น่าเป็นห่วง! อาการปางตายของพลทหารคชา หลังถูกรุ่นพี่ 3 พลทหารรุมซ้อม ล่าสุดมีโอกาสรอดแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ ครอบครัวย้อนรอยแฉ พลทหารเคยถูกข่มขู่แม้กระทั่งตอนอยู่ที่บ้าน แม่ยันทำใจอโหสิยังไม่ได้
เกินไปไหม? สั่งซ่อม “พลทหาร” ปางตาย
ธำรงวินัยสุดโหด! มีมาให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง และล่าสุดเกิดขึ้นกับ พลทหารคชา พะชะ อายุ 22 ปี ทหารเกณฑ์สังกัดหน่วยทหารแห่งหนึ่งใน จ.ลพบุรี โดยเข้าไปอยู่ในค่ายตั้งแต่ 1 พฤษภาคม ปี 60 จนเกิดเรื่องถูกรุ่นพี่สั่งซ่อมจนปางตาย ทางน้าสาวของพลทหารจึงได้มาร้องเรียนต่อสื่อว่าหลานโดนสั่งซ่อม และมีคนโทรมาบอกว่าหลานของตนหัวใจหยุดเต้น แต่ไม่มีการแจ้งว่าสาเหตุนั้นเกิดจากอะไร
หลังจากนั้นพ่อของพลทหารได้มีการโทรศัพท์ไปสอบถามกับทางค่ายทหาร แต่ไม่ทราบรายละเอียดที่ชัดเจน รู้แค่ว่านำไปส่งโรงพยาบาลแล้วเท่านั้น แต่พอผ่านไปไม่นานได้มีการติดต่อจากนายทหารคนหนึ่ง ว่าหลานของตนเข้าไปฝึกที่ป่า แต่อยู่ดีๆ ก็น็อกไป จนกระทั่งหมอที่ดูแลอาการ ได้โทรมาบอกพ่อของพลทหารว่าหัวใจหยุดเต้น และมีโอกาสรอดเพียงแค่ 30 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น
ในขณะที่รักษาตัวในห้องไอซียู ยังคงใช้เครื่องช่วยหายใจ ทางแม่ของพลทหารจึงได้มีการจับตัวพลทหารดูเบื้องต้น พบว่าตามหน้าอกและเอวมีรอยบวม แต่แม่ไม่กล้าดูเยอะ เพราะทำใจไม่ได้ และหลังจากที่เข้าไปเยี่ยมรอบแรกยังสามารถถ่ายรูปหลานได้ แต่ต่อมากลับมีทหารเข้ามายืนคุมไม่ให้ถ่ายรูป
เพื่อความชัดเจนถึงอาการของพลทหารคชาที่กำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลอานันทมหิดล ทีมข่าวผู้จัดการ Live จึงติดต่อไปยัง กาญจนาภรณ์ สีหะวงค์ น้าสาวของพลทหารคชา เปิดใจกับทีมข่าวผ่านปลายสาย ถึงกรณีที่หลานชายของตนถูกซ่อมปางตายว่าทางโรงพยาบาลพยายามจะหาหมอที่เก่งๆ มารักษาหลานของตน และไม่อยากให้ย้ายไปรักษาที่อื่น
“เมื่อประมาณ 9 โมง มีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ มีผอ.โรงพยาบาล หมอใหญ่ เรียกคุณแม่เข้าไปคุย จากการที่โทรสอบถามกับคุณแม่ของน้องนะคะ ซึ่งแม่น้องยืนยันว่าจะย้ายโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อวาน เพราะอาการน้องไม่ดีขึ้น
ทางโรงพยาบาลมีการคุยว่าจะพยายามติดต่อประสานงาน หาหมอที่ดีที่สุดจากโรงพยาบาลอื่นมาให้เฉพาะทาง เพื่อให้เราสบายใจ จะติดต่อหาหมอเก่งๆ มาจากโรงพยาบาลพระมงกุฏที่เขาบอก และตัวผอ. โรงพยาบาลเองเขาจะมาดูให้ตลอด ก็ยืนยันว่าไม่อยากให้เราย้ายโรงพยาบาล แต่จะหาหมอมาให้จากที่อื่นแทน ที่เขาได้พูดกับแม่ของน้อง
ทำให้คุณแม่ของน้องบอกว่า ถ้าเขายืนยันแบบนั้นก็โอเค เพราะตอนแรกสภาพของน้องไม่ได้มีหมอมาเฝ้าตลอด บางช่วงก็เปลี่ยนพยาบาล แต่อาการมันก็ไม่ดีขึ้นทั้งวัน สภาพจิตใจทางญาติก็ไม่อยากให้อยู่ที่นี้แล้ว ก็เลยทำให้ทางผอ. โรงพยาบาลเขาเรียกมาคุย หลังจากที่คุยกันเสร็จ คุณแม่เลยบอกว่า ถ้าคุณหมอรับปากอย่างนั้นจริงๆ ก็ดีใจ เพราะเขาบอกว่าน้องเป็นทหาร แล้วเรื่องเกิดที่ค่ายทหาร เขาก็อยากจะเป็นฝ่ายดูแล อยากให้รักษาที่นี่ และค่าใช้จ่ายที่รักษาเขาจะรับผิดชอบเองทั้งหมด เขาบอกแม่แบบนี้นะคะ
ส่วนอาการล่าสุดที่คุยกับคุณแม่ตอน 11 โมง หมอก็แจ้งว่าหัวใจเต้นปกติแล้ว ตับก็ดีขึ้น แต่ยังต้องฟอกไตอยู่ ก็ต้องดูอาการของไตเพราะน้องไตวายด้วย แต่ก็มีการยืนยันว่าจะมีหมอมาดูแลให้ตลอด เพื่อให้เราสบายใจ ตอนนี้เราก็พุ่งประเด็นไปที่การรักษาน้องให้อาการดีขึ้นก่อน คือตอนนี้เราไม่รู้ว่าเหตุการณ์มันเป็นมายังไง น้องก็ยังไม่ฟื้นก็ต้องติดตามให้ถึงที่สุดว่าจะเป็นยังไง”
จากการสอบถามกับน้าสาวของพลทหารรายเดิมพบว่า ขณะที่พลทหารคชา ได้ลากลับมาพักที่บ้าน เคยถูกเรียกตัวกลับค่ายด่วน แต่พลทหารคชากลับไปไม่ทัน ขณะนั้นพ่อของพลทหารได้ยินลูกชายของตนเองกำลังคุยโทรศัพท์และถูกสั่งให้ซ่อมตอนนั้นทันที โดยการวิดพื้น แต่พ่อของพลทหารก็ไม่ทราบว่าลูกได้ทำตามหรือเปล่า เพราะพ่อฟังพ่อก็รับไม่ได้ เลยเดินหนีไปจากตรงนั้น แต่รู้ว่าเหมือนมีการพูดข่มขู่กันทั้งที่ยังอยู่ที่บ้าน ส่วนแม่ของพลทหารรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และทำใจอโหสิยังไม่ได้
จนกระทั่งมีนายทหารยศพันโท ได้ยอมรับกับครอบครัวของพลทหารคชา ว่ามีพลทหารรุ่นพี่ 3 คน ซ่อมพลทหารคชาจริง ซึ่งขณะนี้ได้จับพลทหารรุ่นพี่ทั้ง 3 คน ขังคุกทหารเอาไว้แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้มีการดำเนินคดีอะไร และทั้ง 3 คน ได้รับสารภาพว่าซ่อมรุ่นน้องจริง
แต่ทว่า พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ ยืนยันว่าไม่ใช่การซ่อม แต่อาจเป็นการทะเลาะวิวาทของทหารกันเอง ยืนยันว่าปัจจุบันกองทัพไม่มีระบบซ่อมในค่ายแล้ว และช่วงนี้ไม่มีการฝึกทหารเกณฑ์ จึงเชื่อว่าเป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่า และหากมีใครทำผิดก็จะดำเนินการทั้งทางวินัยและอาญา
“ซ้อมทรมาน” ยังมีอยู่จริง
ด้าน ร.ท.หญิงสุณิสา เลิศภควัต หรือ หมวดเจี๊ยบ อดีตรองโฆษกพรรคเพื่อไทย ก็ได้ออกมาโพสต์แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊ก “หมวดเจี๊ยบ Sunisa Divakorndamrong” ถึงเหตุการณ์ดังกล่าว อยากฝากถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าข่าวการทำร้ายร่างกาย พลทหารคชา พะชะ คือ อีกหนึ่งใบเสร็จที่ยืนยันได้ว่า การซ้อมทรมานมีอยู่จริงในกองทัพ ทั้งๆ ที่ เรื่องน้องเมย ยังไม่ทันจาง ก็มีเหยื่อรายใหม่โผล่ขึ้นมาซะแล้ว
โดย พลทหารคชา เป็นทหารรายที่ 10 ในรอบ 9 ปี นับแต่ปี 2552 ที่มีข่าวว่าบาดเจ็บสาหัส หรือเสียชีวิตเพราะถูกทำร้ายร่างกายจากผู้บังคับบัญชาหรือรุ่นพี่ ซึ่งสวนทางกับคำพูดของผู้ใหญ่ในกองทัพที่มักจะอ้างว่า มีกฎห้ามแตะต้องตัวทหารเกณฑ์
“ไม่รู้ว่ามีอีกกี่เคสที่ถูกทรมานอีกโดยไม่เป็นข่าว และอย่าอ้างว่าเป็นเรื่องทะเลาะกันส่วนตัว เพราะชาวบ้านจะมองว่ากองทัพไม่ยอมรับความจริงและปัดความรับผิดชอบ แต่ที่จริง มันสะท้อนปัญหาของระบบการซ่อม ซึ่งทำให้กำลังพลมีความเครียดสะสม และไประบายความแค้นกับรุ่นน้องๆ ต่อไปเป็นทอดๆ
ทั้งนี้ กองทัพยุค 4.0 ควรต้องปฏิรูปตัวเองให้โปร่งใสและเคารพสิทธิมนุษยชนของผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย เช่น เปิดโอกาสให้ครอบครัวของทหารเกณฑ์หรือผู้ใต้บังคับบัญชาอื่นๆ รวมทั้ง นักวิชาการ และ นักสิทธิมนุษยชน มีส่วนร่วมเป็นคณะกรรมการสอดส่องความเป็นอยู่ของทหารเกณฑ์และกำลังพลทั้งหลาย เพื่อให้มีช่องทางร้องทุกข์เกี่ยวกับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ใช่ปล่อยให้ค่ายทหารเป็นแดนสนธยา”
นอกจากนี้ หมวดเจี๊ยบ ยังแฉอีกว่า สังคมปล่อยให้กองทัพควบคุมกันเอง แต่ก็มีการปกป้องกันและปกปิดข้อเท็จจริง ทำให้ไม่มีการแก้ปัญหา จึงต้องมีบุคคลภายนอกร่วมตรวจสอบด้วย นอกจากนี้ กองทัพยุค 4.0 ไม่จำเป็นต้องมีกำลังพลมากเพราะไม่สอดคล้องกับภัยคุกคามสมัยใหม่ แต่ต้องทันสมัยทางเทคโนโลยี จึงอาจไม่จำเป็นต้องเกณฑ์ทหารปีละแสนกว่าคนอย่างในปัจจุบัน และไม่จำเป็นต้องบังคับให้ทุกคนเกณฑ์ทหาร แต่ควรรับสมัครจากผู้ที่สมัครใจเป็นหลัก ซึ่งมีคนสมัครหลายหมื่นคนทุกปี
โดยล่าสุดปีนี้ ก็มีคนสมัครเป็นทหาร ถึง 44,797 คน ก็อาจทำให้ยกเลิกการเกณฑ์ทหารแบบบังคับได้ ซึ่งจะทำให้กองทัพได้คนที่มีใจรักและมีคุณภาพมาเป็นทหารอาชีพจริงๆ ย่อมดีกว่าได้คนที่ไม่สมัครใจมาทำงาน
“อันที่จริง เรื่องแบบนี้ ต้องหมดไปได้แล้ว เพราะชีวิตของทุกคนมีค่า อย่าเอาลูกชายของครอบครัวคนอื่นไปเป็นกระสอบทรายหรือบังคับให้ไปเป็นคนรับใช้ คอยซักชุดชั้นในหรือเลี้ยงไก่ให้ใครอีกเลย เพราะนั่นคือการใช้แรงงานทาสที่ไม่เป็นธรรม ไม่สมกับเป็นกองทัพยุค 4.0 เลย ทั้งนี้ กองทัพยุค 4.0 ควรมีขนาดเล็กแต่มีประสิทธิภาพสูง และทันสมัยทางเทคโนโลยี รวมทั้งต้องมีความโปร่งใสและเคารพสิทธิมนุษยชน”
และล่าสุด ทางญาติของพลทหารคชา ได้มีการเปิดเผยภาพของเหล่าพลทหารรุ่นพี่ทั้ง 3 คน ซึ่งได้เดินทางมาที่โรงพักเพื่อขอขมา ทั้งนี้รับสารภาพ ว่าเป็นคนลงมือกระทำ เพราะความหมั่นไส้ โดยแม่ของพลทหารคชาได้เดินทางไปแจ้งความดำเนินคดีทั้ง 3 คนเรียบร้อยแล้ว