xs
xsm
sm
md
lg

ซุป'ตาร์ในเครื่องแบบ “หมวดกิ่ง” เซ็กซี่ขนาดนี้ ยินดีให้ จับ-ปรับ!!

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


“ประชาชนคงไม่สามารถไปควบคุมเรื่องเจ้าหน้าที่ไม่ซื่อสัตย์ได้ แต่สามารถดูแลตัวเอง ไม่ให้ลืมพกใบขับขี่ได้” ผู้หมวดสาวสายปราดเปรียว ขวัญใจชาวโซเชียลฯ ช่วยแนะทางออกในประเด็นร้อน “เพิ่มโทษ จับ-ปรับ ใบขับขี่” เอาไว้อย่างตรงไปตรงมา พร้อมเผยมุมชีวิต “สีกากี” เจาะลึกไลฟ์สไตล์หลากสี ตั้งแต่ฉูดฉาดไปจนถึงหม่นเศร้า ผ่านบทสนทนาครั้งนี้ให้อย่างหมดเปลือก ชนิดที่รับรองว่าจะทำให้ใครหลายคนสัมผัสได้ถึง “ความเซ็กซี่” ในทัศนคติของเธอ ที่น่าค้นหายิ่งไปกว่าจุดขายจากรูปลักษณ์ที่เคยเห็น...



คุยเจาะประเด็นร้อน!! “เพิ่มปรับ กฎหมายใบขับขี่”

ไหนๆ ได้มาเจอ “ผู้หมวดสาวสุดฮอต” ทั้งที ถ้าไม่ถามถึงประเด็นร้อนเรื่อง “การปรับเพิ่มโทษ ผู้ไม่มี-ไม่พกพาใบขับขี่” ผ่านสายตาคนในเครื่องแบบสักหน่อย คงให้ความรู้สึกเหมือนบทสนทนาในครั้งนี้ขาดรสชาติอะไรบางอย่างไป ผู้สัมภาษณ์จึงถือโอกาสชูประเด็นนี้ขึ้นมาถาม

ถึงแม้ “หมวดกิ่ง” ร.ต.ท.หญิง กฤตยา ชัยสวัสดิ์ จะไม่ใช่ผู้รับผิดชอบสายงานด้านการจราจรโดยตรง แต่ดำรงตำแหน่งรองสารวัตรฝ่ายอำนวยการ สังกัดกองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (บก.อคฝ.) และขอตอบผ่านมุมมองของ “คนขับรถ” คนนึงก็ตาม

“ถ้าให้มองในมุมของคนขับรถคนนึง กิ่งก็มองว่าค่าปรับแพงเหมือนกันนะคะ ถือว่าปรับขึ้นเยอะมาก แต่คิดว่าคงเป็นเพราะเขาอยากให้คนทั่วไปทำถูกกฎหมายกันอย่างจริงจังหรือเปล่า จากก่อนหน้านี้ที่ปรับน้อยๆ แล้วคนอาจจะละเลย เพราะคิดว่าปรับไม่กี่บาทเอง”

ที่บอกว่าปรับแพงขึ้น หมายถึงค่าปรับสำหรับ “คนขับรถที่ไม่มีใบขับขี่” คือจากเดิมกำหนดโทษเอาไว้ที่ “ปรับไม่เกิน 1,000 บาท และจำคุกไม่เกิน 1 เดือน” ก็เตรียมเปลี่ยนมาเป็น “ปรับไม่เกิน 50,000 บาท และจำคุกไม่เกิน 3 เดือน” ส่วน “คนขับรถที่มีใบขับขี่ แต่ลืมพกพา” จากเดิมโทษ “ปรับไม่เกิน 1,000 บาท” ก็เตรียมเปลี่ยนมาเป็น “ปรับไม่เกิน 10,000 บาท”

รวมถึงกรณีของ “คนขับรถที่ปล่อยให้ใบขับขี่หมดอายุ หรือถูกพักใช้งาน” จากเดิมกำหนดโทษเอาไว้ที่ “ปรับไม่เกิน 2,000 บาท” ก็เตรียมเปลี่ยนมาเป็น “ปรับไม่เกิน 50,000 บาท และจำคุกไม่เกิน 3 เดือน” เช่นกัน



ถึงแม้ว่ารายละเอียดการปรับเพิ่มโทษและค่าปรับดังกล่าว จะยังไม่มีผลบังคับใช้จริงในตอนนี้ ยังเป็นเพียงร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก ที่เสนอให้ปรับแก้ไขใหม่ก็ตาม แต่ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นก็ส่งให้เกิดกระแสค้านกลับจากประชาชนในวงกว้าง โดยเฉพาะประเด็นความเป็นกังวลว่า อาจเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ทุจริตกันได้ง่ายขึ้น จากการเรียกเก็บใต้โต๊ะสูงขึ้น ถ้าผู้ขับขี่ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ไม่อยากถูกปรับตามสภาพจริงด้วยเงินหลักหมื่น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้หมวดสาวนัยตาคมก็ได้แต่ยิ้มรับประเด็นร้อนด้วยรอยยิ้มปลงๆ ก่อนยอมรับกับคู่สนทนาตรงๆ ว่า ทุกอาชีพย่อมมีทั้งคนที่ดีและไม่ดีปะปนกันไป เช่นเดียวกับอาชีพตำรวจที่อาจจะมีเจ้าหน้าที่ที่ไม่ซื่อสัตย์อยู่บ้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่ประชาชนคงไม่สามารถไปควบคุมไม่ให้เกิดขึ้นได้ แต่สิ่งที่ทุกคนกำหนดได้แน่ๆ คือ “ตัวเราเอง” ที่จะสามารถเตือนตัวเองไม่ให้ลืมพก “ใบขับขี่” ไปด้วยในทุกครั้งที่ต้องขับรถ

“คนส่วนใหญ่ชอบคิดกลัวว่า ถ้าเราทำผิดแล้ว เราจะต้องได้รับโทษยังไงบ้าง แต่ทำไมเราไม่มองย้อนกลับไปว่า ถ้าเราไม่ทำผิดล่ะ มันก็ไม่มีปัญหาแล้วใช่ไหมคะ ในเมื่อทุกคนรู้อยู่แล้วว่าถ้าทำสิ่งนี้ลงไป แล้วจะได้รับผลอะไรกลับคืนมา แล้วทำไมเราถึงไม่เลือกที่จะทำให้มันถูกตั้งแต่แรก จะได้ไม่ต้องกลายมาเป็นระบบฝากนู่นฝากนี่ เพื่อขอความช่วยเหลือกัน



ถ้าอยากแก้ปัญหานี้ คงต้องเริ่มที่ตัวเราเองก่อนค่ะ เริ่มที่ตัวคนขับก่อนว่าต้องพกใบขับขี่ให้เป็นนิสัย ซึ่งกิ่งมองว่ามันไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงอะไรมากนะ อย่างตัวกิ่งเอง กิ่งก็ไม่เคยลืมพกเลย เพราะมันจะอยู่ในกระเป๋าที่กิ่งพกไปไหนมาไหนด้วยทุกวัน ในนั้นจะมีทั้งกุญแจรถ และใบขับขี่อยู่ในที่เดียวกัน คือถ้าไม่หยิบกระเป๋าใบนี้ไป เราก็จะขับรถไม่ได้

อีกอย่าง เป็นเพราะคุณแม่กิ่งจะคอยเตือนเรื่องนี้ตลอด ถามตลอดก่อนออกจากบ้านว่า พกใบขับขี่ไปหรือเปล่า เพราะเขาก็เป็นห่วงเราค่ะ ถึงแม้เราจะเป็นตำรวจก็ตาม แต่ถ้าโดนจับเรื่องใบขับขี่ขึ้นมา มันจะยิ่งดูไม่โอเคเข้าไปใหญ่”

ถามตรงๆ ผ่านสายตาคนสวมชุดกากีว่า รู้สึกยังไงบ้างที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยในสังคม มักหยิบเอาอาชีพ “ตำรวจ” เข้าไปพัวพันกับคำว่า “รับใต้โต๊ะ” จนกลายเป็นประเด็นกระแหนะกระแหนให้ได้ยินกันบ่อยครั้ง ในฐานะคนที่อาจถูกมองอย่างเหมารวมไปด้วยอย่างหมวดกิ่งแล้ว เธอไม่เคยรู้สึกน้อยใจหรือคิดมากอะไร แต่มองอย่างเข้าใจและยังคงเชื่อใน “เกียรติของตำรวจ” เสมอมา



“จริงๆ แล้วกิ่งว่า อาชีพตำรวจเป็นอาชีพที่วางตัวลำบากนิดนึงนะ เพราะเป็นอาชีพที่ต้องปฏิสัมพันธ์กับประชาชนมากกว่าอาชีพอื่น และยังเป็นการติดต่อกันในกรณีที่เกิดปัญหาในชีวิตด้วย

โดยเฉพาะสายงานสอบสวน ที่ไม่ว่าประชาชนจะได้รับความทุกข์เรื่องอะไรมา ก็จะเข้าหาตำรวจก่อนเลยเป็นอันดับแรก ทั้งรถชน, รถหาย, โดนจับ, ถูกขโมย ฯลฯ ก็เลยอาจจะเสี่ยงมากกว่าอาชีพอื่นๆ ที่จะทำให้ประชาชนรู้สึกไม่พอใจได้ง่ายๆ ก็ถือเป็นอาชีพที่ต้องคอยรับความเครียดจากคนอื่น และทำให้คนมาคอยโฟกัสกับอาชีพนี้มากกว่าอาชีพอื่นๆ ด้วย

แต่ถึงยังไงก็ตาม ถึงจะมีคนบางส่วนมองภาพตำรวจแบบเหมารวมไปบ้าง แต่ทุกวันนี้เวลาถามเด็กๆ ว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร เด็กส่วนใหญ่ก็ยังคงตอบว่า “อยากเป็นตำรวจ” อยู่ดีนะคะ ไม่ว่าจะเป็นน้องๆ ผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม (ยิ้ม) กิ่งเลยรู้สึกเสมอค่ะว่า อาชีพนี้เป็นอาชีพที่มีเกียรติ”



ลูกไม้ใต้ต้น ภาคภูมิใจใน “เครื่องแบบ”

[เป็นตำรวจตามรอยคุณพ่อ]
จากบัณฑิตรั้วศิลปากร คณะมัณฑนศิลป์ สาขาออกแบบเครื่องแต่งกาย (แฟชั่นดีไซน์) ใครจะคิดว่าสุดท้ายเธอจะผันตัวมาเป็นคนในเครื่องแบบ รับผิดชอบสายอำนวยการ คอยประสานงานด้านเอกสารอย่างทุกวันนี้ เพราะแม้แต่เจ้าตัวเองก็ไม่เคยนึกถึงเส้นทางนี้เช่นเดียวกัน จนกระทั่งวันที่ต้องสูญเสีย “เสาหลักของบ้าน” ไปอย่างไม่ทันตั้งตัว ถนนสาย “ข้าราชการ” จึงกลายมาเป็นความมั่นคงของครอบครัวที่เธอตัดสินใจเลือกเป็น

“หลังจากคุณพ่อกิ่งเสียไป เมื่อประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว คุณแม่เลยอยากให้กิ่งเข้ามาเป็นตำรวจตามคุณพ่อค่ะ อยากให้เข้ามารับราชการ เพราะเขารู้สึกว่ามันมั่นคงกว่า และคุณแม่ก็มองว่าอาชีพตำรวจเป็นอาชีพที่สามารถปกป้องเขาได้ แล้วก็สามารถทำประโยชน์ให้สังคมได้ด้วย”

จริงๆ แล้ว หมวดกิ่งมีพี่ชายอีก 1 คนที่น่าจะเป็นความหวังให้แก่คุณแม่ในเรื่องการับราชการตำรวจได้ แต่ในช่วงเวลานั้น พี่ชายที่อายุต่างออกไป 7 ปี ได้วางรากฐานชีวิตให้ตัวเองเดินในเส้นทางการเป็น “นายธนาคาร” ไปเรียบร้อยแล้ว น้องสาวคนสุดท้องของบ้านจึงถูกคุณแม่มองว่า เหมาะสมที่สุดที่จะรับไม้ต่อในชุดสีกากี

จากชีวิต “เด็กสายศิลป์” เป็นนักเรียนแฟชั่น มีชีวิตที่ไร้กรอบมาตลอด 4 ปี พอต้องพาตัวเองมาอยู่ในเครื่องแบบ เดินตามกฎระเบียบของคนในวงการนี้ บอกตรงๆ ว่าช่วงแรกๆ เธอเองก็แทบปรับตัวไม่ทันเหมือนกัน จากที่เคยย้อมผมสีทองเปรี้ยวปรี๊ด ก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นผมสีดำ จากเคยแต่งหน้าจัดจ้าน ก็เหลือเพียงรองพื้นบางเบา แต่สุดท้ายเมื่อเธอลองเปิดใจ ปล่อยให้ตัวเองได้ซึมซับสังคมแบบใหม่ ก็ทำให้ “เลือดตำรวจ” ที่หลงเหลืออยู่ในตัว สูบฉีดไหลเวียนได้อย่างไม่ขัดเขินได้สำเร็จ


[งานออกแบบสมัยเรียน “แฟชั่นดีไซน์”]

“มีรู้สึกบ้างเหมือนกันค่ะช่วงแรกๆ ว่า ทำไมกฎระเบียบมันเยอะจัง (ยิ้ม) แต่พอเราได้มาเรียนรู้จุดนี้ เราก็เข้าใจว่าทุกอย่างก็ต้องมีกฎ-มีระเบียบ ไม่งั้นทุกคนจะปฏิบัติตัวยังไง เราเลยต้องมีบรรทัดฐานขึ้นมา เพื่อให้ทุกคนวางตัวอยู่ในระเบียบเดียวกัน

จากช่วงแรกๆ ที่เรายังไม่เข้าใจ พอกิ่งใส่เครื่องแบบ กิ่งก็แค่รวบผมปกติ ยังไม่รู่าต้องใส่เน็ต แหวนก็ยังใส่เต็มมือเหมือนเวลาไปเที่ยว แต่งหน้าก็จัดมาก เพราะเรายังไม่ได้สนใจอะไร แต่พอเราได้เข้าไปฝึกจริงๆ เราก็เริ่มซึมซับทั้งเรื่องวัฒนธรรมและการวางตัว ว่าอะไรที่เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ได้รู้ว่าเวลาไปทำงาน เราก็ควรแต่งหน้าอีกแบบ เน้นแต่งอ่อนๆ หรือไม่ก็ไม่แต่งเลย คือถ้าเมื่อไหร่เราใส่เครื่องแบบ เราก็ต้องเรียบร้อย

กลายเป็นว่าทุกวันนี้เวลาใส่เครื่องแบบ กิ่งกลับรู้สึกว่ากิ่งเท่นะ (ยิ้ม) จริงๆ หลายๆ อาชีพก็มีเครื่องแบบเป็นของตัวเองแหละค่ะ ทั้งแอร์โฮสเตส ทหาร ฯลฯ กิ่งว่าเครื่องแบบคือสัญลักษณ์อย่างนึงที่สื่อถึง “ความมีเกียรติ”

อย่างเครื่องแบบตำรวจก็ทำให้กิ่งรู้สึกตัวอยู่เสมอว่า เราเป็นตำรวจนะ เป็นอาชีพที่มีเกียรติ และเราก็ควรจะวางตัวให้สมเกียรติอย่างที่เราได้รับมา ซึ่งกิ่งก็รู้สึกดีและรู้สึกภาคภูมิใจมากค่ะในเครื่องแบบของตัวเอง



แต่ในอีกมุมนึง มันก็ทำให้กิ่งรู้สึกต้องรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเอง รับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้นด้วย คือถึงหน้างานที่กิ่งทำ อาจจะไม่ได้ไปติดต่อกับประชาชนโดยตรง แต่ภาระหลายอย่างมันก็มาพร้อมกับเกียรติที่เราแบกไว้เหมือนกัน ทำให้เรายิ่งต้องทำงานให้สมเกียรติ

และถ้าในอนาคต อายุงานที่มากขึ้นอาจทำให้ยศของเราปรับขึ้นด้วย เราก็ยิ่งต้องรับผิดชอบให้มากขึ้น กิ่งคิดเสมอค่ะว่าเราต้องพัฒนาตัวเองตลอด เพื่อให้ควรคู่กับเกียรติตรงนี้”

ถึงแม้ว่าสายงานฝ่ายอำนวยการที่เธอรับผิดชอบอยู่ จะเป็นคนละสายกับฝ่ายสอบสวนที่คุณพ่อของเธอเคยทำ แต่ยังมีสิ่งนึงที่เชื่อมโยงกันได้ ก็คือทัศนคติเรื่อง “ความรับผิดชอบ” และ “ความซื่อสัตย์” ที่หมวดกิ่งยังคงใช้เป็นแนวทางและหลักยึดมาจนถึงทุกวันนี้

“คุณพ่อเป็นตัวอย่างที่ดีในการทำงานอะไรยากๆ ค่ะ กิ่งคุ้นเคยกับคุณพ่อมาตั้งแต่เด็ก ได้เห็นการทำงานของท่านตลอด เห็นว่าท่านหอบงานกลับบ้านทุกวัน ต่อให้วันเสาร์-อาทิตย์ แต่ถ้ามีความเคลื่อนไหวของคดีที่นัดหมายกันไว้ ก็ต้องไปติดตามงานเพื่อไปสืบสวนต่อ

และท่านก็จะยึดถือเรื่องการไม่เอาเปรียบคนอื่นเอาไว้เสมอ ทำให้คุณพ่อไม่เคยเอาเปรียบใคร ท่านเป็นตำรวจที่ดีมาตลอด ตั้งแต่หนูเกิดมา หนูจะเห็นภาพพ่อช่วยเหลือคนอื่น และทุกคนก็รักและยอมรับในตัวตนของคุณพ่อแบบนั้นค่ะ”



“วิ่งเปลี่ยนชีวิต” ใช้ความเศร้าผลักให้ก้าวต่อไป

จะมีสักกี่คนที่สามารถแปลง “แรงเสียดทาน” เปลี่ยน “แรงผลักด้านลบ” ให้กลายเป็น “ประกายไฟ” ส่องสว่างชีวิตของตัวเองได้... ผู้หญิงแกร่งที่อยู่ตรงหน้าคือหนึ่งในคนประเภทนั้น คือคนที่เคยเปลี่ยนความทุกข์ระทมภายในใจ จากการสูญเสียบุคคลสำคัญที่สุดในชีวิตไปอย่างไม่มีวันหวนคืน ให้กลายเป็นแรงก้าวบนเส้นทางสายใหม่ เส้นทางที่มีเพียง “2 เท้า” ของตัวเธอเองเท่านั้นเป็นฝ่ายกำหนดโชคชะตา

จากคนที่แทบไม่เคยสนใจเรื่องการออกกำลังกายเลย กลับลุกขึ้นมาต่อสู้กับตัวเองครั้งใหญ่ คว้ารองเท้าผ้าใบขึ้นมาลองสับขาซ้ายขวา จากวิ่งได้ไม่ถึง 500 เมตร กลายเป็น 1 กม. ขยายเป็น 5 กม. จนไปแตะที่ระยะ 10 กว่ากม.ภายในเวลาไม่ถึงปี เรียกว่าขยันจนได้ดี จนถูกทีม “Beyond” ทีมวิ่งชื่อดังในสายรันเนอร์ขณะนั้น ทาบทามให้เป็น “ไอดอลนักวิ่ง” เป็นตัวแทนของคนเริ่มวิ่งที่พัฒนาตัวเองไปได้อย่างก้าวกระโดดจนน่าเอาเป็นแบบอย่าง

“หลังจากคุณพ่อเสียไปได้สักพัก กิ่งเลยเริ่มวิ่งค่ะ เหมือนช่วงนั้นเราเจออะไรหลายๆ อย่างเข้ามาในชีวิตด้วย จนรู้สึกว่าแทบไม่เหลือหลักอะไรในชีวิตให้ยึดแล้ว ก็เลยคิดว่าเราควรจะเอาเวลาว่างตรงนี้มาทำอะไรบางอย่าง เพื่อให้มันกลับมาเป็นจุดพัฒนาตัวเราเอง ก็เลยเลือกที่จะใช้การวิ่งนี่แหละค่ะ มาเป็นทางออกในตอนนั้น

ช่วงนั้น กิ่งเลยวิ่งหนักมาก วิ่งทุกวันเลยค่ะ วันไหนไม่ได้วิ่งจะรู้สึกไม่โอเค ยังไงก็ต้องเอาเหงื่อออกให้ได้ คือแม้แต่วันที่ฝนตก กิ่งยังวิ่งเลย เพราะวิ่งแล้วรู้สึกมันช่วยเปลี่ยนความรู้สึกดาวน์ๆ ของเราตอนนั้นให้ดีขึ้นได้เยอะมากจริงๆ เหมือนตอนที่วิ่ง เราจะลืมความเครียดทุกอย่าง แล้วมาตั้งเป้าหมายอยู่กับตัวเองว่า วันนี้เราจะวิ่งให้ได้เท่าไหร่

สมมติว่าวันนี้กิ่งตั้งเป้าไว้ว่า ต้องวิ่งให้ได้ 5 กิโล เราก็จะโฟกัสอยู่แค่ตรงนั้นว่า วันนี้เราจะวิ่งแบบนี้ๆ นะ ทำให้ลืมคิดเรื่องอื่นไปได้หมด และไม่ไปซีเรียสกับเรื่องชีวิตตัวเอง ฟังเพลงไป วิ่งไป ไปเจอเพื่อนที่สวนก็คุยกันเรื่องวิ่ง เรื่องสุขภาพ ได้แลกเปลี่ยนมุมมองกับคนอื่น บางคนไปวิ่งแล้วเจอกันบ่อยๆ กลายเป็นสนิทกันไปเลยก็มี



พอดีกับว่าช่วงนั้น ทางทีม Beyond เขากำลังหาไอดอลเกี่ยวกับการวิ่งด้วย เพื่อจะทำให้คนอื่นๆ หันมาสนใจสุขภาพตัวเอง และกิ่งเองก็ไม่ใช่คนวิ่งเร็วอะไรมาก แต่อาศัยว่าเราขยันวิ่ง ฝึกวิ่งทุกวัน เขาก็เลยอยากให้เรามาเป็นตัวแทนของคนที่เพิ่งเริ่มวิ่ง แนะนำให้กิ่งส่งโปรไฟล์เข้าไปออดิชัน สุดท้ายจากทั้งหมด 30 กว่าคน กิ่งก็ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 2 คนที่เขาเปิดรับสมัครค่ะ

พอได้เป็นสมาชิกทีม ก็จะนัดกันวิ่งอาทิตย์ละครั้ง ซ้อมกันทุกวันเสาร์ ตอนประมาณ 6 โมงเช้า ที่สนามเทพหัสดินฯ คิดดูว่าบ้านกิ่งอยู่พระราม 2 กิ่งก็ขับรถเพื่อไปวิ่งที่นั่น (ยิ้ม) พยายามมาก เพราะกิ่งเป็นคนที่ถ้าตั้งใจทำอะไรสักอย่างแล้ว รู้สึกว่าเราต้องทำให้ถึงที่สุด”

แต่ทุกวันนี้หมวดกิ่งไม่ได้มีไลฟ์สไตล์แบบทุ่มให้กับการวิ่งเหมือนเดิมแล้ว ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะเธอไม่จำเป็นต้องหาบางอย่างมาเป็นแรงผลัก เพื่อรักษาสภาพจิตใจที่บอบช้ำเหมือนอย่างวันวานอีกแล้ว และอีกส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะการย้ายที่ทำงานครั้งล่าสุดด้วย ที่ทำให้คนชอบวิ่งในสวนสาธารณะอย่างเธอ ต้องเปลี่ยนเป็นวิ่งบนลู่วิ่งที่คอนโดแทน

“พอย้ายมาทำงานที่ใหม่ กิ่งก็ย้ายมาอยู่คอนโด ซึ่งมันมีแต่ลู่วิ่ง ไม่มีสวนแถวๆ นั้น กลายเป็นว่าพอมาลองวิ่งลู่แล้ว เราเบื่อเร็วมาก เหมือนวิ่งไปตั้งนานทำไมเพิ่งได้ 1 กิโลเอง แถมยังมีคนมาคอยกดดันอยู่ด้านหลังด้วย เพราะเขาจะมาใช้เครื่องต่อ (หัวเราะเบาๆ) ต่างจากตอนวิ่งในสวนมากค่ะ ที่วิ่งแป๊บๆ มองนั่นมองนี่ก็ได้ 2 กิโลแล้ว

แต่ส่วนนึงก็ต้องยอมรับว่า มันคงเป็นข้ออ้างของกิ่งด้วยแหละ (ยิ้ม) ที่เลือกที่จะวิ่งเฉพาะในสวนสาธารณะเท่านั้น ก็เลยทำให้เราไม่ค่อยมีแรงบันดาลใจอยากวิ่งกับเครื่องเท่าไหร่ ก็มีพี่ๆ ในทีมวิ่งเขาแนะนำนะคะว่า ให้เอาทีวีมาดูไปด้วยไหมระหว่างวิ่ง จะได้เพลินๆ แต่กิ่งไม่ชอบวิ่งไปแล้วโฟกัสกับหน้าจอไป กิ่งทำไม่ได้ ช่วงหลังๆ เวลาออกกำลังบนลู่ ก็เลยจะเป็นการเดินนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้วิ่งแบบซีเรียสเท่าเดิม



ตอนนี้ทุกคนในทีมก็พยายามเชียร์ให้กิ่งกลับมาวิ่งอยู่นะคะ บอกว่าเมื่อไหร่จะกลับมา ทักว่าเดี๋ยวนี้เริ่มอ้วนขึ้นแล้วนะ (ยิ้ม)อย่างทุกวันนี้ เวลามีคนเข้ามาถามว่า เราดูแลหุ่นยังไง กิ่งจะไม่ตอบเลย เพราะทุกวันนี้กิ่งไม่ได้ดูแลอะไรเลย ยังอยู่ในช่วงพักการดูแลค่ะ (หัวเราะ) กิ่งเลยรู้สึกว่าเรายังไม่สามารถเป็นตัวอย่างที่ดีให้ใครได้ในตอนนี้”

ให้ลองวัดจากมุมมองของคนที่เคยเสพติดการวิ่งอย่างหนักอย่างกิ่งแล้ว เธอมองว่าเทรนด์การออกกำลังกายสายนี้โตขึ้นเยอะมาก แนวคนเป็นแฟนกัน จับคู่ไปวิ่งพร้อมกันก็มี ซึ่งถือเป็นความเคลื่อนไหวที่ดี เพราะนอกจากจะได้ใช้เวลาร่วมกันแล้ว ยังได้สร้าง “สังคมแห่งสุขภาพ” ไปพร้อมๆ กันด้วย

“ถามว่าการวิ่งตอนนี้ถือเป็นเทรนด์ไหม ก็คงเป็นเทรนด์อย่างนึงค่ะ เพราะมีบางคนที่ออกมาวิ่งตามเทรนด์จริงๆ แต่กิ่งมองว่ามันเป็นเรื่องที่ดีมากกว่านะคะ เพราะอย่างน้อยเขาก็ได้เริ่มก้าวออกไปวิ่งแล้ว คืออย่างน้อยๆ แค่ลองทำตามเทรนด์ ก็ยังได้ลองทำ มันดีกว่าคนที่นั่งพูดอยู่ที่บ้าน แต่ไม่เคยออกไปลองทำอะไรเลย”



บทเรียนจากเสาหลัก ที่สุดแห่ง “ความสูญเสีย”

ทุกครั้งที่บทสนทนาดำเนินมาถึงช่วงที่ต้องเอ่ยถึง “คุณพ่อ” เห็นได้ชัดว่าแววตาของเธอจะสะท้อน “ความเศร้า” บางอย่างที่หยั่งรากลึกอยู่ในใจออกมาในทันที เป็นเพราะการลาจากกันในครั้งนั้น ถือเป็นความสูญเสียอย่างกะทันหันของครอบครัวชัยสวัสดิ์ ทั้งยังเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ซึ่งสั่นคลอนจิตใจสมาชิกทุกคนในบ้าน

บ้านที่ครั้งหนึ่งเคยมั่นคงแข็งแรง กลับถูกรื้อถอนเสาหลักออกไป... แม้เสาต้นเล็กที่สุดของบ้านจะไม่ขอบอกเล่ารายละเอียดในวันแห่งฝันร้าย แต่เธอยังยินดีที่จะแลกเปลี่ยนวันแห่งการต่อสู้เพื่อหยัดยืนขึ้นใหม่ โดยหวังให้อีกหลายๆ ชีวิตที่ต้องเผชิญกับโชคชะตาอันโหดร้าย ได้รับรู้ว่าพวกเขาไม่ได้กำลังฟันฝ่ากลุ่มพายุฝนอยู่เพียงลำพังบนโลกใบนี้

“สิ่งที่เกิดขึ้นมันทำให้กิ่งรับรู้ว่า เวลาเราทุกข์ มีแค่คนในครอบครัวเท่านั้นเองค่ะที่จะคอยค้ำจุน และพยายามดึงมือกันให้เดินไปข้างหน้าได้ เพราะต่อให้มีกี่ร้อยมือส่งมาให้ความช่วยเหลือ แต่ท้ายที่สุดแล้ว คนเหล่านั้นเขาก็ไม่สามารถยื่นมือมาคอยช่วยเราได้ตลอดทาง อาจจะสามารถให้ความช่วยเหลือได้ในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น

เพราะฉะนั้น ถ้าคนในครอบครัวไม่กำมือกันให้แน่น ถ้ายังไม่สามารถสร้างกำลังใจให้เกิดขึ้นมาด้วยตัวของเขาเอง หรือไม่ได้เข้าใจสภาพความเป็นไปที่เกิดขึ้น ยังไงเราก็ไปต่อไม่ได้


[ในวันที่ “คุณแม่” กลายเป็นเสาหลักของบ้าน]

ตอนที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น ทั้งกิ่งและคนในครอบครัว ทุกคนก็ช็อกไปเลย ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเจออะไรแบบนั้น แต่เราก็ต้องพยายามดึงกันขึ้นไป คุณแม่ก็จะพูดดึงสติทุกคนตลอดว่า พวกเราต้องอยู่ต่อนะ เพื่อคุณพ่อ เราต้องทำตัวเองให้ดีขึ้นนะ แล้วหลังจากนั้น พอปล่อยให้เวลามันผ่านไป ทุกอย่างก็ค่อยๆ ดีขึ้น เวลาจะช่วยเยียวยาหลายๆ อย่างให้เราเองค่ะ”

เมื่อต้องพบเจอกับเรื่องราวบางอย่างที่กระทบใจ บางครั้งอาจเป็นเหตุการณ์ที่ไม่อาจทำใจให้ยอมรับได้ แต่สุดท้ายแล้ว ถึงจะยากเย็นสักเพียงใด ก็จำเป็นต้องทำใจและเดินหน้าต่อไป นี่แหละคือบทเรียนหนักๆ ในชีวิตที่ครั้งหนึ่งกิ่งเคยได้สัมผัสมาด้วยตัวเอง

“ถามว่าตอนนั้นกิ่งจัดการกับอารมณ์ของตัวเองยังไง เอาจริงๆ กิ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องทำยังไง (ยิ้มเย็นๆ) รู้แค่ว่าพอเราเสียใจ เราก็ปล่อยตัวเองให้ร้องไห้ ร้องจนกว่าจะไม่ไหวแล้ว ก็หยุดร้อง แล้วกิ่งก็คิดได้ว่ายังไงเราก็ต้องเดินหน้าต่อ สิ่งที่สามารถทำได้ก็คือการเหลือไว้แค่ “ความคิดถึง” เพราะยังไงเราก็ลืมไม่ได้อยู่แล้ว แค่เปลี่ยนไปเป็นความคิดถึงแบบไม่มีตัวตนแล้ว

ช่วงที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นแรกๆ กิ่งก็มีช่วงโทษตัวเองเหมือนกันนะคะ โทษโชคชะตาว่าถ้ามันไม่เกิดเหตุการณ์วันนั้นขึ้น ชีวิตเราคงดีกว่านี้ แต่สุดท้าย คิดไปเราก็ทำอะไรไม่ได้ ก็เลยต้องพยายามพาตัวเองให้หลุดจากความคิดแบบนั้นให้ได้

และกิ่งก็เชื่อว่าอะไรที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่ามันจะเลวร้ายขนาดไหน แต่ทางต่อไปข้างหน้ามันต้องดีขึ้นแน่นอน หลังจากเรื่องร้ายๆ มันเกิดขึ้นกับเราแล้ว เรื่องดีๆ ก็ต้องเกิดขึ้นบ้าง เพราะไม่มีชีวิตใครหรอกค่ะที่จะเจอกับเรื่องเลวร้ายตลอดไป ก็ให้เราเก็บเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นมาเป็นประสบการณ์ เตือนตัวเองว่าเราจะจัดการกับอารมณ์ของตัวเองยังไง

ถ้าเทียบกับเมื่อก่อน ตอนเราเด็กๆ กิ่งแค่อกหัก ถูกแฟนทิ้ง กิ่งยังร้องไห้จะเป็นจะตาย แต่พอมาเจอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคุณพ่อ เรารู้เลยค่ะว่าความรู้สึกเสียใจในวันนั้นมันเด็กๆ ไปเลย แต่สุดท้าย ไม่ว่าเรื่องราวอะไรที่ผ่านเข้ามา มันก็เข้ามาเพื่อทำให้เราเข้มแข็งขึ้น

เวลาเราเจอเรื่องอะไรที่มันกระทบใจ คงเป็นธรรมดาแหละค่ะที่เราจะตั้งคำถามกับชะตาชีวิตตัวเองว่า ทำไมเราต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย ทำไมฟ้าถึงลิขิตให้ชีวิตเราเป็นแบบนี้ แต่สุดท้ายแล้ว เราก็ต้องดึงตัวเองขึ้นมาให้ได้ ในเมื่อเหตุการณ์มันเกิดขึ้นไปแล้ว เราคงไม่สามารถกลับไปแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้

เราอาจจะร้องไห้ แต่สักวันน้ำตาก็ต้องหยุดไหล หลังจากปล่อยให้ตัวเองร้องออกไปแล้ว สักวันนึงเราก็ต้องกลับมาเข้มแข็งอีกครั้งให้ได้”



[“หนูกิ่ง” และพี่ชาย พร้อมทำหน้าที่ลูกเพื่อตอบแทน]
กลายเป็นว่าทุกวันนี้ จากที่เคยทะเลาะกับคุณแม่บ่อยครั้ง ก็ลดลงเหลือแค่งอนบ้างบางครั้ง จากที่เคยคิดถึงเรื่องอื่นอยู่เต็มหัวไปหมด ก็เหลือแค่ “เรื่องครอบครัว” มาเป็นอันดับแรกเสมอ เพราะเธอได้เรียนรู้จากบทเรียนแห่งความสูญเสียในครั้งนั้น และทำให้ตระหนักได้ว่า ชีวิตคือความไม่แน่นอน จึงควรให้เวลากับคนที่ควรค่าในชีวิตให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

“หลังๆ เวลาจะทำอะไร หนูจะคิดถึงความรู้สึกของแม่เป็นหลักเลย เพราะเขาเสียใจไปแล้วเรื่องเสียคุณพ่อไป ตอนนี้ก็เหลือหนูกับพี่ชายแค่ 2 คน เราก็พยายามจะทำทุกอย่างให้มันออกมาดีที่สุด อะไรที่มันไม่ดีก็ต้องปรับความเข้าใจกันไป

คือหนูก็ไม่ได้เป็นคนดี 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้ามีส่วนไหนที่ทำไม่ดีไปบ้าง ดื้อไปบ้าง แต่เราคิดได้ทีหลัง เราก็จะขอโทษท่าน และพยายามปรับตัว ไม่ทำให้มันเกิดขึ้นอีกค่ะ

ถ้าให้จัดลำดับความสำคัญในชีวิตทุกวันนี้ สำหรับกิ่งเรื่องครอบครัวต้องมาก่อนเป็นอันดับแรกเลย อันดับต่อไปก็คงต้องเป็นเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัวค่อยตามมาทีหลัง (ยิ้ม) แต่ถ้าเป็นวันทำงาน ยังอยู่ในเวลางาน เราคงต้องให้ความสำคัญกับเรื่องงานมากกว่าเรื่องส่วนตัว แล้ววันหยุด กิ่งถึงจะให้ความสำคัญกับเรื่องส่วนตัวมากกว่า ยกเว้นว่าจะเป็นงานด่วนจริงๆ

...ต้องบอกว่าจากการสูญเสียครั้งนั้น มันทำให้กิ่งใส่ใจคนในครอบครัวขึ้นเยอะมาก ถึงเราอาจจะไม่ได้มีเวลาอยู่กับเขาตลอดเวลา แต่พอได้อยู่ด้วยกัน กิ่งก็จะพยายามสื่อสารกันให้ได้มากที่สุด ให้เราเข้าใจกัน เราจะได้ไม่เสียดายทีหลังที่ไม่ได้พูดคุยกัน เพราะชีวิตคนคนนึงมันคาดเดาอะไรไม่ได้เลย อยู่ดีๆ เราอาจจะต้องจากกันไปอย่างง่ายดาย โดยที่เราไม่มีวันรู้...”


สลัดคราบ “เซ็กซี่” เพราะคุณแม่ขอร้อง

จริงๆ กิ่งก็ไม่ได้อยากให้คนมองว่าเป็น “เน็ตไอดอล” อะไรนะคะ เพราะกิ่งก็ยังใช้ชีวิตปกติ แต่ก็รู้สึกดีใจค่ะถ้ามีคนมาชื่นชม แต่ก็ตกใจเหมือนกันที่จู่ๆ วันนึงก็มีคนตามมา follow เราเยอะมาก จากปกติคนตามอยู่ประมาณ 3,000 กว่า ก็กลายเป็น 40,000 กว่าแล้วค่ะทุกวันนี้ จากแต่ละรูปที่ลง มากสุดเคยมีคนกดไลค์ 60-70 ทุกวันนี้ยอดก็ขึ้นเป็นหลักพัน

เป็นเพราะมีคนเอารูปกิ่งไปลงตามโซเชียลฯ โปรโมตว่าเป็น “ผู้หมวดเซ็กซี่” (ยิ้มเขินๆ) คนก็เลยเข้ามาติดตาม เพราะช่วงแรกๆ ภาพที่กิ่งลง มันจะค่อนข้างเซ็กซี่นิดหน่อย แต่ก็ไม่ถึงกับวาบหวิวอะไรนะคะ ก็มีใส่สายเดี่ยวบ้าง เลยทำให้มีคนบางส่วนเข้ามาสนใจ แต่พักหลังๆ กิ่งก็พยายามแต่งตัวให้มิดชิดมากขึ้นแล้วค่ะ เพราะไม่อยากให้คนมองเราไปในแนวทางนั้นเท่าไหร่

ส่วนนึงเป็นเพราะการงานเราเป็นแบบนี้ด้วย เวลาคนอื่นเขามองมา กิ่งก็ไม่ได้อยากให้มองแยกกันไป แต่ก็ไม่ถึงกับว่ากิ่งต้องเปลี่ยนตัวเอง 100 เปอร์เซ็นต์นะคะ เพราะกิ่งก็ยังคงความเป็นตัวเองอยู่ ยังแต่งตัวติดเซ็กซี่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มากเท่าเมื่อก่อน เหมือนพอเราโตขึ้น เราก็ต้องคิดเยอะขึ้นด้วย

และส่วนนึงก็เป็นเพราะคุณแม่กิ่งท่านขอไว้ด้วยค่ะ (ยิ้มบางๆ) ด้วยความที่คุณแม่กิ่งเป็นครู ท่านเลยเป็นคนเจ้าระเบียบและค่อนข้างเรียบร้อย พอเขามาเห็นรูปเราแต่งเซ็กซี่ หลังจากช่วงที่มีคนเอาภาพเราไปโพสต์ตามโซเชียลฯ ก็เริ่มมีคนเอาภาพพวกนั้นมาให้คุณแม่ดู มันก็เลยกลายเป็นประเด็น (หัวเราะเบาๆ)

จากปกติคุณแม่กับกิ่งจะไม่ได้เป็นเฟรนด์กันในโซเชียลฯ อยู่แล้ว เขาเลยจะไม่ค่อยได้เห็นภาพแบบนี้เท่าไหร่ หรืออย่างเวลากิ่งใส่สายเดี่ยว ตอนกลับบ้านกิ่งก็ใส่เสื้อคลุมตลอด คุณแม่เลยอาจจะไม่เห็นเราในมุมนั้นว่า มันเซ็กซี่เกินไปนะ (ยิ้ม) พอเขามาเห็นภาพแบบนั้น เขาเลยถึงกับบอกว่า คราวหลังไม่เอาแบบนี้แล้วได้ไหม หลังๆ กิ่งเลยพยายามแต่งให้มันดูเรียบร้อยขึ้น



คือหลังจากที่คุณแม่เห็นภาพเราแนวเซ็กซี่วันนั้น คุณแม่กลับบ้านมาก็โกรธหนูมาก ไม่คุยกับหนูไปเลย 4 วัน (ยิ้มเนือยๆ) เพราะเขารู้สึกไม่โอเคกับการแต่งตัวของเรา สุดท้ายก็เลยต้องมานั่งคุยกับกันว่า เราพบกันครึ่งทางแล้วกัน หนูจะพยายามแต่งให้เรียบร้อยขึ้นนะ แต่ก็จะไม่ใช่เสื้อแขนยาว-ขายาวอะไรขนาดนั้น คือถ้าจะใส่เสื้อแขนยาว หนูอาจจะใส่ขาสั้น เพราะหนูเองก็ชอบเรื่องแฟชั่นด้วย

แต่ก็ต้องดูเรื่องกาลเทศะด้วยค่ะ อย่างเวลาไปรับคุณแม่ที่โรงเรียน กิ่งก็รับปากว่าจะใส่กางเกงขายาว เสื้อแขนสั้นที่เรียบร้อยตลอด แต่ถ้าเวลาไปเที่ยวกลางคืน จะให้มาใส่แขนยาว-ขายาว มันก็คงไม่ใช่ ซึ่งหลังจากวันนั้นมา เราก็เข้าใจกันมากขึ้นแล้วค่ะ แต่ก็ต้องเข้าใจว่า ด้วยความที่แนวกิ่งไม่ใช่ผู้หญิงสายแบ๊วอยู่แล้ว เหมือนเรามาทางสายเซ็กซี่อยู่แล้ว คือถึงเราจะแต่งตัวมิดชิด แต่รัดรูปนิดหน่อย มันก็ยังดูเซ็กซี่อยู่ดี ก็เลยต้องขอคุณแม่ค่ะว่า ขอพบกันครึ่งทาง (ยิ้ม)

คือจริงๆ แล้ว กิ่งก็ไม่ได้มองว่าตัวเองเซ็กซี่อะไรขนาดนั้นนะ เพราะกิ่งเป็นคนตลกมากกว่าด้วยซ้ำ แต่ด้วยหน้าตากิ่ง ด้วยหุ่นกิ่ง ก็เลยอาจจะทำให้มีคนมองเราไปในทางนั้น

แต่สำหรับกิ่ง กิ่งว่าความเซ็กซี่ของผู้หญิง อยู่ที่ “ความน่าค้นหา” ค่ะ ผู้หญิงคนไหนที่ได้คุยแล้ว รู้สึกว่าเขามีทัศนคติที่น่าค้นหา กิ่งจะรู้สึกว่าคนนั้นเซ็กซี่มากๆ อีกอย่างก็คือรอยยิ้มค่ะ ถ้าเป็นคน “ยิ้มแล้วมีเสน่ห์” ก็ทำให้เราเป็นผู้หญิงที่เซ็กซี่ได้เหมือนกันในความคิดกิ่ง



ไม่ใช่ “สาวแม่นปืน” แค่ยิงได้-ไม่พลาดเป้า


มีสื่อโซเชียลฯ บางที่เอาภาพกิ่งไปลง แล้วเขียนว่าเราเป็น “นักแม่นปืน” กิ่งนี่งงเลย (ยิ้มงงๆ) แต่ก็ไม่รู้จะออกมาแก้ข่าวกับใครค่ะ เพราะจริงๆ กิ่งก็ไม่ได้ยิงแม่นขนาดนั้น แค่ยิงได้ เหมือนตำรวจทุกคนที่ต้องฝึกพื้นฐานด้านนี้กันอยู่แล้ว เพราะตามหลักสูตรแล้ว เขาจะให้ทุกคนฝึกหลักสูตร กอส. (การฝึกอบรมหลักสูตรการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจ และบุคคลที่บรรจุหรือโอนมาเป็นข้าราชการตำรวจชั้นสัญญาบัตร) ก่อนหน้าจะบรรจุอยู่แล้วค่ะ 4 เดือน


เป็นหลักสูตรการฝึกในโรงเรียนนายร้อย ที่จะมีเรียนยิงปืนอยู่ในนั้นด้วยอยู่แล้ว ก็จะได้เรียนยิงปืนประเภทลูกโม่และกึ่งอัตโนมัติ สอนเรื่องของการเล็งศูนย์ คือไม่ว่าใครที่เข้าไปเรียน จบมายังไงก็ต้องยิงปืนเป็น คือพอรู้เทคนิคนิดนึงแล้ว ยังไงก็ยิงโดนเป้า ไม่พลาด ส่วนจะโดนจุดสำคัญไหมก็แล้วแต่ความแม่นของแต่ละคนค่ะ

ถามว่ากิ่งยิงแม่นไหม กิ่งก็ไม่กล้าบอกว่าตัวเองแม่นนะ (ยิ้ม) แต่ถ้าให้ยิงแค่โดนเป้าก็พอได้ค่ะ แต่อาจจะไม่ได้ตรงกลางเป๊ะ เวลานับคะแนนก็อาจจะไม่ได้คะแนนสูงสุด ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังมีไปฝึกที่สนามยิงปืนกับเพื่อนๆ อยู่บ้างค่ะ เพราะมันใกล้ที่ทำงาน ถ้าวันไหนมีพี่คนไหนเอาปืนมา และมีลูกกระสุนด้วย เขาก็จะชวนไปยิงด้วยกัน



ยังไม่ทิ้งฝัน!! “ดีไซเนอร์” ในคราบตำรวจ

[ผลงานการดีไซน์ สมัยเรียน ม.ศิลปากร]
ช่วงก่อนหน้านี้ กิ่งเคยทำแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองด้วยนะคะ แต่ช่วงหลังๆ ไม่ได้ทำแล้ว เพราะตอนนั้นกิ่งทำคนเดียว แล้วมันเหนื่อยมาก (ยิ้ม) ก็เลยต้องรออะไรหลายๆ อย่างลงตัวก่อนค่ะ ค่อยกลับมาทำต่อ

ตอนที่กิ่งเริ่มทำแบรนด์ตัวเอง ยังเป็นช่วงที่กิ่งเรียนอยู่ที่ ม.ศิลปากร อยู่เลยค่ะ (คณะมัณฑนศิลป์ สาขาแฟชั่นดีไซน์) ตอนนั้นกิ่งยังไม่มีรถใช้ด้วย คิดดูว่ากิ่งต้องนั่งรถเมล์ไปสำเพ็งเพื่อไปซื้อผ้า แล้วก็นั่งรถเมล์กลับมาหาช่างที่พระประแดง ซึ่งมันคนละฟากเลย แล้วก็ต้องนั่งรถเมล์ แบกผ้าหนักๆ ทำทุกอย่างคนเดียว


ตอนนั้นทำเอามันค่ะ ทำเพราะอยากทำ เราอยากลองขายดูว่าเราจะทำได้ไหม พอทำออกมาช่วงนั้นก็ขายดีมากนะคะ เพราะตอนนั้นตลาดเสื้อผ้าก็ยังไม่ได้บูมเท่าทุกวันนี้ แต่พอกิ่งเริ่มทำ thesis จบ กิ่งก็ไม่ได้ทำต่อแล้ว เพราะงานมันตีกัน แล้วมันเหนื่อยเกินไป

หลังจากนั้นก็มีลองเปิดร้านขายเสื้อผ้าออนไลน์ ซื้อเขามาขายต่อเล่นๆ มา mix and match เอง แต่หลังๆ กิ่งก็ไม่ค่อยได้ทำตรงนั้นแล้ว เพราะกิ่งรู้สึกว่ากิ่งชอบการดีไซน์เอง เลือกทุกอย่างเองมากกว่า แต่แบบนั้นมันก็ต้องใช้เวลาเยอะมาก และตอนนี้หลายๆ อย่างมันก็ยังไม่ลงตัว ก็เลยพักไว้ก่อนดีกว่า แต่ก็ยังฝันตลอดค่ะว่าสักวันนึงเราจะเป็นตำรวจไปด้วย แล้วก็ออกแบบเสื้อผ้าเองไปด้วยได้

ทุกครั้งที่ได้ทำงานออกแบบ กิ่งจะรู้สึกมีความสุข เหมือนได้ปลดปล่อยอะไรบางอย่าง เพราะการออกแบบมันไม่มีอะไรผิด-อะไรถูก มันเป็นจินตนาการ มันเป็น sense เป็นอะไรหลายๆ อย่างที่อยู่ในตัวเรา มันทำให้เราสามารถเผยตัวตนของเราออกมาได้ในสิ่งที่เราคิด เช่น เราเห็นผู้หญิงคนนึง แล้วเราอยากทำแบรนด์ให้ผู้หญิงคนนี้ออกมาในลุคอีกแบบนึง เราก็สามารถถ่ายทอดออกมาให้เป็นตัวตนของเราได้



แคป-ประจาน!! เมื่อ “ขาโหด” รับมือ “ขาหื่น”

ปกติแล้ว กิ่งจะเป็นคนไม่ค่อยชอบประจานใครนะคะ ส่วนใหญ่ถ้าเจอคอมเมนต์หยาบๆ ก็จะกดลบคอมเมนต์นั้นไป แต่ถ้าเจอคนที่เลวร้ายมากจริงๆ แบบรับไม่ไหวแล้วจริงๆ กิ่งก็จะแคปฯ หน้าจอคอมเมนต์นั้น แล้วเอามาลง story ของตัวเองเลยค่ะ ประจานให้คนอื่นเห็น เพื่อให้คนอื่นๆ ที่ follow เราอยู่ ช่วยกันเข้าไปกด report ไอจีของคนคนนั้น

เพราะบางคนเขาคุกคามเรามากเกินไปจริงๆ พูดจาแบบไม่ให้เกียรติผู้หญิงเลยก็มี บางครั้งพอเจอคนแบบนี้ที่คอมเมนต์แรงจนเรารับไม่ได้จริงๆ กิ่งก็จะประจานค่ะ เพื่อไม่ให้เขาไปทำกับผู้หญิงคนอื่นอีก



ไม่มีช่วงโปรโมชัน ดูแลกันไปยาวๆ

[“มาร์ค” หนุ่มที่ได้หัวใจหมวดกิ่งไปครอง]
พอเราโตขึ้น กิ่งก็รู้สึกว่า “ความรัก” ก็คือคำว่า “เพื่อนที่รู้ใจ” ที่อยู่ด้วยกันได้ทุกวัน คนที่ต่อให้โกรธก็ดีกัน แล้วก็ไม่ทิ้งเรา คนที่เราอยู่ด้วยแล้วสบายใจ ทำให้เราหัวเราะได้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วค่ะ


ถ้าเทียบกับตอนเด็กๆ ที่เราอาจจะเคยวาดภาพไว้ ต้องมีสเปกว่า ต้องหล่อ ต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พอโตแล้วเรารู้เลยค่ะว่า มันไม่ได้เป็นไปตามนั้นหรอก (ยิ้ม) ส่วนนึงเป็นเพราะพอเราโตขึ้น เราก็ไม่ได้มองอะไรเด็กๆ แบบนั้นแล้ว แต่เราวัดจากความรู้สึกเวลาที่อยู่ด้วยกันจริงๆ มากกว่าว่า ไปกันรอดไหม เข้ากันได้ไหม

ทุกวันนี้ พอกิ่งโตขึ้น กลายเป็นว่ากิ่งทะเลาะกับแฟนน้อยมาก เทียบกับตอนเด็กๆ เอะอะก็ทะเลาะ งอนตลอด แต่พอเราโตขึ้น เราไม่อยากทะเลาะเลย อยากพยายามปรับตัว ปรับความเข้าใจกันมากกว่า ทุกวันนี้ก็คบกันแบบไม่มีช่วงโปรโมชันเลยค่ะ (ยิ้ม) เขาเป็นยังไงก่อนหน้านี้ ตอนนี้ก็เป็นเหมือนเดิม จะไม่มีช่วงหวานหรือโรแมนติกอะไร จะออกแนวเป็นเพื่อนกัน ดูแลกันมากกว่า






สัมภาษณ์: MGR Live
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: ธัชกร กิจไชยภณ
ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม @gingigingi และเฟซบุ๊ก "Krittaya Chaisawat"
ขอบคุณสถานที่: Babylon Steakhouse (ประชาอุทิศ)


กำลังโหลดความคิดเห็น