คุณแม่หัวใจแกร่งยอมลาออกจากงาน มาดูแลลูกนอนหลังติดเตียง 24ชม. คอยพลิกตัว-กายภาพ-ดีดกีตาร์ ทำทุกอย่างด้วยความหวัง เฝ้ารอปาฏิหาริย์ให้ลูกฟื้นกลับมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอีกครั้ง
แม่หัวใจสลาย ...วินาทีสูญเสาหลักของบ้าน
“เมื่อก่อนแม่ เป็นรปภ.ทำงานถึง12ชม. ทำกลางคืน เข้า1 ทุ่ม เลิก 7โมงเช้า แต่พอลูกเกิดอุบัติเหตุ ป่วยติดเตียง แม่ต้องออกจากงาน มาดูแลอย่างใกล้ชิด ตอนนี้ก็กินอยู่กับยาย แม่มีหน้าที่ดูแลน้องใหม่ คอยพลิกตัวให้เขาทุก2 ชม.”
[แม่วิกานดา แซ่พัว]
นี่คือคำบอกเล่าของ คุณแม่ “วิกานดา แซ่พัว” วัย 39 ปี แม่ของ "น้องใหม่- คชการ พ่วงเพชร” หรือน้องผู้ประสบอุบัติเหตุทางรถมอเตอร์ไซค์เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา จนทำให้ลูกต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียง เนื่องจากมีสภาพขาซ้ายหัก มีเลือดออกในสมอง ซี่โครงหัก กระดูกใบหน้าหักหลายชิ้น ไม่สามารถลุกขึ้นนั่งหรือเดิน พูดคุยไม่ได้
[ แม่ และ"น้องใหม่" ในอดีต]
“ทางบ้านไม่สนับสนุนให้ไป กลัวเป็นอันตราย เพราะว่ารถก็ต้องยืมของเพื่อนไป รถก็พัง รถไม่ดี เบรกหน้าไม่มี เบรกหลังไม่มี ห้ามแล้ว แล้วเขาบอกกับแม่ว่า ถ้าได้ตังค์ค่าเช่าบ้านก็จะหางานใกล้ๆ ทำ ใหม่ก็เลยไปสมัครงานที่หัวหิน ไปรับจ้างเสิร์ฟอาหารที่หัวหิน ไปทำได้แค่ 5วัน ก็ประสบอุบัติเหตุ
[น้องใหม่ คชากร]
จนกระทั่งกลางดึกเมื่อวันที่ 28 เมษายน หลังเลิกงานประมาณตี2 น้องใหม่ ได้โทรคุยกับแม่เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนประสบอุบัติเหตุ ที่จริงงานเลิกประมาณตี2 ตี3 นี่แหละ แล้วทีนี้แม่ก็บอกว่ามันอันตราย บอกทุกวัน บอกว่าถ้ากลับตอนตี2 ตี3ถ้าเกิดขี่รถมาระหว่างทางรถเป็นอะไร หรือว่าเกิดเหตุอะไรจะทำยังไง ก็บอกว่า ให้กลับตอนเช้า หาที่นอนได้ก็นอนไปก่อน แถวร้านอะไรอย่างงี้ เช้าแล้วค่อยกลับ เขาก็ฟังนะ กลับตอนเช้าจริงๆ
เส้นทางไปหัวหินเนี่ยมันเป็น2เลน แล้วสวนทางกัน น้องก็แซงรถยนต์คันหนึ่งขึ้นไป แล้วก็น่าจะเกิดจากอุบัติเหตุ ถนนลื่น หรืออะไรสักอย่าง แล้วเขาก็ไปอีกเลนหนึ่ง ไปตัดหน้ารถยนต์อีกคันหนึ่ง ก็เลยหนักค่ะ คือเราเป็นฝ่ายผิดเพราะว่าเราไปตัดหน้าเขา"
จากที่น้องใหม่ เป็นผู้ที่เป็นเสาหลัก ต้องดูแลครอบครัว จนวันนี้ต้องกลายเป็นแม่ที่ต้องลาออกมาดูแลเขาเอง หญิงแกร่งฐานะยากจน ที่ยอมลาออกจากการเป็น รปภ.ที่โรงแรมฮิลตัน หัวหิน มาดูแลลูกที่นอนป่วยติดเตียง เปิดเผยเรื่องราวของ น้องใหม่ให้ฟังว่า น้องใหม่เป็นหนุ่มวัยรุ่นที่กำลังมีอนาคตสดใส และต้องยอมละทิ้งชีวิตการเรียนกลางคัน เพียงแค่ชั้น ม.3 ทั้งๆ ที่ตัวเองเรียนดี แต่ด้วยฐานะยากจน เป็นเหตุให้ต้องลาออกจากโรงเรียนเพื่อทำงานหารายได้มาเป็นพ่อค้าตระเวนขายของตามตลาด
[สิ่งที่"น้องใหม่"หามาขายเพื่อแบ่งเบาที่บ้าน]
น้องใหม่เคยเป็นกำลังหลักในการหาเลี้ยงครอบครัว ด้วยความขยันและรักในการขาย ทั้งยังช่วยยายขายไก่ย่าง ยังขวนขวายหาสินค้าอาหารอื่นๆ มาขายเสริมเพื่อนำมาจุนเจือครอบครัวที่มียาย และแม่ที่ต้องออกไปทำงาน และต้องอาศัยไกลบ้าน
“เป็นเสาหลักของที่บ้านเลย ช่วยยายย่างไก่บ้าง พอยายเลิกขายของประมาณ 3-4โมงก็เอาไก่ที่ยายหมักไว้ เอาไปขายต่ออีกที่ตลาด ที่หน้าอำเภอก็ไป และถ้าว่างก็หาอะไรมาขาย ขายขนมกะหรี่ปั๊ปบ้าง ขายไอติมบ้าง แบบเขาคิดตลอด ว่าแม่จะทำอะไรขายต่อดี เขาอยากได้เงินเยอะๆ ค่ะ เขาอยากช่วยแม่ เขาอยากมีกิจการเป็นของตัวเอง
ส่วนตัวก็รู้สึกดีนะที่ลูกรู้จักคิด ตัวแค่นี้ก็รู้จักแบบช่วย อยากแบ่งเบาภาระของแม่ แต่อีกใจหนึ่งก็เสียใจที่ตัวเองไม่มีศักยภาพพอที่ปกป้องลูก ถ้าแม่เก่งกว่านี้ แม่มีรายได้ที่ดีกว่านี้ มีศักยภาพพอที่จะเลี้ยงดูลูก ลูกจะได้ไม่ต้องไปทำงานแบบนี้
ด้วยความที่แถวนี้ไม่มีงานเลย ไม่มีงานให้ทำ เขาก็สมัครทิ้งไว้หลายที่ แต่ยังไม่มีใครเรียกตัว ก็เลยได้'งานที่หัวหินก่อน ก็เลยไปทำ”
["กนิษฐา" เพื่อนบ้านของ "น้องให่ม่"]
กนิษฐา เลี่ยมนาค เพื่อนบ้านของน้องใหม่ ก็ช่วยสะท้อนอุปนิสัยน่ารักๆ ของเด็กหนุ่มคนนี้เอาไว้ว่า เป็นคนที่นิสัยดี เป็นคนมีสัมมาคารวะ แล้วก็ทำงานเองเพื่อเอาเงินมาให้ที่บ้าน ทำทุกอย่าง เป็นนักดนตรี ขายไก่ มีงานที่ไหนจ้างไป เขาก็ไป รู้สึกเสียใจที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น อยากให้ หายเหมือนเดิม
“เขาเป็นคนไม่ก้าวร้าว เขาเป็นคนไม่ค่อยพูด คือเจอยกมือไหว้แล้วเวลาถามอะไรก็ตอบ แล้วเราก็มีแซวกันเล่นธรรมดากันเป็นปกติ เป็นคนที่นิสัยดีคนหนึ่ง เป็นคนมีสัมมาคารวะ แล้วก็ทำงานเอง รู้สึกเสียใจที่ต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้”
คอยพลิกตัว-กายภาพ-ทำทุกอย่างเพื่อลูก
คุณแม่น้องใหม่ ได้เล่าเหตุการณ์วินาทีที่ได้พบลูกชายตนเองที่นอนอยู่บนเตียงห้องไอซียู ให้ฟังว่าวินาทีนั้นใจแทบสลาย ทำใจไม่ได้ถ้าจะเสียเขาไป ภาวนาขอให้ลูกอย่าเป็นอะไร ขอให้มีปาฏิหารย์ช่วยให้เขารอด ยอมรับได้ถ้าเขาจะไม่เหมือนเดิม
หลังจากที่ใหม่นอนอยู่ห้องไอซียู ในโรงพยาบาลประจวบ แม่วิกานดาขี่มอเตอร์ไซค์จากปราณบุรี ไปโรงพยาบาลประจวบวันละ 2 รอบ ในเวลา 2 เดือน ทางโรงพยาบาลเขาจะให้เยี่ยมเป็นเวลา แม่ก็จำได้ว่าเวลาไหนที่หมอให้เยี่ยม แม่ก็จะขี่มอไซค์ไปดู พอหมดเวลาแม่ก็ขี่มอไซต์กลับ แล้วพอเปิดให้เยี่ยมอีก แม่ก็ขี่ไปอีก วันหนึ่งแม่ไป2รอบ แม่อยากไปดูเขาว่า เขาปลอดภัยดี
“ตอนเจอเขาครั้งแรกเขาหมดสติค่ะ หมดสติไปแล้ว พยาบาล และบุรุษพยาบาลก็ช่วยกันปฐมพยาบาล มีเลือดอะไรเต็มไปหมดเลย พยาบาลเขาก็ถามใช่แม่หรือเปล่าคะ แม่ดูว่าใช่ลูกแม่รึเปล่า เขาก็เปิดหน้าให้ดู วินาทีนั้นใจสลายจริงๆ
อุบัติเหตุเกิดตั้งแต่ 6 โมงเช้า แต่กว่าจะได้รักษา ผ่าตัด กินเวลาไปถึง 6 โมงเย็น มันทำให้ใหม่ ขาดออกซิเจน ซีกขวาทั้งหมดก็ไม่ทำงานเลย เราอยู่โรงพยาบาลนานถึง 2 เดือน หมอเขาก็บอกกับแม่นะ ให้ทำใจไว้บ้าง หมอเขาก็บอกว่าโอกาสที่น้องจะกลับมาเหมือนเดิมมันยาก มีโอกาสน้อยมาก
แต่ว่า ให้แม่หมั่นพลิกตัวเขาทุก 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกัน แผลกดทับ แล้วก็ทำกายภาพบำบัดระวังพวกโรคแทรกซ้อนอะไรอย่างนี้ เขาก็อาจจะมีโอกาสสักครั้งหนึ่ง หมอพูดอย่างนี้ แม่ก็ต้องสู้ก็แล้วกัน หมอก็ช่วยเต็มที่ หมอเขาบอกว่า โรคที่เกี่ยวกับสมอง โรคแบบนี้ค่าใช้จ่ายเขาสูง อะไรที่หมอช่วยได้หมอก็ช่วย”
วินาทีที่ได้ยินคำพูดของหมอว่า ลูกอาจจะไม่รอด ตอนนั้นคุณแม่น้องใหม่ยอมรับว่าทำอะไรไม่ถูก ใจสลาย เพราะมันมืดแปดด้านจริงๆ ก็ได้ภาวนาให้ลูกปลอดภัย จะเป็นอะไรก็จะดูแลเขาอย่างดีที่สุด และจะยอมทำทุกอย่างเพื่อลูกของตนเองให้กลับมาเป็นปกติให้ได้
“แม่ก็คิดแล้วตอนนั้น เราต้องดูแลลูกให้ดีที่สุด จะเป็นยังไงก็ต้องดูแล พอออกจากโรงพยาบาลไม่นาน แม่เลยตัดสินใจลาออกจากงาน เพื่อจะได้มาดูแลลูกอย่างใกล้ชิด แล้วตกลงกับยายว่าเราจะช่วยกัน แม่จะเป็นคนดูแลใหม่เอง ส่วนยายก็จะเป็นคนหาเงินเพื่อเอามารักษาใหม่
ตอนนี้มืดแปดด้าน ยังมองไม่เห็นอะไรเลย เพราะแม่ไม่มีรายได้ ต้องคอยดูแลลูก 24 ชม.กับรายจ่ายที่ต้องใช้ทุกวัน
ก็ต้องหาอะไรทำ หาอาชีพทำค่ะ อย่างเช่น ขายของในเฟซบุ๊ก แต่ก็ได้แต่คิด เพราะว่า ณ ตอนนี้ก็ต้องดูแลลูกให้ดีที่สุดก่อน อย่างวันนึงต้องดูแลเขา ตื่นเช้ามาก็ แปรงฟัน อาบน้ำ เช็ดตัว แล้วก็ให้อาหาร ทำกายภาพบำบัด ระหว่างวันก็พลิกตัวเขาทุก2ชม. แทบจะไม่มีเวลาทำอย่างอื่นเลยค่ะ”
ไม่ต่างจากยาย กัญญา มณีเทศ ยายของน้องใหม่ เมื่อได้ยินคำพูดของคุณหมอที่ได้พูดถึงหลาน ก็ทำใจไม่ได้เช่นกัน เพราะเลี้ยงและดูแลหลานคนนี้มา 23 ปี ถ้าหากน้องไม่เหมือนเดิม ตนเองยอมลำบาก หาเลี้ยงดูเอง ยายก็เป็นห่วงเหมือนกัน เพราะหากยาย หรือแม่ ป่วย ใครจะเป็นผู้ดูแลน้องใหม่ เพราะปัจจุบันยายเป็นคนดูแลค่าใช่จ่าย และแม่เป็นผู้ดูแลน้องใหม่เอง
[ยาย "กัญญา มณีเทศ"]
“แม่เขาต้องลาออกจากงาน ทีนี้ยายล่ะ ก็ต้องเป็นเสาหลัก ถ้าเกิดยายเป็นอะไรไปเนี่ย ยายจะห้ามตัวเองได้ไหม เราบอกกับแม่น้องใหม่เขาด้วยว่า อย่าป่วยนะ ถ้ามันเป็นไปได้ ถ้าใครคนใดคนหนึ่งป่วย แย่เลย”
ทุ่มทั้งตัวและหัวใจ หวังเพียงลูกหายขาด
กว่า4 เดือน ที่แม่วัย 39 ปี คนนี้ ได้ดูแลลูกชายคนเดียวของเขาทุกวัน ไม่ใช่แค่รอพลิกตัวให้ลูกอย่างเดียว แต่ผู้เป็นแม่ยอม ย้ายมานอนใกล้ๆ เปลี่ยนห้องนอนตัวเองเป็นที่เก็บของ เพราะกลัวว่า ถ้าหากลูกเป็นอะไรขึ้นมา เขาจะได้ตามดูแลได้ทัน นอกจากนี้แม่พยายามดูแล ลูกชายเหมือนเขาเป็นปกติ ไม่อยากให้เขาไม่มีกำลังใจคิดว่าตัวเองเป็นภาระ ผู้เป็นแม่พยายาม กระตุ้น น้องใหม่โดยการเปิดคลิปวิดีโอน้องใหม่ ร้องเพลง หรือแม้กระทั่ง คอยร้องเพลงเอง และดีดกีตาร์เอง ทั้งๆ ที่แม่เล่นไม่เป็น
ปัจจุบันน้องใหม่มีอาการดีขึ้น ต่างจากเมื่อ2เดือนก่อนหลังเกิดเหตุ เพราะน้องใหม่เริ่มตอบสนองกับสิ่งต่างๆ ผ่านการขยับแขน ขา และกะพริบตา จนทำให้ผู้เป็นแม่กับยาย ดีใจและมีความหวังขึ้นต่างจากช่วงแรกที่แทบสิ้นหวังกับการยื้อให้น้องมีชีวิตอยู่
“ น้องดีขึ้นเยอะเลยค่ะ มันทำให้มีความหวังมาก ๆ ที่แม่ย้ายมานอนด้วยเพราะว่าถ้าเกิดเขาเป็นอะไรขึ้นมา เกิดชัก หรือว่ามีตัวอะไร ตะขาบ หรืออะไรยังงี้ แมลงกัดต่อย เกิดเราอยู่ไกลๆ จะไม่รู้ เขาพูดไม่ได้ เราก็ต้องคอยอยู่ข้างๆเขา
ส่วนกีตาร์แม่เล่นไม่เป็นค่ะ แต่พยายามจะทำให้ลูกจำได้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเล่นเพราะว่าเผื่อว่าลูกจะจำได้ อยากจะปลุกความเป็นนักดนตรีของเขาออกมา แม่ก็พยายามดีดให้เขาฟัง
แม่ทำแบบนี้ให้เขาดูทุกวันค่ะ เปิดให้เขาดูด้วย เหมือนเราร้องด้วยกัน เราติดตรงที่ว่า เราฐานะไม่ดี ฐานะยากจน ถ้าเกิดเรามีฐานะที่ดีกว่านี้ก็อยากจะไปหาหมอที่เก่งๆ อยากจะพาลูกไปรักษาให้หาย อยากให้ลูกหาย กลับมาเป็นปกติ เหมือนเดิม เป็นใหม่คนเดิม”
สอดคล้องกับ กนิษฐา เพื่อนบ้าน ก็เห็นด้วยที่ว่า ใหม่อาการดีขึ้นเยอะมาก จากที่ขยับขา และตอบสนองอะไรไม่ได้เลย แต่ ปัจจุบันใหม่ดู สดใส อาการดีขึ้นเยอะมาก เพราะมีกำลังใจที่ดี อย่างแม่ ยาย และคนรอบข้าง เขาอยู่
[เพลงที่น้องใหม่เคยร้อง]
“เหมือนเขามีกำลังใจ เขารับรู้ว่ามีคนให้กำลังใจเขาเยอะ เหมือนเขาน่าจะคิดแหละว่า เขาต้องสู้ เพราะทีแรกใหม่ยกขาเองไม่ได้เลย แล้วพอหนูไปเยี่ยมเขาอีกรอบนะ คือเขายกขาเอง แล้วนิ้วขยับ แม่เขาเล่นกีตาร์ให้ฟังเปิดคลิปที่เขาร้องเพลงให้ฟัง เหมือนเขารับรู้ เขาอยากจะร้อง เขาอยากจะลุก ขาเขาคือแบบอยากจะลุกอะ จากที่ว่าอยู่แรกๆ ไม่มีพัฒนาการอย่างนี้เลย เหมือนคนไม่รู้เรื่อง ขาขยับไม่ได้เลยแล้วตอนนี้คือ ขาขยับได้ คือมันดีขึ้นเยอะมาก น่าจะเป็นเพราะกำลังใจด้วย”
หลายคนสงสัย ด้วยความที่ฐานะของทางบ้านยากจน มีใครเข้ามาช่วยเหลือครอบครัวหรือไม่ ทางคุณแม่ได้บอกกับทีมข่าวว่า มีเข้ามาช่วยเหลือเรื่อยๆ เพราะตนได้แชร์เรื่องราวที่เกิดขึ้นผ่านเฟซบุ๊ค ไม่ไหวกับค่าใช้จ่ายจริงๆ จึงได้แชร์เรื่องราวเหล่านั้น เพราะ เครื่องมือแพทย์ที่ต้องใช้มีราคาแพง อย่าง สายที่ดูดเสลดต้องเปลี่ยน 3 วันเปลี่ยน1 ครั้ง แล้วอันละ 400-500 บาท แล้วทำอาหารทุกอย่างต้องมีส่วนผสม อุปกรณ์ ต้องมีอะไรที่ต้องซื้อหมด มันมีค่าใช้จ่ายที่สูง
“คนไทยใจดีอย่างที่บอกจริงๆ ก็ไม่คิดว่าคนที่ไม่รู้จักกันจะช่วยขนาดนี้ ก็ประทับใจมากค่ะ อยากจะขอบคุณนะคะ สำหรับคนที่มีจิตเมตตาที่ให้ความช่วยเหลือน้องใหม่มา ทั้งบริจาคเงิน บริจาคสิ่งของ ขอบคุณสื่อ พลเมืองดี แล้วก็ทุกๆ คนที่มีส่วนช่วยเหลือในครั้งนี้ค่ะ"
สำหรับความต้องการภายในครอบครัว แม่วิกานดากล่าวว่า จริงๆ ตอนนี้อย่างเดียวเลย คืออยากให้ลูกหาย สิ่งที่ขาดคืออุปกรณ์ปฐมพยาบาล แล้วก็อาหาร เป็นห่วงเรื่องอาหารของน้อง เป็นเรื่องที่จำเป็น กลัวจะไม่มีให้เขา เพราะมีราคาสูง
คุณแม่วิกานดา กล่าวทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เพื่อเตือนสติเอาไว้ว่า การใช้ชีวิตด้วยการไม่ประมาทเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อมีโอกาสควรดูแลคนที่เรารัก และที่รักเราให้ดีที่สุด หมั่นสร้างความดี กตัญญูต่อผู้มีคุณ ก่อนทุกอย่างจะสายไป และเมื่อเวลาที่ต้องจากไปจะได้ไม่ต้องเสียใจกับสิ่งที่ผ่านมา
[สามารถร่วมส่งกำลังใจให้แก่น้องใหม่ และครอบครัวนี้ได้]
สัมภาษณ์: รายการ "ฅนจริง ใจไม่ท้อ"
เรียบเรียง: ผู้จัดการ Live
เรื่อง: ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์
ขอบคุณภาพบางส่วนจาก : FB Wikanda Sp