเป็นเครื่องมือในการต่อรองทางสังคมได้อีกด้วย

“นอกจากภาษาอังกฤษจะเป็นเครื่องมือในการสื่อสารอย่างหนึ่งแล้ว ยังเป็นเครื่องมือการต่อรองได้ด้วย เมื่อเราอยู่ในบริบทสากล ถ้าเราพูดภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงที่ดีและถูกต้อง มันจะถูกแบ่งขึ้นมาให้มีนัยยะสำคัญทางสังคม ฉะนั้น มันก็ทำให้เราต่อรองได้ชัดเจนขึ้น”

เป็นเด็กให้สนุก เป็นผู้ใหญ่ให้เต็มที่

สิ่งที่ชัดเจนตลอดเส้นทางการใช้ชีวิตของเธอ คือ การเป็นครูสอนหนังสือและการร้องเพลง ทว่า สิ่งที่โดดเด่นไม่แพ้กันเลย นั่นคือ การเป็นนักกิจกรรมตัวยงประจำโรงเรียนสมัยวัยเด็ก จนเติบโตมาสู่การเป็นนักศึกษาดีเด่นที่ได้รับการการันตีด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 จากคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร

ทั้งนี้ เธอยังต่อยอดการเรียนรู้ด้วยการศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอีกด้วย ซึ่งหากลองย้อนกลับไปวัยเด็ก สิ่งที่หล่อหลอมให้เธอกลายเป็นผู้หญิงเก่งในวันนี้คือการตั้งใจทำในสิ่งที่ชอบและไม่ยอมแพ้ให้กับความฝัน

“ตอนเด็กเราชอบทำกิจกรรมตั้งแต่เรียนที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย ได้ประกวดร้องเพลงจนได้รางวัลชนะเลิศของโรงเรียน รวมถึงได้ไปประกวดข้างนอกโรงเรียนด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ความชอบด้านการร้องเพลงชัดเจนมากขึ้น นอกจากนี้ยังได้สอบเข้าเป็นนักร้องในโครงการ 'นักร้องประสานเสียงเด็กไทย'

ซึ่งตรงนี้แหละที่ทำให้เราเป็นนักฟังที่ดีจนถึงทุกวันนี้ สิ่งที่ปุ้มได้เรียนรู้จากการอยู่ในโครงการนักร้องประสานเสียงเด็กไทย คือการที่เราเรียนรู้ที่จะกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับเสียงทุกเสียงที่เปล่งออกมา ตรงนี้จะต่างกับการเป็นนักร้องเดี่ยว เพราะการร้องประสานเสียงคือความกลมกลืนและต้องไปด้วยกัน เราเลยได้ทักษะด้านการฟังเสียงจากตรงนี้”

 
นอกจากนี้ เธอยังนำทักษะที่มีมาใช้กับการเป็นนักบำบัดทางด้านภาษา หรือที่เรียกว่า “Speech Therapist” แก่นิสิต-นักศึกษาที่ต้องการพัฒนาด้านการสื่อสาร การพูด การฟัง รวมไปถึงการขับร้องเพลง เพื่อนำไปสู่การพัฒนาด้านบุคลิกภาพที่ดีขึ้นอีกด้วย

“ด้วยความที่เราถนัดในเรื่องการร้องเพลงและยังเป็นครูสอนวิชาภาษาอังกฤษ เราจะเห็นจุดอ่อนบางอย่างของผู้เรียนว่าตรงไหนที่เป็นปัญหา การเรียนด้านภาษาศาสตร์จึงช่วยให้เรามีพัฒนาการด้านการสื่อสารได้ดีขึ้น สิ่งสำคัญคือการพูดหรือร้องเพลงให้ชัดจะช่วยเรื่องบุคลิกภาพได้”

อย่างไรก็ดี แม้เธอจะมีความชำนาญด้านการสื่อสาร รวมไปถึงการร้องเพลง แต่เธอก็บอกกับเราว่ายังไม่เปิดโรงเรียนสอนทักษะดังกล่าวอย่างเป็นทางการ เนื่องจากว่าปัจจุบันเธอมีงานประจำเป็นทั้งครูสอนภาษาอังกฤษที่มหาวิทยาลัย และเป็นนักร้องอิสระ ซึ่งต้องจัดสรรเวลาอย่างเหมาะสม

“ปุ้มทำหลายอย่างอยู่นะคะ นอกจากอาชีพหลักคือเป็นครูประจำมหาวิทยาลัย ยังมีรับงานแปล ทำงานวิจัย ไปจนถึงเป็นนักร้องอิสระตามงานต่างๆ จึงยังไม่ได้เปิดโรงเรียนสอนภาษาอย่างเป็นจริงเป็นจัง เพราะด้วยเวลาเราไม่มีด้วย ซึ่งตอนนี้เวลารับงานต่างๆ ปุ้มก็ต้องลำดับงานตามความสำคัญด้วยเช่นกัน”

หลงใหลในสิ่งใด..ไปให้สุดกับสิ่งนั้น

“ภาพความทรงจำเกี่ยวกับการร้องเพลง เกิดขึ้นตอนที่เรากระโดดขึ้นไปบนโต๊ะแล้วตะโกนร้องเพลง สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นเราไม่รู้ตัวหรอกว่าเราอยากเป็นนักร้อง แต่ตอนนี้มาลองคิดวิเคราะห์ดู จึงรู้ว่านั่นแหละ คือ สิ่งที่เรียกว่าแพสชั่น (Passion) หรือความหลงใหลที่มันอยู่ข้างใน มันจะเป็นไฟที่คอยเติมเวลาที่เราเหนื่อย”

เสียงร้องอันทรงพลัง ลายประสานที่กลมกลืนไพเราะ นี่คือผลผลิตที่เกิดขึ้นจากความชอบด้านการร้องเพลงของเธอตั้งแต่วัยเด็ก แม้ความฝันอยากเป็นนักร้องอาจไม่ชัดเจนเท่าความต้องการอยากเป็นครู แต่ด้วยความหลงใหลในการร้องเพลง จึงเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่พาเธอก้าวสู่เส้นทางดนตรีตั้งแต่นั้นมา

“แม่เป็นคนผลักดันทุกอย่าง พยายามให้เราได้ออกไปร้องเพลง ไปโชว์ ไปเต้น เพราะแม่เห็นแววเรามาตั้งแต่เด็ก แม่เคยบอกปุ้มว่าในวันนั้นที่เรากระโดดขึ้นไปบนโต๊ะนั้น ลูกคนนี้ไม่ธรรมดา (หัวเราะ) แม่บอกว่าเราจะต้องผลักดันเด็กคนนี้ให้ถึงที่สุด”

แม้ภาพที่เห็นในวันนี้เธอดูเป็นนักร้องอาชีพที่ผ่านเวทีการประกวดมาอย่างโชกโชน ทว่า เธอกลับหยุดความคิดของเราเอาไว้ ท่ามกลางภาพที่ขัดแย้งตรงหน้าว่า ความจริงแล้วเธอไม่เคยประกวดร้องเพลงชนะสักครั้งเลย

“ตอนเด็กที่ประกวดร้องเพลง ปุ้มแพ้มาตลอดเลยนะ ถูกคัดออก-คัดทิ้งตลอด ซึ่งปุ้มมาคิดว่าน่าจะเป็นความไม่เข้าใจในเนื้อเพลง ไม่เข้าใจความรู้สึกของการอกหักก็ได้ เพลงที่เลือกมาอาจเกินวัยเราไป จนไม่สามารถเข้าใจทั้งหมดได้ แต่มันก็มีความไม่สมบูรณ์แบบบางอย่างที่ทำให้เราเป็นเราทุกวันนี้
รายการ I Can See Your Voice

 
ซึ่งเวลาที่กลับมาจากเวทีการประกวด ปุ้มไม่เคยท้อใจนะ เพราะต้องคอยปลอบแม่ว่าอย่าเสียใจ(หัวเราะ) อีกอย่างปุ้มได้เป็น 'นักร้องประสานเสียงเด็กไทย' ในช่วงชั้นประถม 5 - มัธยมที่ 3 ปุ้มก็คิดว่าในระหว่างนั้นมันไม่น่ามีอะไรให้ต้องผิดหวัง ต่อให้เราจะแพ้เวทีอื่นๆ มา เราก็ยังมีเวทีที่เราได้ไปร้องเพลงทุกวันที่ทำให้เรามีความสุข”

ความชื่นชอบในการร้องเพลงควบคู่กับการสอนหนังสือทำให้เธอพัฒนาตัวเองจนเติบโตขึ้น แม้ที่ผ่านมาชีวิตการเป็นนักร้องในวัยเด็กจะยังไม่เชิดช่วงเท่าไหร่นัก แต่เธอก็ไม่ละทิ้งความชอบที่เคยมี จนเมื่อล่าสุดได้เข้าร่วมในรายการร้องเพลงแห่งหนึ่ง ทำให้เธอกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นในฐานะนักร้องสาวเสียงสวย

“ที่ผ่านมาปุ้มคิดมาตลอดนะคะว่า คงมีสักวันที่เราได้ยืนอยู่ข้างหน้าแล้วมีคนที่ร้องเพลงเราได้ จะต้องมีสักวันแหละ แต่สิ่งที่เรารักมันก็ยังไม่ได้หายไปไหน เพราะมันยังอยู่ในใจเรา อย่างที่ผ่านมาได้มีผลงานเพลงในวง 'Mola Mola Sunshine' ในเพลง 'ฉันน่าจะบอกรักไปฯ' หรือเพลง 'ดาวพราวฟ้า' แต่งโดยอาจารย์เชษฐ์

ขณะที่ล่าสุดปุ้มก็ได้ไปร่วมออกรายการ 'I Can See Your Voice' ซึ่งปุ้มได้อยู่จนถึงรอบสุดท้ายเลย โดยได้ร้องเพลงคู่กับ 'โอ๊ต ปราโมทย์ ปาทาน' ก็ทำให้คนได้ฟังเสียงของเรามากขึ้น มีคนมาติดตามเราทางโซเชียลฯ มากขึ้น”

ปัจจุบันเธอยังทำตามความฝันการเป็นนักร้องผ่านการร้องเพลงตามงานอีเวนท์ต่างๆ รวมถึงมีแชลแนลเป็นของตัวเองทางยูทูป 'Krupum' ซึ่งสำหรับแนวเพลงที่เธอถนัดมีตั้งแต่การร้องแนวเพลง Pop, Jazz, R&B, Blue และFunk เลยทีเดียว

สัมภาษณ์ : รายการพระอาทิตย์ Live
เรียบเรียง : MGR Live
เรื่อง : พิมพรรณ มีชัยศรี
ภาพ : FB Pum.Molamola
กำลังโหลดความคิดเห็น