xs
xsm
sm
md
lg

อวสาน “ตำรวจหญิง”? รร.นายร้อยฯ กีดกันเพศ ผิด รธน.-สัญญา UN!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ตลกร้าย... นายกฯ ออกตัว เซ็นสัญญา “ความเท่าเทียมทางเพศ” ระดับโลก แต่กลับปล่อย “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ทำผิดกฎ-เหยียบย่ำรัฐธรรมนูญเสียเอง!! นักวิชาการแขวะแรง หลัง “โรงเรียนนายร้อยตำรวจ” ประกาศดับฝัน “ตำรวจหญิง” เลิกให้โอกาสเพศแม่เข้าวงการสีกากี เตือนหนัก โลกตำรวจที่มีแต่เพศชาย เสี่ยงทำให้เหยื่อ “ถูกข่มขืนซ้ำ-ตอกย้ำความรุนแรง” เขย่าสติให้หารือลงมติใหม่ ก่อนถูกฟ้องร้อง “ละเมิดสิทธิ-กีดกันเพศ-คว่ำสัญญาระดับโลก”!!



จงใจกีดกัน แต่เหตุผลคลุมเครือ!?

"จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ นรต.หญิง จะมีเพียง 10 รุ่นเท่านั้น รุ่น 66-75 ถือเป็นเกียรติประวัติของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ครั้งหนึ่งเคยมี นักเรียนนายร้อยตำรวจหญิง"

กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที หลังแฟนเพจ "พนักงานสอบสวนหญิง" โพสต์อัปเดตสถานะล่าสุด เพื่อให้เข้าใจตรงกันว่า นับตั้งแต่ปีนี้ จะไม่มี “ตำรวจหญิง” ที่จบจาก “โรงเรียนนายร้อยตำรวจ” อีกต่อไปแล้ว พร้อมแนบหนังสืออย่างเป็นทางการ เรื่อง “ตร.อนุมัติแนวทางการสรรหาและผลิตกำลังพลในส่วนของ นรต. และ นตท. ในส่วนของ ตร.ประจำปีการศึกษา 2562” ให้อ่านและแชร์กันให้ว่อนโซเชียลฯ

"ขอยกเลิกการจัดสรรอัตราในการรับสมัครและสอบคัดเลือกข้าราชการตำรวจและบุคคลภายนอก (หญิง) เข้าเป็น นรต.และบุคคลภายนอกเข้าเป็น นตท.ในส่วนของ ตร.จำนวน 280 อัตรา ตามที่ ตร.ได้เคยอนุมัติไว้ โดยไม่มีกำหนด

และให้ดำเนินการรับสมัครและสอบคัดเลือกบุคคลภายนอก (ชาย) ผู้สำเร็จการศึกษาชั้น ม.4 หรือเทียบเท่า เข้าเป็น นตท.ในส่วนของ ตร.ประจำปีการศึกษา 2562 จำนวน 280 อัตราแทน จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง"

เมื่อเนื้อหาภายในเอกสารสำคัญทางราชการฉบับดังกล่าว สื่อความหมายว่าให้ “ยกเลิกรับสมัครเพศหญิง” พร้อมกับ “เปิดรับสมัครเพศชาย” แทน มติที่เพิ่งอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงครั้งล่าสุด จึงกลายเป็นที่ครหาอย่างหนัก ในประเด็นเรื่อง “การเลือกปฏิบัติและกีดกันทางเพศ” โดยไม่มีเหตุผลรองรับที่ระบุออกมาแน่ชัด



กระทั่งเมื่อประเด็นดังกล่าวร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนระอุถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ถูกถล่มยับ จึงเพิ่งมีข่าวประชาสัมพันธ์ปล่อยออกมาชี้แจงผ่านทางโรงเรียนนายร้อยตำรวจเพิ่มเติม โดยแก้ต่างเอาไว้ว่า การปรับปรุงหลักสูตรรับสมัครครั้งล่าสุด ไม่ได้ปิดรับสมัครเฉพาะเพียงเพศหญิงเท่านั้น แต่รวมไปถึงเพศชายด้วย ผ่านคำอธิบายว่า “ต้องชะลอการเปิดรับสมัครออกไปก่อน จนกว่าจะมีการว่าเปลี่ยนแปลง”

“ทั้งนี้ก็มิได้ส่งผลต่อการบรรจุและแต่งตั้งพนักงานสอบสวนทั้งชาย-หญิงแต่อย่างใด เพราะสำนักงานตำรวจแห่งชาติยังมีการบรรจุและแต่งตั้งพนักงานสอบสวนได้หลายทาง ทั้งจากผู้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจแล้ว ยังคงมีการรับสมัครจากบุคคลภายนอกอีกด้วย”

หนึ่งในทางออกซึ่งยังหลงเหลือ ที่ทางโรงเรียนนายร้อยฯ เสนอไว้ให้ สำหรับบุคคลที่อยากต่อเติมฝัน ประดับยศจากวงการสีกากีก็คือ ให้บุคคลที่สนใจทั้งเพศหญิงและเพศชาย ศึกษาให้จบ “ปริญญาตรีด้านนิติศาสตร์” แล้วเข้ารับการฝึกอบรมเป็นนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร เพื่อจะได้รับหน้าที่เป็นพนักงานสอบสวนต่อไปได้ในอนาคต ซึ่งแตกต่างจากระบบเดิม ที่เคยรองรับ “วุฒิการศึกษาชั้น ม.6” และสามารถสอบตรงเพื่อรับโควตาเข้าสู่โรงเรียนนายร้อยตำรวจได้เลย



เกี่ยวกับเรื่องนี้ พล.ต.อ.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช อดีตรอง ผบ.ตร. ได้ช่วยอธิบายผ่านสื่อเอาไว้ให้เข้าใจเพิ่มเติมว่า กรณีที่เกิดขึ้นเป็นนโยบายระดับความมั่นคง เป็นการตกลงกันในมติที่ประชุมจากทั้ง 3 เหล่าทัพ จึงไม่ใช่อำนาจที่ทางองค์กรตำรวจจะไปสามารถจัดการเปลี่ยนแปลงอะไรได้เพียงลำพัง

“ปกติแล้ว นักเรียนนายร้อยตำรวจจะได้โควตาจัดสรร 280 อัตรา โดยส่วนที่ 1 เป็นส่วนของการรับนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาระดับ ม.4 เพื่อเข้าเรียนเตรียมทหาร 2 ปี และมาต่อนายร้อยตำรวจอีก 4 ปี ตรงนี้ 190 อัตรา

ส่วนที่ 2 คือการรับตรงข้าราชการตำรวจชั้นประทวนที่อายุไม่เกิน 25 ปี สอบแข่งขันกันซึ่งปีนึงรับประมาณ 30 อัตรา

ส่วนที่ 3 เป็นส่วนที่รับนักเรียนที่จบชั้น ม.ปลาย มาสอบแข่งขันตรง เข้าเป็นนายร้อยตำรวจหญิงจำนวน 50 อัตราด้วยกัน

และส่วนที่ 4 เป็นโควตาของตำรวจหญิงชั้นประทวน ที่อายุไม่เกิน 25 ปี อีก 10 อัตรา



แต่มาปีนี้ ฝ่ายความมั่นคงประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว จึงกำหนดนโยบายใหม่ เป็นนโยบายในการรับบุคลากร ให้รับตรงจากเตรียมทหารจากส่วนแรกเท่านั้น โดยตัดในส่วนของตำรวจชั้นประทวน และบุคคลภายนอกออกไป แล้วให้รับตรงส่วนที่เป็นนักเรียนเตรียมทหาร (ชาย) จำนวน 280 นายเท่านั้น

เมื่อทางสำนักงานกระทรวงกลาโหมได้กำหนดนโยบายมาแบบนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งที่ได้เข้าร่วมประชุมด้วย ในฐานะฝ่ายความมั่นคงก็รับนโยบายมาปฏิบัติ จากนั้นสำนักงานกำลังพลก็แจ้งตรงลงมาต่อโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ก็เท่านั้นเองครับ”



“ถูกข่มขืนซ้ำ-ตอกย้ำความรุนแรง” โลกตำรวจเมื่อไม่มีเพศหญิง!!

“โรงเรียนนายร้อยตำรวจชั้นนำอย่างในสหรัฐฯ ก็รับผู้หญิงเข้าเรียนร่วมกับนายร้อยตำรวจผู้ชายมานานหลาย 10 ปีแล้ว งานตำรวจหลายอย่างในอนาคต ก็ต้องอาศัยผู้หญิง ถ้าโครงการนี้ประสบความสำเร็จ จะทำให้ทำงานเกี่ยวกับเด็ก เยาวชนและสตรีได้”

ถ้อยคำข้างต้น คือคำให้สัมภาษณ์ของ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ผู้ดำรงตำแหน่งนายกสภาการศึกษาโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ในขณะนั้น ที่เคยกล่าวเอาไว้ผ่าน “โครงการนักเรียนนายร้อยตำรวจหญิง” ซึ่งเพิ่งจัดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย เมื่อ 9 ปีที่แล้ว

หันกลับมามองสถานะของโครงการในตอนนี้ จากจุดที่เคยต้องการพัฒนาเรื่อง “สิทธิความเท่าเทียมทางเพศ” ให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ กลับกลายเป็นเหมือน “ถอยหลังเข้าคลอง” ถ้ามองผ่านมุมมองของนักสิทธิมนุษยชนอย่าง จะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล จะพบว่าจุดยืนที่เกิดขึ้นขณะนี้คือความผิดพลาดครั้งใหญ่ต่อประเด็นเรื่อง “ความรุนแรงในประเทศไทย”



“ล่าสุดชมรมพนักงานสอบสวนหญิงก็ออกมาให้ข้อมูลว่า ทุกวันนี้อัตราพนักงานสอบสวนหญิงยังคงขาดแคลนและยังเป็นปัญหาอยู่ แต่ผลที่ออกมากลับสวนทาง คือแทนที่จะเปิดรับสมัครผู้หญิงให้มากขึ้น กลับปิดรับสมัครผู้หญิงเข้าโรงเรียนนายร้อยแทน

ทั้งยังมีงานวิจัยออกมายืนยันชัดเจนแล้วนะครับว่า การมีพนักงานสอบสวนหญิงหรือมีนายร้อยตำรวจหญิงที่จะจบไปทำงานด้านนี้ ทำให้ผู้เสียหายผู้หญิงหลายๆ คน อยากเข้ามาแจ้งความหรือร้องทุกข์มากกว่าตำรวจผู้ชาย เนื่องจากตำรวจผู้หญิงมีความละเอียดอ่อนมากกว่า ซึ่งถ้าเราไม่รักษาตรงนี้ไว้ การเข้าถึงสิทธิต่างๆ ของผู้เสียหายผู้หญิงก็จะมีปัญหาไปด้วยในอนาคต

โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง "การถูกข่มขืนซ้ำ" จากการสอบสวนของตำรวจชาย ตรงนี้ก็มีความน่ากังวลมากเหมือนกัน หรือแม้แต่ผู้หญิงที่มีปัญหาเรื่องความรุนแรงในครอบครัว ถูกทำร้ายมา เขาก็สะดวกใจจะคุยกับผู้หญิงด้วยกันเองมากกว่า แต่ถ้าทางการมาจำกัดการรับตำรวจหญิงแบบนี้ มันก็จะส่งผลกระทบต่อปัญหาความรุนแรงที่อาจเพิ่มมากขึ้นไปอีก เพราะเมื่อเหตุเกิดขึ้นแล้ว ผู้เสียหายไม่กล้ามาแจ้ง ทำให้ผู้กระทำความรุนแรงไม่ได้รับการลงโทษอย่างที่ควรจะเป็น

และนอกจากนี้ การเปิดให้ผู้หญิงเข้าไปฝึกในโรงเรียนนายร้อย ผมยังมองว่ามันช่วยทำให้ตำรวจชายได้เรียนรู้การทำงานกับผู้หญิง และสามารถซึมซับเรื่องความละเอียดอ่อนได้มากขึ้น เพื่อนำมาปรับใช้กับกระบวนการสอบสวนเหยื่อ โดยเฉพาะผู้เสียหายที่เป็นเพศหญิงในอนาคตได้ด้วย

ผมอยากให้ทางการลองคิดทบทวนมติอีกครั้ง อยากให้เปิดรับผู้หญิงเข้าไปเรียนในโรงเรียนนายร้อยได้เหมือนเดิม อย่างน้อยๆ ให้มีโควตาให้ก็ยังดี มันย้อนแย้งตรงที่ เรามีกฎหมายคุ้มครองเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ แต่กลับมาหน่วยงานรัฐมาประกาศแบ่งแยกทางเพศแบบนี้ และต่างประเทศเองก็เคยยอมรับเรื่องความเท่าเทียมของเราจากจุดนี้ด้วย แต่พอเกิดประเด็นนี้ขึ้นมา มันก็น่าเสียดายและน่าเสียใจที่เรากลายเป็นเดินถอยหลังยิ่งไปกว่าเดิม”



จุดที่น่าหนักใจมากที่สุดอีกจุดหนึ่ง ที่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้อย่าง อุษา เลิศศรีสันทัด ผู้อำนวยการโครงการมูลนิธิผู้หญิง มองเอาไว้ก็คือประเด็นเรื่อง “การทำผิด พ.ร.บ.-เหยียบย่ำรัฐธรรมนูญ-ละเมิดสัญญาระดับโลก” ด้วยน้ำมือของหน่วยงานภาครัฐเสียเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรปล่อยผ่าน และควรปลุกให้เกิดการเรียกร้อง โดยเฉพาะตัวผู้เสียหายที่ถูกทำลายฝันการเป็น “ตำรวจหญิง” จากมติการรับสมัครที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างตอนนี้

“เรามีพระราชบัญญัติเรื่องความเท่าเทียมระหว่างเพศออกมาแล้ว ตั้งแต่ปี 2558 และจริงๆ ประเทศไทยก็เป็นรัฐภาคีของ "อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW : Convention on the Elimination of All Forms of Discrimination Against Women)" มานานกว่า 20 ปีแล้วค่ะ ซึ่งตอนนี้ถือว่าเราได้ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศที่ทำกับทางยูเอ็น (United Nations) ไปแล้ว โดยที่รัฐบาลไม่ทำอะไร ปล่อยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติออกมากีดกันและเลือกปฏิบัติแบบนี้

นอกจากนี้ ประเทศไทยเรายังมีกฎหมายลูก ที่ระบุเอาไว้ในรัฐธรรมนูญชัดเจนเลยว่า การกระทำหรือไม่กระทำที่เป็นการแบ่งแยก กีดกัน จำกัดสิทธิประโยชน์ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม เพราะเหตุบุคคลนั้นเป็นเพศชายหรือหญิง หรือมีการแสดงออกที่แตกต่างจากเพศโดยกำเนิด ซึ่งกรณีนี้ก็ชัดเจนว่าเป็นการกระทำเพื่อ "จำกัดสิทธิเพศหญิง" ที่จะเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจ

ตอนนี้เรามีคณะกรรมการที่รับเรื่องร้องเรียน คือ "คณะกรรมการวินิจฉันการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม" แต่เป็นกรรมการชุดที่ไม่สามารถฟ้องร้องเองได้ ต้องรอให้มีผู้เสียผลประโยชน์มาร้องเรียนก่อน เพราะฉะนั้น อยากจะฝากบอกไปถึงคนที่กำลังวางแผนที่จะสมัครนักเรียนนายร้อยตำรวจ แต่กลับต้องเสียโอกาสเพราะมีประกาศไม่รับผู้หญิงเข้าเรียนแบบนี้ ให้สามารถยื่นเรื่องมาได้เลยที่คณะกรรมการ โดยติดต่อมายัง "กรมกิจการสตรี" ซึ่งเป็นกองเลขาฯ ของกฎหมายฉบับนี้ เพื่อให้มีการพิจารณาที่ชัดเจนมากขึ้น



ที่น่าตลกคือ ทางท่านนายกฯ ก็มีการไปรับรองวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs 2030 : Sustainable Development Goals 2030) ซึ่งหนึ่งในข้อตกลงนั้น มีเป้าหมายที่ 5 ที่พูดถึงเรื่อง "ความเสมอภาคระหว่างเพศ" ที่มีเป้าประสงค์ชัดเจนว่าจะต้องไม่เลือกปฏิบัติ แต่กรณีที่เกิดขึ้นกับโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เท่ากับกลืนสิ่งที่ตัวเองยอมรับแล้วกลับเข้าไปอีก

กลายเป็นว่าในขณะที่นายกฯ ชอบไปเวทีสากลมาก และพูดเสมอว่าเวทีเหล่านั้นยกย่องและยอมรับเรา รวมถึงเวทียูเอ็นด้วย แต่ในทางปฏิบัติ ท่านนายกฯ ไม่เคยรู้ว่าเนื้อหาสาระของการเซ็นสัญญาในเรื่องต่างๆ มันคืออะไร รวมถึงกรณีในครั้งนี้ที่ท่านต้องออกมารับผิดชอบและแก้ไขโดยด่วน

ต้องให้ท่านกลับมาอบรมกันเองในกลไกของรัฐว่า การเลือกปฏิบัติแบบนี้มันทำไม่ได้ เพราะมันขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว และมันก็สะท้อนว่าหน่วยงานของรัฐเองไม่มีความเข้าใจประเด็นเรื่องความเสมอภาคระหว่างเพศเลย คงจะต้องฝากสื่อไปถามทางท่านนายกฯ และท่านรองนายกฯ ที่ดูแลเรื่องนี้ด้วยว่า ท่านทราบเรื่องนี้ไหม และท่านคิดยังไงที่หน่วยงานรัฐทำผิดกฎหมายเสียเอง”

ข่าวโดย MGR Live
ขอบคุณภาพ: แฟนเพจ "พนักงานสอบสวนหญิง"
 


กำลังโหลดความคิดเห็น