โดนกระหน่ำเละ! อาจารย์หัวหน้าแผนกศาสนกิจโรงเรียนชายล้วนแห่งหนึ่ง จัดบรรยาย “เลี้ยงลูกไม่ให้เบี่ยงเบน” สังคมสาดกลับ! ล้าหลัง ซัดการที่เด็กมาอยู่โรงเรียนชายล้วน ไม่ได้ทำให้เด็กเบี่ยงเบนมากขึ้น แต่เกิดจากการปลูกฝังหลายๆ อย่างมาตั้งแต่เด็ก สะท้อนความไม่เข้าใจเรื่องเพศทางเลือก (LGBT)ในสังคมไทย แม้จะเป็นในระดับผู้ใหญ่แล้วก็ตาม ครูวิทยาศาสตร์ เพศทางเลือกชี้โลกนี้ไม่ได้มีแค่ชาย-หญิง! ล่าสุด WHO ประกาศว่า "คนข้ามเพศ" ไม่ได้ถือเป็นความผิดปกติทางจิตอีกต่อไป
เหยียดเพศ ล้าสมัย?
ถูกสังคมซัดจนต้องถอย! โรงเรียนชายล้วนชื่อดังจัดเสวนา "เลี้ยงลูกอย่างไรไม่ให้เบี่ยงเบน" บรรยายโดยอาจารย์หัวหน้าแผนกศาสนกิจของโรงเรียน
“การเบี่ยงเบนทางเพศมักจะมีสาเหตุมาจากสภาพแวดล้อมในวัยเด็ก โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมบางอย่างในครอบครัว ความเบี่ยงเบนทางเพศจะส่งผลอย่างไรบ้างต่อชีวิตของเยาวชน เราจะป้องกันสิ่งนี้ได้อย่างไร
ร่วมกันหาคำตอบจากการบรรยายของ หัวหน้าแผนกศาสนกิจ ท่านมีทั้งหลักวิชาการและประสบการณ์ในการให้คำปรึกษานักเรียนโรงเรียนชายล้วนมาเป็นเวลากว่า 20 ปี”
การบรรยายนี้อาจต้องยุติลงเมื่อ โลกโซเชียลฯ ซัดเพศทางเลือกไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว ไม่ใช่โรคร้าย จนต้องป้องกัน ตั้งคำถามทำไมไม่ให้ครูแนะแนวหรือครูเกี่ยวกับด้านจิตวิทยาให้คำแนะนำ และใช้ภาษาที่นุ่มนวลกว่า ว่า “เลี้ยงลูกอย่างไรไม่ให้เบี่ยงเบน” เป็นภาษาที่ใช้ในการสื่อความหมายในแง่ลบ นอกจากนี้ การใช้คำว่า "ป้องกัน" ยิ่งทำให้รู้เลยว่าไม่มีความเข้าใจ เพศทางเลือกไม่ได้ทำให้คนเป็นคนไม่ดี แต่จิตใจและความคิดคนต่างหาก
นอกจากนี้ สังคมชี้ ถ้าเปลี่ยนจากหัวข้อ "เลี้ยงลูกอย่างไรไม่ให้เบี่ยงเบน" มาเป็น "เลี้ยงลูกอย่างไร เมื่อลูกเบี่ยงเบน" เชื่อว่าจะดีกว่านี้ สะท้อนความไม่เข้าใจเรื่องเพศทางเลือก (LGBT) ของอาจารย์ผู้ที่คลุกคลีกับเด็ก
ทว่า ครูที่โรงเรียนดังกล่าวได้แสดงความคิดเห็นแย้งว่า น่าจะเป็นการเสาวนาตามหลักของศาสนา และเป็นการปรับทัศนคติให้ผู้ปกครองซึ่งเป็นเฉพาะกลุ่มซึ่งเล็กมากๆ ที่สนใจในประเด็นนี้มาพูดคุยกัน และเข้าใจเด็กกลุ่มนี้มากขึ้น
ไม่น่ามีเจตนาจะดูหมิ่นเพศที่ 3 แต่อย่างใด เพราะนักเรียนในโรงเรียนก็ใช้ชีวิตตามปกติ ที่โรงเรียนสอนให้เด็กๆรักกันด้วยสปิริตเดียวกันไม่ได้แบ่งเพศอะไร และโรงเรียนสอนว่าพระเจ้ารักมนุษย์ทุกคนไม่ว่าคนนั้นเป็นอย่างไร และการเสวนานี้เป็นกลุ่มผู้ปกครองเป็นคนจัดขึ้นมา และเชิญอาจารย์มาให้ข้อคิด น่าจะเป็นความสนใจของกลุ่มผู้ปกครองจริงๆ ย้ำ ไม่ได้มาแก้ตัวแทน เพราะปกติมีเสวนาหลายเรื่องผู้ปกครองจะเป็นคนคิดหัวข้อและเชิญวิทยากรมา
ทว่า เพจเฟซบุ๊กชื่อดังอย่าง Drama-addict ยังได้แสดงความคิดเห็นต่อกรณีนี้ไว้อย่างน่าสนใจ ว่า การนิยาม ตุ๊ด เกย์ ทอม ดี้ เลสเบี้ยน และอื่นๆอีกมากมาย เป็นรสนิยมทางเพศที่เบี่ยงเบน เป็นเรื่องล้าสมัยมาก
ทุกวันนี้เราถือว่า คนกลุ่มนี้เป็นรสนิยมทางเพศที่แตกต่าง ไม่ถือเป็นความผิดปรกติแต่ประการใด เด็กคนหนึ่ง เกิดมาเป็นเกย์ เพราะนั่นคือตัวตนของเขา ไม่ใช่ว่าเขาเดิมเป็นชาย แล้วออกนอกลู่นอกทางจนเป็นเกย์ ไม่ใช่ เรื่องแบบนี้บังคับกันไม่ได้
เด็กเป็นเกย์ก็เพราะเขาเป็นเกย์ เรื่องก็แค่นั้นเอง และคนที่ทำงานด้านการศึกษา ควรจะรู้เรื่องนี้ ดีพอๆกับหมอ เพราะเราคือคนที่มีผลต่อชีวิตของเด็กในวัยนี้มากสุด ไปปรับทัศนคติกันในหน่วยงานใหม่
ไม่ต้องไปเสวนา ทำยังไงไม่ให้เด็กเบี่ยงเบน ไปเสวนากันว่า ครู พ่อแม่ จะทำไงยังไง ถึงจะเลิกมองว่าเรื่องพวกนี้คือความผิดปรกติ และยอมรับเด็กในสิ่งที่ตัวเด็กเป็น จะดีกว่า
โลกนี้ไม่ได้มีแค่ชาย หญิง
คัดค้านการจัดกิจกรรมบรรยายดังกล่าวอย่าง ครูกาแฟ - อำพล ขวัญพัก ครูสอนวิชาวิทยาศาสตร์ ผู้ให้สัมภาษณ์ทีม MGR Live ชี้ในฐานะครูที่คลุกคลีอยู่กับนักเรียนมามากมาย มองว่าหัวข้อบรรยายแบบนี้มีความล้าหลัง ยอมรับตนเองเป็นเพศทางเลือก แนะควรเปลี่ยนหัวข้อจาก “เลี้ยงลูกอย่างไรไม่ให้เบี่ยงเบน เป็น “เรียนรู้และทำความเข้าใจอย่างไรในความหลากหลายทางเพศ” จะดีกว่า ชี้ในโลกนี้ ปากกาไม่ได้มีแค่มีแดง หรือ สีน้ำเงิน!
“จากการที่สัมผัสกับนักเรียน อาจารย์ ผู้ปกครอง องค์กรต่างๆ และตัวเองก็เป็นเพศทางเลือก ก็รู้สึกตลกเชิงซีเรียส เรื่องนี้ไม่ควรเป็นประเด็นที่เกิดขึ้นกับยุคสมัยนี้ เหมือนเขาฆ่าตัวเองชัดๆ
ก่อนหน้านี้ก็มีการรณรงค์ว่า เพศทางเลือกเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นความหลากหลายของกลไกสิ่งมีชีวิต อยู่แล้ว ที่ผ่านมาเราอาจจะเข้าใจผิดว่ามีแค่ A กับ B พูดกันทั่วบ้านทั่วเมืองมาหลายปีแล้ว
เป็นการสะท้อนอะไรบางอย่าง ว่ายังมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ยังตีกรอบให้กับคนรุ่นถัดมาอยู่ บางทีเด็กก็อึดอัด โรงเรียนชายล้วน หรือโรงเรียนหญิงล้วนยังมีบุคลากรแบบนี้อยู่ ทำให้แทนที่จะเป็นผลดีกลับกลายเป็นผลเสีย
ช่วงประถมนี่เป็นรอยต่อของเด็กเลยนะ สมัยเรียนวิชาสุขศึกษา คุณครูพูดถึงการเบี่ยงเบนทางเพศ ครูกาแฟในวัยเด็กนี่นั่งมือเปียก กลัว ตอนนั้นเราเป็นเด็กน้อยในช่วงรอยต่อการพัฒนาของสิ่งมีชีวิตก่อนที่จะเป็นวัยรุ่นตอนต้น เคยมีคนแถวบ้านขี่จักรยานผ่านตะโกนแซวหน้าบ้านเลยนะว่า “ผู้แม่” ภาษาอีสานก็คือ “กะเทย”
เรารู้สึกเสียใจมาก จึงนำแรงฮึดตรงนั้นมาแปลงเป็นพลังบวกทำให้ตัวเองดีขึ้น จนสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศได้ กระทั่งปัจจุบันเป็นอาจารย์สอนวิชาชีววิทยา ที่มีลูกศิษย์และผู้ปกครองยอมรับมากมาย
ฝากถึงพ่อแม่ ครู อย่าไปตีกรอบให้เด็ก สิ่งเหล่านี้จะทำให้พวกเขาเก็บกด ซึมเศร้า ทำร้ายร่างกาย จนถึงฆ่าตัวตายได้ แนะผู้ปกครอง ครู อย่ามองว่าในสังคมมีแค่ปากกาสีแดง และสีน้ำเงิน เพราะปากกามีหลายสีมาก เช่นเดียวกับเพศทางเลือก ที่เขาสามารถชอบเพศเดียวกันได้ ไม่ใช่เรื่องผิดบาป
“เด็กไม่ได้มีปัญหา แต่ผู้ใหญ่ต่างหากทำให้มีปัญหา อย่าไปตัดสินเด็ก”
ล่าสุด องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกมาประกาศว่า "คนข้ามเพศ" ไม่ว่าจะเป็น หญิงข้ามเพศ ชายข้ามเพศ สาวประเภทสอง หรือกะเทย ไม่ได้ถือเป็นความผิดปกติทางจิตอีกต่อไป ซึ่งถือเป็นการปฏิวัติทางการแพทย์ที่สำคัญ และทำให้เห็นว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิในการกำหนดอัตลักษณ์ทางเพศ (Gender Identity) ของตนเอง
ยอมรับ เข้าใจในสิ่งที่ลูกเป็น
“การเบี่ยงเบนทางเพศที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่เลือกไม่ได้ บังคับให้เลิกก็ไม่ได้ สิ่งที่พ่อแม่ทำได้ คือการให้ความรัก ความเข้าใจ และการยอมรับในสิ่งที่ลูกเป็น”
ศ.นพ. สุพร เกิดสว่าง นักวิจัยเกี่ยวกับเพศที่สาม จากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ให้คำแนะนำพ่อแม่ ชี้กลุ่มคนรักเพศเดียวกันคือคนธรรมคนหนึ่ง เขามีความชอบธรรมที่จะเป็นอย่างนี้
“กลุ่มที่เดือดร้อน และมักถูกมองในแง่ไม่ดี คือกลุ่มที่รักเพศเดียวกัน ทั้งผู้ชาย และผู้หญิง และคนที่รู้สึกตัวเองว่าใจเป็นอีกเพศหนึ่ง คือหญิงใจชาย หรือชายใจหญิง อย่างเราจะบอกว่าคุณเป็นผู้ชายต้องคิดว่าตัวเองเป็นผู้ชาย ไม่ได้ สิ่งที่คนเหล่านี้ต้องการอยู่ในใจ คือ ไม่อยากให้สังคมมองว่าเป็นคนผิดปกติ แต่อยากให้คิดว่าเขาเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง มีความชอบธรรมที่จะเป็นอย่างนี้
ในภาพรวมแล้ว ผมมองว่าสังคมไทยยังไม่เข้าใจ เพียงแต่ว่าอาจยอมรับได้ทั้งที่ยังไม่เข้าใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ การยอมรับก็ไม่หนักแน่นชัดเจน ทัศนะทางลบที่มีต่อเพศทางเลือก ส่วนหนึ่งเพราะเป็นความคิด ความเชื่อที่สั่งสมมานาน แล้ว ภาพของคนเหล่านี้ที่ถูกสื่อเสนอออกมามักเป็นในแง่ที่ไม่ดี กิริยามารยาทไม่เหมาะสม เป็นตลกแบบน่าสมเพศ แต่เมื่อเทียบกับหลายๆ ประเทศแล้ว บ้านเราถือว่ายอมรับได้มากกว่า”
พ่อแม่จำนวนมาก ไม่อยากให้ลูกเป็นเพศทางเลือก ไม่ใช่เพราะเกลียดชัง แต่คิดว่าชีวิตลูกจะลำบากกว่าคนอื่น ถูกล้อเลียน ไม่ได้รับการยอมรับในสังคม บางคนกลัวว่าจะไม่มีผู้สืบทอดวงศ์ตระกูล นอกจากนี้ พ่อแม่คนไทยที่นับถือศาสนาพุทธจำนวนไม่น้อยที่มีลูกเป็นเพศทางเลือกแล้วกังวลว่าลูกจะไม่ได้บวช
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่คาดหมายได้ว่า มีพ่อแม่จำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถยอมรับลูกได้ในช่วงแรกที่รู้ว่าลูกเป็นเพศทางเลือก ดังนั้น สื่อต่างๆ ควรให้ความรู้กับพ่อแม่ ขณะที่พ่อแม่เองจำเป็นต้องใช้เวลาปรับตัว ปรับใจ เพื่อเข้าใจลูก ต้องยอมรับให้ได้ว่า เป็นสิ่งที่เขาเลือกไม่ได้ ต้องทำให้ลูกรู้และเข้าใจว่าเขาไม่ได้เป็นคนเลว ไม่ได้เป็นคนที่มีความผิด ไม่ได้เป็นโรค ไม่ได้เป็นคนวิกลจริต ไม่ได้เป็นโรคจิต เขาก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่บังเอิญว่ามีความรู้สึกแตกต่างจากคนอื่นๆ แต่ก็สามารถเป็นคนดี และทำประโยชน์ให้กับสังคมได้
เราควรเข้าใจว่าเพศทางเลือก ไม่ใช่โรค ไม่มีการติดต่อ ไม่ได้แกล้งทำ ไม่มีการเลียนแบบกัน มีพ่อแม่หลายคนให้ลูกออกจากโรงเรียน เพราะที่โรงเรียนนั้นๆ มีเด็กที่เป็นโฮโมเซ็กชวลมาก กลัวว่าลูกจะติด จริงๆ ไม่มีการเลียนแบบพฤติกรรม นอกจากเด็กที่เป็นอยู่แล้ว อาจอยากเปิดเผยตัวเองมากขึ้นเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย
ข่าวโดย MGR Live


