xs
xsm
sm
md
lg

“โคมไฟแสงอาทิตย์” แสงสว่างพลิกชีวิต!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 
ข้อมูลจากกระทรวงพลังงาน พบว่า คนไทยราว 1% ยังไม่มีไฟฟ้าใช้! ทั้งยังต้องเผชิญชะตากรรม “โดนสัตว์มีพิษกัดต่อย-นักเรียนทำการบ้านไม่ได้-พ่อแม่สร้างอาชีพลำบาก” ล่าสุด เปิดตัวโครงการ “โคมไฟแสงอาทิตย์” ระดมทุนส่งมอบโคมไฟ พลิก “คุณภาพชีวิต” หมู่บ้านใน จ.แม่ฮ่องสอนให้ดีกว่าที่ผ่านมา!

ไร้แสงไฟ = ไร้โอกาส

“ฉันต้องหยุดงานอยู่เป็นอาทิตย์เพราะถูกตะขาบต่อย มันอยู่ในห้องน้ำตอนกลางคืน ฉันมองไม่เห็น มันมืดมาก เลยต้องไปหาหมอเสียตังค์ ต้องหยุดงานด้วย ยังไม่ทันได้หายดีก็ต้องออกมาทำงานหาเงินก่อน” เสียงบอกเล่าจากคนในพื้นที่ที่ไม่สามารถเข้าถึงไฟฟ้า ใน จ.แม่ฮ่องสอน เผยความรู้สึกถึงโลกที่มืดดับหลังอาทิตย์ตกดิน

ไม่เพียงแต่สิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นในยามค่ำคืนอย่างสัตว์มีพิษหรือสัตว์เลื้อยคลานที่เข้ามาบริเวณบ้านของหมู่บ้านที่ไร้ไฟฟ้า อีกหนึ่งปัญหาหลักที่พบ นั่นคือ ความยากลำบากในการทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ทั้งอุปสรรคในการสร้างอาชีพเสริมรายได้ การอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ โดยเฉพาะกับเด็กนักเรียนที่ต้องอาศัยแสงสว่างในการทำการบ้าน

“บ่อยครั้งที่นักเรียนทำการบ้านผิด เพียงเพราะรีบทำการบ้านก่อนฟ้ามืด โรงเรียนอยากให้เด็กๆ มีสมาธิ ตั้งใจทำการบ้าน แต่เข้าใจในข้อจำกัด” - ดารารัตน์ ผิวผัน ผู้อำนวยการโรงเรียนเขตพื้นที่การศึกษา อ.ขุนยวม กล่าวถึงปัญหาที่พบจากเด็กนักเรียนในหมู่บ้านไร้ไฟฟ้า


 
จากข้อมูลของกระทรวงพลังงาน พบว่า 99% ของประชาชนในประเทศไทยสามารถเข้าถึงไฟฟ้าของระบบส่งไฟฟ้า ซึ่งพื้นที่ที่ไม่สามารถเข้าถึงไฟฟ้าเป็นพื้นที่ชายขอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน จ.แม่ฮ่องสอน

โดยข้อมูลของมูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมพบว่า ในปี 2560 ครัวเรือนใน จ.แม่ฮ่องสอน จำนวนทั้งหมด 71,125 ครัวเรือนสามารถเข้าถึงไฟฟ้าจากระบบส่งไฟฟ้าของ กฟภ.
 
ขณะที่ 58,869 ครัวเรือนอยู่ในพื้นที่ที่ระบบส่งไฟฟ้าเข้าไม่ถึง และอีก 12,256 ครัวเรือน ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มคือ 1. ครัวเรือนที่มีโซล่าโฮมใช้งานได้ 5,263 ครัวเรือน 2. ครัวเรือนที่คาดว่าจะมีการขยายระบบส่งเข้าไปภายใน 5 ปี 183 ครัวเรือน และ 3. ครัวเรือนที่ไม่มีระบบส่งไฟฟ้าในอนาคตอันใกล้ 6,810 ครัวเรือน

ในทางกลับกันเมื่อไม่มีไฟฟ้าใช้ ประชาชนส่วนใหญ่จึงหันมาจุดเทียนเพื่อความส่องสว่าง อีกทั้งยังใช้ฟืนที่เก็บจากป่ามาเป็นเชื้อเพลิงจุดกองไฟ สิงเหล่านี้ล้วนส่งผลให้เกิดความเสี่ยงจากโรคทางเดินหายใจ แผลจากไฟไหม้ รวมไปถึงเกิดความระคายเคืองแก่ผู้สูดดมควันไฟเป็นประจำ และเกิดเพลิงไหม้ได้ในยามวิกาล

ดังนั้น การเข้าถึงพลังงานไฟฟ้า ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวให้มีความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายและมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น

“โคมไฟแสงอาทิตย์” คุณภาพชีวิตที่ดีกว่า

“ลองจินตนาการดูก็ได้ว่า บ้านเราไฟดับแค่ 3 นาที ก็รู้สึกกระสับกระส่ายแล้ว ขณะที่คนในพื้นที่ที่ไม่มีไฟฟ้า เขาใช้ชีวิตในความมืดมิดท่ามกลางแสงเทียนอยู่ตลอดเวลา” กรรณิการ์ ศรีธัญญลักษณา ผู้นำเสมอโครงการโคมไฟแสงอาทิตย์ จากมูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม ฉายภาพการมองเห็นที่ปราศจากแสงสว่าง

“ทางเราทำงานด้านการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนมาอยู่แล้ว ได้เข้าไปพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรที่ จ.แม่ฮ่องสอน ผ่านโครงการ UNDP ตั้งแต่ปี 2553 ซึ่งพบว่ายังมีพื้นที่ที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้เยอะทีเดียว เราจึงพยายามหาวิธีการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด จึงเกิดเป็นไอเดียการส่งมอบโคมไฟให้คนในพื้นที่”

ด้วยการมองเห็นปัญหาความยากลำบากด้านการใช้ชีวิตของประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากไฟแสงสว่างคือความจำเป็นขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิตของมนุษย์ จึงได้เกิดการผลักดันให้ใช้โคมไฟแสงอาทิตย์อย่างกว้างขวาง ด้วยเหตุผลที่ว่าโคมไฟแสงอาทิตย์เป็นเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนที่มีราคาถูกกว่าเทคโนโลยีอื่น

“เมื่อปี 2560 ได้นำโคมไฟไปให้ประชาชนในพื้นที่ มันก็ตอบโจทย์ชีวิตของเขา เวลาเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนที่มีสัตว์อันตรายก็สามารถมองเห็นได้ หรือเด็กๆ เองสามารถทำการบ้านได้ พ่อแม่สามารถสร้างรายได้ด้วยการทำหัตถกรรมพื้นบ้าน อีกทั้งยังลดการใช้เทียนที่อาจส่งผลให้เกิดไฟไหม้ได้

ที่ผ่านมาเราเน้นส่งมอบให้ในพื้นที่สังกัดโรงเรียน ในเฟตแรกของการส่งมอบเราให้เฉพาะครัวเรือนที่มีเด็กนักเรียน สังกัดโรงเรียนห้วยวอก จำนวน 174 ครัวเรือน ที่เหลือเป็นการระดมทุนจากภาคเอกชนที่เข้ามาสนับสนุนและมีส่วนสำคัญในการช่วยเหลือ”


 
แน่นอนว่าการส่งมอบโคมไฟแสงอาทิตย์ตามนโยบายของโครงการไม่ได้ให้เปล่า โดยมีเงื่อนไขว่าครัวเรือนที่ได้รับบริจาคโคมไฟจะต้องนำผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้เองในครัวเรือน เช่น ผ้าทอ หรือสิ่งประดิษฐ์อื่นๆ จำนวน 1 ชิ้นมาเป็นสิ่งตอบแทนให้แก่ผู้บริจาคโคมไฟแสงอาทิตย์ด้วยเช่นกัน

“หลังจากที่นำโคมไฟแสงอาทิตย์ไปมอบให้ ชีวิตเขาปลอดภัยขึ้น เราลองจินตนาการไปถึงบ้านที่ไม่มีไฟฟ้าเลย ทุกวันนี้เราเดินไปจุดไหนของบ้านก็สามารถเปิดไฟได้ เราอาจต้องลองจินตนาการว่าแค่บ้านเราไฟดับสัก 3 นาที เราก็กระสับกระส่ายแล้ว

แต่ชีวิตประจำวันของคนในพื้นที่นั้น คือ ความมืดมิดตลอดเวลา เขาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางแสงเทียนตลอดเวลา ถามว่าเป็นวิถีชีวิตหรือเปล่า ก็อาจเรียกว่าความเคยชิน เพราะอยู่ได้ แต่ถามว่าเราสร้างโอกาสให้เขาได้หรือเปล่า มันก็คือการเข้าไป “สร้างโอกาส” ให้เขามากกว่า เพราะเขาสามารถดำรงชีวิตอย่างสะดวกสบายมากขึ้น

ที่สำคัญเด็กๆ ได้อ่านหนังสือ ส่วนด้านแม่บ้านเองก็ได้สร้างรายได้จากการทำหัตถกรรมพื้นบ้าน ซึ่งการที่เราส่งมอบให้เขา เราไม่ได้ให้ฟรีๆ เราให้เขาทำหัตถกรรมพื้นบ้านมาแลกของเหมือนกัน เมื่อนำมาแล้วเราก็จะหาช่องทางในการจำหน่ายต่อไป เพื่อนำรายได้ไปสนับสนุนคนอื่นๆ ต่อไป เขาก็พร้อมที่จะส่งต่อการให้ของเราไปให้คนอื่นด้วยเช่นกัน”

อย่างไรก็ตาม ทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งในโครงการดีแทค “พลิกไทย” ในครั้งนี้ได้ โดยการสนับสนุนผ่านมือถือ สำหรับลูกค้าดีแทคกด *405*19# แล้วกดโทรออก (ครั้งละ 50 บาท) สำหรับผู้สนับสนุนที่ใช้เครือข่ายอื่น สามารถสนับสนุนได้ผ่าน taejai.com

หรือร่วมบริจาคผ่านช่องทางเว็บไซต์ https://taejai.com/th/d/plikthai_lightbulb/#donate โดยมีช่องการบริจาคให้เลือกหลายจำนวน หรือสามารถระบุจำนวนเงินเพื่อบริจาคได้เช่นกัน สำหรับผู้ที่บริจาค 2,000 บาทขึ้นไป รับสิทธิ์ Dtac Reward (เฉพาะหมายเลขของ Dtac เท่านั้น)

เรื่องโดย ทีมข่าวผู้จัดการ Live


กำลังโหลดความคิดเห็น