ไหนบอกว่าไทยสิทธิเท่าเทียมกัน !! โรงเรียนดังย่านปทุมธานี ประกาศชัดไม่รับบุคคลที่มีความเบี่ยงเบนทางเพศ ผู้สมัครตัดพ้อ ทำไมตัดสินจากภายนอก นักสิทธิฯ ซัดประกาศในใบสมัครงานแบบนี้ผิดกฎหมาย!!
ถูกปฏิเสธเพียงเพราะ “เพศอื่น”?
“นี่คือการตัดสินการทำงานจากเพศ โดยไม่ได้มองศักยภาพในตัวของคนนั้นเลย ไม่คิดว่าการกรอกใบสมัครงานจะต้องมาเจอเหตุผล เเละคำถามที่ต้องตอบลงในใบที่สมัคร ถือเป็นการไม่ให้เกียรติอย่างรุนเเรง”
กลายเป็นดรามาเหยียดเพศ เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากชาวโซเชียลฯ ไม่น้อย เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊ก “เบล ปลาวาฬ เกษแก้ว” โพสต์รูปใบสมัครเข้าทำงานครู ที่โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งใน จ.ปทุมธานี โดยระบุในใบสมัครชัดเจนว่า ไม่รับบุคคลที่มีความเบี่ยงเบนทางเพศ นอกจากนั้นยังมีใบสมัครงานอีกแผ่นมีคำถามเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศ โดยให้เลือก 3 ข้อ คือ ชอบรักร่วมเพศ ชอบเพศตรงข้าม หรือชอบทั้ง 2 เพศ
“นี่หรือคือประเทศไทยยุค4.0 ยุคที่บอกว่าทุกคนทุกเพศมีสิทธิเท่าเทียมกัน เเต่ในโลกของความเป็นจริง!! มันไม่ใช่ มันคือความโหดร้ายที่สุด เป็นข้อความที่เห็นเเล้วสะเทือนใจจริงๆ !!เป็นการปิดกั้นโอกาสมาก?”
อย่างไรก็ดี ใบประกาศเข้าทำงานนี้ทำให้ผู้โพสต์เสียความรู้สึกเป็นอย่างมาก และได้ตั้งคำถามต่อโรงเรียนแห่งนี้ว่า ทำไมจึงต้องตัดสินการทำงานจากเพศสภาพ และคำถามที่พบในใบสมัครก็ถือว่าไม่ให้เกียรติ เพราะมองเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัวบุคคลมากกว่า
หลังจากเรื่องราวนี้เผยแพร่ออกไปทางโซเชียลฯ ด้านชาวเน็ตก็ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเช่นกัน บ้างก็มองว่า ทำไมต้องตัดสินการทำงานจากเพศสภาพด้วย ทุกคนควรมีสิทธิในการเข้าทำงานเท่าเทียมกัน แต่อีกมุมหนึ่งก็มองว่า การบอกตรงๆ ในใบสมัครแบบนี้เป็นเรื่องที่ดี ทุกคนมีสิทธิกำหนดคุณลักษณะของผู้สมัครงาน
“มีสิทธิกำหนดคุณลักษณะของผู้สมัครงานไม่ใช่หรือไง ต้องแยกให้ออกระหว่างเหยียดเพศ กับคุณลักษณะที่หน่วยงานต้องการนะ”
“เพศชาย เพศหญิง เพศสาม มันก็คนเหมือนกัน ความสามารถก็ไม่ต่างกัน กีดกันทำไม”
“ไม่ใช้การเหยียด..แต่เป็นการเลือก”
“มึ_ควรจะดีใจซิไอ้ห่_ ที่เขามาบอกให้มึงรู้ตัวก่อน เพราะมึงจะได้ไม่เสียเวลา ถ้าเขาไม่ประกาศแต่สั่งไว้เป็นการภายใน มึ_ก็จะเสียเงิน เสียเวลาเปล่าๆ”
นักสิทธิฯ ประกาศกีดกันเพศทางเลือก = ผิดกฎหมาย
หลายคนสงสัยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นการเลือกปฏิบัติ หรือไม่ ถ้าเป็นการเลือกปฏิบัติจริง บุคคลที่มีหลากหลายทางเพศสามารถทำอะไรได้บ้าง รวมถึงปัญหาการกีดกันการทำงานของบุคคลหลากหลายทางเพศ ทั้งภาครัฐฯ และเอกชนที่พบในไทยมีปัญหาอะไรบ้าง เพื่อไขข้อข้องใจทาง ทีมข่าวMGR Live จึงได้ติดต่อสัมภาษณ์ไปยัง รศ . มาลี พฤกษ์พงศาวลี ประธานกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ
โดยให้ข้อมูลถึงเรื่องนี้ว่า เป็นการกีดกันทางเพศ สามารถเรียกร้องสิทธิความเป็นธรรมตามพ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ.2558 รวมถึงได้ให้ข้อมูลถึงปัญหาการกีดกันการทำงานของบุคคลหลากหลายทางเพศ ทั้งภาครัฐฯ และเอกชนที่พบในไทยมีปํญหาที่แตกต่างกันออกไป
“ปัญหาจะแตกต่างกันอยู่ค่ะ แต่ส่วนใหญ่จะมีปัญหาตรงไปสมัครเข้าทำงาน เขาไม่รับเข้าทำงาน เขียนไว้เลย ไม่รับ แล้วอีกอย่างหนึ่งก็เป็นเรื่องของการที่ มาสอบถามในเรื่องที่มันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ตามกฎหมายฉบับนี้สามารถเข้ามาร้องเรียนได้ สามารถมาร้องเรียนที่คณะกรรมการได้ค่ะ
ส่วนเรื่องการที่เพศที่3 สามารถรับราชการได้ไหมนั้น ถ้าตามระเบียบ ตามกฎหมายฉบับนี้ ได้ แต่แน่นอนมันก็มีปัญหาอยู่ อย่างเช่น เราก็ได้รับการร้องเรียน กับกรณีที่เขาเป็นครูในโรงเรียน แต่ในแง่ของเรา ซึ่งเราเป็นกรรมการที่มีอำนาจในการวินิจฉัยตามกฎหมาย เราก็ทำหน้าที่ในการวินิจฉัยว่า สิ่งที่เขาอ้างว่าไม่ใช่มันถูกมันใช่ หรือเปล่า คนที่ถูกร้องเรียนส่วนใหญ่ ก็ปฏิบัติด้วยการปฏิเสธไว้ก่อนว่าไม่ใช่”
ไม่ต่างจาก นัยนา สุภาพึ่ง ที่ปรึกษามูลนิธิเพื่อสิทธิและความเป็นธรรมทางเพศ ก็ได้ให้ความคิดเห็นถึงเรื่องนี้เช่นกัน โดยให้ข้อมูลว่า เป็นการละเมิดสิทธิ เลือกปฏิบัติ ต่อบุคคลหลากหลายทางเพศ เพราะมีคำถาม ที่มีรายละเอียดเรื่องเพศอย่างชัดเจน ผู้สมัครสามารถเรียกร้องพ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ.2558ได้ เพราะพ.ร.บ. เท่าเทียมระหว่างเพศฯ ก็มีการระบุอย่างชัดเจน
ทั้งนี้โรงเรียนแห่งนี้ต้องรู้จักเรียนรู้ ที่จะต้องเปลี่ยนแปลงระเบียบใบสมัครในลักษณะนี้ เนื่องจากมันจะเป็นการจำกัด และกีดกันคนที่เขาจบการศึกษาที่มีศักยภาพจำหนวนหนึ่งที่มีการศึกษาที่จะมาการประกอบอาชีพนี้ได้
“ สังคมไทยเป็นสังคมที่เหมือนกับว่าไม่ได้เรียนรู้ว่ามายาคติ หรืออคติที่มันซ่อนเร้นอยู่ในสังคมเรา แม้แต่ในการอบรมบ่มเพาะ ในเนื้อตัวร่างกายเรา มันมีเรื่องอะไรบ้าง จริงๆไม่ใช่เรื่องเพศหรอกนะมีอีกหลายเรื่องเลยที่เป็นมายาคติ ซึ่งเราจะต้องเรียนรู้แล้วก็เปลี่ยนแปลง
แบบนี้ก็เข้าข่ายเลือกการปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมทางเพศนะคะ ถ้าหากเอาใบสมัครมาวางตรงหน้า มีการกรอกข้อมูลในการรับสมัครคนแบบนี้ ไม่ว่ามหาวิทยาลัย ทุกบริษัท ทุกหน่วยงาน ถ้าต้องกรอกอะไรแบบนี้ เพื่อที่จะถามรายละเอียดแบบนี้ มันเป็นการละเมิดสิทธิ เป็นการกีดกัน เป็นการจำกัดสิทธิค่ะ
การที่เขาก้าวเข้าไปถามรายละเอียดเรื่องเพศ มันเหมือนกับ เขาเองก็ยังเห็น และเข้าใจผิดๆ ว่า การเป็นคนรักเพศเดียวกัน จะเป็นโรคติดต่อ หรือการเป็นครูจะไปถ่ายทอดความรู้ให้แก่เด็กนักเรียน จะเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีให้แก่เด็กไม่ได้
ตอนนี้เรามีพ.ร.บ. เท่าเทียมทางเพศฯ ซึ่ง พ.ร.บ.เท่าเทียมทางเพศฯ นิยามความหมายว่า ห้ามเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมทางเพศ ซึ่งหมายถึง เราจะต้องไม่ไปจำกัดสิทธิว่ารับแต่ผู้หญิง ไม่รับผู้ชาย รับผู้ชายไม่รับผู้หญิง โดยไม่มีเหตุผลที่รับฟังได้เพียงพอ แล้วในนิยามนั้นบอกอีกว่าห้ามกีดกัน คือรวมถึง การกีดกันคนที่มีการแสดงออกแตกต่างจากเพศโดยกำเนิดด้วย
ถ้าหากโรงเรียนเขามาชี้แจงเหตุผลว่าเขากีดกันสิทธิทางเพศ โดยมีเหตุผลที่ถูกต้องตามทำนองครองธรรม อันนี้เขาสามารถที่จะอธิบายได้ แต่ถ้าหากเขาอธิบายไม่ได้ว่าใช้รายละเอียดที่จะต้องเลือกคนโดยก้าวเข้าไปดูข้อมูลในเรื่องรสนิยมทางเพศด้วยเหตุผลอะไร ถ้าโดยทั่วไปเราก็ให้ความคิดว่า การที่เขาก้าวเข้าไปถามรายละเอียดเรื่องเพศแบบนี้ มันเหมือนกับเขาเองก็ยังเห็น และเข้าใจผิดๆ”
เมื่อถามถึงบุคคลที่หลากหลายทางเพศจะสามารถทำอะไรได้บ้าง สามารถเรียกร้องความเป็นธรรมได้อย่างไร นักสิทธิฯ คนเดิมได้ให้ข้อมูลว่า คนที่ไปสมัครงานที่โรงเรียนแห่งนี้ หรือสถาบันต่างๆ ถ้าหากรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือรู้สึกถูกกีดกันทางเพศสภาพสามารถไปยื่นร้องเรียนได้ เพราะถือว่าเป็นการจำกัดสิทธิ โอกาสในการทำงานในการประกอบอาชีพ
“คนที่ไปสมัครงานโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัยแห่งนี้ สามารถไปยื่นร้องเรียน หรืออาจจะไม่ใช้บุคคลที่ถูกปฏิเสธก็ได้ คนที่เห็นใบสมัคร ที่เป็นทางการของโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัยก็อาจจะยื่นเรื่องร้องเรียนไปเลยว่า ประกาศของโรงเรียน หรือการรับสมัครแบบนี้อาจจะกระทบสิทธิลูกหลานของเรา ตัวเราที่มีเพศสภาพแบบนั้นโดยกำเนิด เป็นคนรักเพศเดียวกัน คนรักเพศเดียวกันก็อาจจะมีอัตลักษณ์ทางเพศเป็นชาย หรือเป็นหญิงที่ตรงตามเพศกำเนิดของเขานะคะ คือเขามีรสนิยมที่จะรักเพศเดียวกัน ไม่ได้รักต่างเพศ”
ข่าวโดย MGR Live