จากสวยกลายเป็นซวย! อุทาหรณ์สาวฉีดฟิลเลอร์เข้าหน้าอกหวังอวบอิ่ม สุดท้ายนมเน่า ลามทั้งตัวตั้งแต่ท้อง ไปอวัยวะเพศ ล่าสุดที่คอ เสียทั้งเงิน เจ็บทั้งตัว พอเรื่องแดงคลินิกจับเซ็นสัญญา ยัดเงินแสนห้าสั่งห้ามแฉ กูรูกฎหมายลั่นจะเอาผิดยกขบวน ฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส!
ฉีดที่นม เน่าถึงอวัยวะเพศ!
กลายเป็นอุทาหรณ์ที่ทั้งสยอง ทั้งเห็นใจไปพร้อมๆ กัน เมื่อเพจเฟซบุ๊ก “ทนายนิด้า” เผยแพร่คลิปวิดีโอความยาวกว่า 1 นาที เป็นคลิปการผ่าตัดเพื่อนำหนองปนเลือด ที่เกิดจากการเสริมหน้าอกด้วยฟิลเลอร์ ออกจากร่างกายของคนไข้สาวรายหนึ่ง โดยระบุข้อความประกอบคลิปว่า เป็นเคสหลุดศัลยกรรม ที่ทำกับคลินิกชื่อดัง มีหลายสาขา อีกทั้งมีดารารีวิวให้เป็นจำนวนมาก
แต่ความสวยอึ๋มที่คาดหวังไว้กลับกลายเป็นฝันร้าย เมื่อฟิลเลอร์ที่ฉีดไปนั้นเกิด “ไหล” จากหน้าอก ลงไปช่องท้อง ลามไปถึงอวัยวะเพศ ล่าสุดพบการอักเสบที่คออีก ซ้ำร้ายคลินิกยังไม่รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะสาวเคราะห์ร้ายดันเซ็นสัญญาหลังศัลยกรรม ว่าคลินิกจะชดใช้ให้แค่ 150,000 บาท และขอให้ยุติการเรียกร้องทุกช่องทาง!
ไม่รอช้า ทีมข่าวผู้จัดการ Live ได้ต่อสายตรงไปยัง “ทนายนิด้า - ศรันยา หวังสุขเจริญ” บุคคลต้นเรื่องที่ออกมาตีแผ่เหตุการณ์นี้ เพื่อทราบถึงรายละเอียดที่เกิดขึ้น ซึ่งขณะนี้ผู้เสียหายอยู่ในดูแลของเธอเป็นที่เรียบร้อย รวมถึงมาอัปเดตความคืบหน้าในการเอาผิดกับคลินิกศัลยกรรมดังกล่าวด้วย
“ผู้เสียหายฉีดฟิลเลอร์เสริมหน้าอกกับคลินิกชื่อดังแห่งหนึ่งเมื่อปี 55 มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 120,000 บาท แต่ฉีดไปได้แค่ประมาณ 6 เดือน ฟิลเลอร์มันก็ไหลย้อยมาที่ท้อง ตอนนั้นเขายังไม่เจ็บปวดค่ะ เขาก็พยายามไปติดต่อที่คลินิก ตอนแรกคลิกนิกก็บอกว่าเป็นปกติ แล้วแต่ร่างกายคน ทำให้ผู้เสียหายรู้สึกว่าไม่ได้น่าตกใจอะไร ก็เลยทนอยู่อย่างนั้น ทนายก็ถามเขาว่าทำไมถึงไม่ดูดออกตั้งแต่ตอนนั้นเลย เขาบอกว่าไม่มีเงินแล้ว
น้องเขาทนมาถึงปี 57 มันเริ่มไม่ไหว ฟิลเลอร์มันไหลมาเกือบทั้งหมดแล้ว ก็เลยตัดสินใจติดต่อไปที่คลินิกเดิมเพื่อดูดออก หลังจากดูด 3 เดือน หมอที่เดิมก็ยุให้เสริมซิลิโคนอีก ไม่ได้ทำฟรีด้วยค่ะ พอปี 60 ก็ตั้งท้องลูก ภูมิต้านทานคงไปอยู่ที่ลูกหมดแล้ว ทำให้อาการแม่ทรุด พอหมอผ่าคลอดออกก็ตกใจ เห็นฟิลเลอร์อยู่เต็มหน้าท้องเลย พอติดต่อไปที่คลินิกเดิมก็ปฏิเสธที่จะแก้ไขให้ แต่ตอนนี้น้องได้รับการรักษาแล้วค่ะ หมอที่ศิริราชท่านรับตัวไว้ แล้วก็แก้ไขดีขึ้นมากแล้ว
เขาไปหาหมอตอนที่อาการมันโคม่า หมอยังไม่ทันจะเปิดแผล หน้าท้องมันปริแตกเอง หนองก็ทะลักออกมา ต้องเอาผ้าก๊อซซับไว้ตลอด ฟิลเลอร์มันกระจาย ไม่รู้เลยว่ามันไปตรงไหนบ้าง เมื่อเร็วๆ นี้ หมอปิดแผลจากที่ไหลลงหน้าท้อง มันไหลไปถึงอวัยวะเพศเลยนะ แตกเน่าที่ตรงนั้น หมอก็รักษาจนมันเริ่มดีขึ้น ก็เย็บติด แต่อยู่ดีๆ คออักเสบขึ้นมาอีก กรีดก็เจอหนองเหมือนเดิม ต้องระบายหนองออก ก็เกิดจากฟิลเลอร์เหมือนกันค่ะ ยืนยันว่าผู้เสียหายไม่มีโรคประจำตัวมาก่อนค่ะ ซิลิโคนที่หน้าอกก็เอาออกตั้งแต่วันที่ศิริราชรับตัว ส่วนฟิลเลอร์ก็เอาออกเท่าที่พบเห็นค่ะ”
นับตั้งแต่วันที่โรงพยาบาลศิริราชทำการรักษาผู้เสียหายรายนี้ไว้จนถึงปัจจุบัน เธอได้เข้ารับการผ่าตัดไปแล้วถึง 13 ครั้ง แม้อาการจะดีขึ้นจากเมื่อก่อนมาก แต่ก็พูดไม่ได้เต็มปากว่าหายดี 100% เพราะตอนนี้ผู้เสียหายมีอาการแขนติดจนยกไม่ได้ ต้องทำกายภาพบำบัด อีกทั้งแพทย์ผู้รักษาก็บอกข่าวร้ายว่า เชื้อที่อยู่ในร่างกายยังไม่หมดไป มันจะมาอีกเมื่อไหร่ก็ได้ ทำให้เธอกลายเป็นผู้ป่วยที่ไม่มีทางรักษาหายขาด จนตอนนี้ต้องหมดเงินค่ารักษาไปแล้วกว่า 700,000 บาท
ส่วนความคืบหน้าตอนนี้ ทนายสาวกล่าวว่าอยู่ในขั้นรวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งข้อเท็จจริงจากลูกความ เอกสารทั้งจากทางคลินิก จากแพทย์ บิลการรักษา ตลอดจนใบรับรองแพทย์ ใบส่งตัวต่างๆ ซึ่งวันที่ 20 สิงหาคมที่จะถึงนี้ ทนายนิด้าและผู้เสียหายจะเดินทางไปยังกองปราบฯ เพื่อที่จะแจ้งความร้องทุกข์ต่อคลินิกดัง ฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส
ยัดแสนห้าเป็นค่าปิดปาก?!
“ตอนที่น้องเข้ามาปรึกษาทนาย ตัวเขาเองก็ได้ติดต่อเบื้องต้นไปที่คลินิกไปแล้ว มีการส่งไลน์คุยกับคลินิกไปว่าไปฉีดมาตั้งแต่ตอนนี้ แล้วมันอักเสบ มันเน่า ทางนั้นก็ขอชื่อ-นามสกุลไป เดี๋ยวจะไปตรวจสอบให้ พอตรวจสอบแล้ว ทางคลินิกจับลูกความเซ็นในสัญญาประนีประนอมยอมความ แล้วให้เงินมา 150,000 บาท เขาบอกว่าให้เท่านี้ ห้ามเรียกร้องอะไรอีกนะ ห้ามเอาคลินิกไปเผยแพร่”
เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ต้องมาหาคำตอบกัน ถึงเรื่องการเซ็นสัญญากับสถาบันเสริมความงามต่างๆ เพราะแทบจะทุกที่ ผู้เข้ารับการศัลยกรรมต้องเซ็นยินยอมผลที่จะเกิดขึ้น ยิ่งมีคำขู่จะเรียกร้องค่าเสียหายหากนำคลินิกไปแฉ ยิ่งทำให้คนเจ็บหลายคนเลือกที่จะเงียบไว้ และกัดฟันจ่ายค่ารักษาด้วยตนเอง แต่ทางทนายสาวกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ผู้เสียหายสามารถเรียกร้องได้ หากสัญญาที่ต้องเซ็นไม่เป็นธรรม
“ตอนเริ่มมาทำเคสนี้ ก็ไล่ย้อนหลังไปดูในช่วงปีนั้น เขาโปรโมตหนักมากในเรื่องของการฉีดฟิลเลอร์ อ้างว่าไม่มีบาดแผล ทำหน้าอกสวยอวบอิ่ม ปลอดภัย ไม่ไหลย้อย เชื่อว่ามีคนไปฉีดเยอะ พอหลังจากได้ 150,000 บาท เขายังต้องรักษาอีก เขาก็ติดต่อกลับไปอีก คลินิกก็บอกว่าเดี๋ยวจะคุยกับผู้ใหญ่ให้ พอตามก็บอกว่ากำลังดำเนินการอยู่ ตอนหลังเริ่มติดต่อไม่ได้ ไลน์ไม่อ่าน โทร.ไม่รับเลย ปิดทุกช่องทาง เงินก้อนนั้นเป็นค่าปิดปากคนเจ็บ ตอนน้องคนนี้เขามาปรึกษาทนาย เขายังกลัวเลยนะคะ เขาบอกว่าเซ็นสัญญาไปแล้ว อีกอย่างเขาเป็นคนไปฉีดเอง ไม่รู้จะเอาผิดคลินิกได้ไหม
ทนายก็เชื่อว่าหลายคนคิดแบบนี้เหมือนกัน เราเป็นคนก้าวเข้าไปในคลินิกเอง ก็คิดว่าเป็นการตัดสินใจของเราเอง แล้วส่วนใหญ่คลินิกก็จับเซ็นสัญญาว่าไม่ให้เรียกร้องในความอะไรต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นหลังเข้ารับการศัลยกรรม ผู้เสียหายก็คิดว่าร้องเรียนไปคงไม่มีประโยชน์อะไร จริงๆ ตรงนี้อยากให้บอกด้วยว่า มันเรียกร้องได้ เพราะว่าข้อกำหนด ข้อสัญญาเหล่านั้น มันถือว่าเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม”
ไม่เพียงแค่เหตุการณ์นี้เท่านั้น ทนายนิด้าได้เล่าต่อไปว่า หลังจากที่เป็นข่าวไปแล้ว ก็มีเคสหลุดศัลยกรรมติดต่อเข้ามาเป็นจำนวนมาก และเป็นเคสอันตรายทั้งสิ้น และที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือ คลินิกที่ทำให้เกิดเคสหลุด ล้วนแล้วแต่เป็นคลินิกชื่อดังถึง 4 แห่งด้วยกัน
“ล่าสุดที่น่ากลัวอีกเคสนึง คือใส่ซิลิโคนโดยการผ่าตรงรอบปานนม แล้วยัดซิลิโคนเข้าไปตรงนั้น แต่หมอทำไม่ดี พอเย็บติดแล้วทำให้เลือดไม่มาเลี้ยงหัวนม เนื้อตาย รักษาแล้วโบ๋เหมือนคนไม่มีหัวนม มันเป็นอย่างนั้นค่ะ แต่น้องคนนี้ทนายก็ถามเขาว่าขอแชร์เรื่องได้ไหม น้องเขายังกลัวอยู่ คลินิกขู่ไว้ว่าจะดำเนินคดี
แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับความสบายใจของเขา แต่เชื่อว่าเคสแบบนี้ยังมีอีกเยอะ คนก็ไม่กล้าออกมา กลัวโดนฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท ซึ่งจริงๆ การแฉในลักษณะแบบนี้มันทำได้ เพราะว่าเป็นประโยชน์กับสาธารณะ ความผิดหมิ่นประมาทมันจะหมิ่นเฉพาะเรื่องไม่ได้เป็นประโยชน์กับสาธารณะ
แต่การที่เราไปหมิ่นเขาแล้วสังคมได้ประโยชน์ ประชาชนทั่วไปจะได้ไม่ไปหลงเชื่อ แบบนี้ศาลเขารับฟังค่ะ อ้างได้ ไม่เป็นหมิ่นประมาท สัปดาห์หน้าก็จะเริ่มดำเนินการติดต่อคลินิกแต่ทีนี้ถ้าทนายฟ้อง ก็จะฟ้องหมดเลยทั้งคลินิก ผู้จัดการคนขายคอร์ส หมอฉีดฟิลเลอร์ หมอใส่ซิลิโคน พวกนี้ถือว่าเกี่ยวข้องหมดค่ะ ประมาทหมดทุกคน”
เดินหน้าเอาผิดทั้งคลินิก ทั้งคนรีวิว!
อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผู้เสียหายกล้าฉีดฟิลเลอร์เข้าหน้าอก ก็คือเหล่าดาราและบุคคลมีชื่อเสียง ที่ขณะนั้นออกมารีวิวคลินิกแห่งนี้ พร้อมยืนยันว่าปลอดภัยแน่นอน แต่ทว่าผลของการศัลยกรรมกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะฟิลเลอร์ดันไหลและลุกลามไปทั่วร่างกายจนทำเธอเกือบตาย หลังจากเหตุการณ์นี้ก็มีคำถามตามมาว่า กลุ่มคนดังที่รีวิวจะมีความผิดด้วยหรือไม่ และสามารถเรียกตัวมาสอบปากคำได้เหมือนอย่างในกรณีดาราที่รีวิวยาลดน้ำหนักไปก่อนหน้านี้หรือไม่?
“สามารถเรียกได้ค่ะถ้าตำรวจเรียกให้ ก็ต้องไปจี้เขา จริงๆ คนรีวิวเข้าข่ายเพราะถือว่าเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด ถ้าถามแพทย์ดีๆ เขาก็จะบอกว่าฟิลเลอร์มันอันตราย ใครเขาเอาไปฉีดหน้าอกกัน แต่แพทย์ส่วนน้อยที่ทำไม่มีจรรยาบรรณ คนไปรีวิว ตัวผู้จัดการที่เสนอขายคอร์ส พวกนี้ถือว่าสนับสนุนในการกระทำผิดของคลินิกหมด ดาราส่วนใหญ่ก็จะอ้างว่าไม่รู้ โดนเขาหลอกมา แต่โดยปกติแล้วในทางกฎหมาย คุณจะยืนยันข้อเท็จจริงยังไง คุณต้องตรวจสอบในส่วนนั้นด้วย
สำหรับความผิดที่ดูไว้จะเข้าข่ายในเรื่องของประมาท ทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บสาหัสมีแน่ๆ แต่จะไปถึงขั้นเจตนาไหม ตอนนี้กำลังรวบรวมพยานหลักฐานอยู่ เพราะประมาททำให้บาดเจ็บสาหัส กับเจตนาทำให้บาดเจ็บสาหัส โทษมันก็ต่างกัน เจตนาโทษมันจะแรงกว่า ทีนี้กำลังพยายามรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเพื่อที่จะไปให้ถึงเจตนาให้ได้ค่ะ ซึ่งมันก็ใกล้เคียงอยู่ถ้าไปถึงเจตนาได้ โทษก็จะหนักขึ้นอีก แล้วคดีพวกนี้ยอมความไม่ได้ด้วย”
นอกจากนี้ทนายนิด้า ยังเสริมข้อมูลเกี่ยวกับฟิลเลอร์มาให้ว่า สามารถฉีดเข้าร่างกายได้บ้าง แต่แพทย์ผู้ฉีดต้องมีความเชี่ยวชาญมาก และต่อให้เชี่ยวชาญมาก ก็สามารถฉีดได้แค่ในปริมาณน้อยๆ เท่านั้น เช่น เติมเต็มร่องแก้ม ใต้ตา ทำให้การกระจายของฟิลเลอร์ไม่ไกลจากจุดที่ฉีดมาก และไม่สามารถฉีดในปริมาณที่มากๆ อย่างบริเวณจมูก คาง หน้าผาก หรือหน้าอก เพราะไม่ถูกวัตถุประสงค์โดยตรงของฟิลเลอร์ เนื่องจากมันเป็นของเหลว ไม่สามารถควบคุมขอบเขตการไหลได้
และสุดท้ายกูรูกฎหมายคนดัง ให้ฝากถึงเคสหลุดที่ไม่กล้าเรียกร้อง รวมไปถึงคนที่วางแผนจะเสริมส่วนด้วยการเติมสิ่งแปลกปลอมเข้าร่างกาย ว่าการศัลยกรรมนั้น ไม่ต่างอะไรกับการซื้อลอตเตอรี่ หากโชคดีก็ถูกรางวัล แต่หากโชคร้าย ก็ต้องเสียทั้งเงิน เจ็บทั้งตัวกันอีกยาว
“ในกรณีเคสหลุด แนะนำว่าให้ออกมาเรียกร้องความยุติธรรมให้ตนเองค่ะ มันไม่ใช่แค่ได้กับตนเองอย่างเดียว แต่มันได้กับสังคมด้วย ถือว่าเป็นวิทยาทาน เพราะว่าการที่เราโดนแล้วเก็บไว้คนเดียว หมอ คลินิก โรงพยาบาลพวกนี้เขาก็ไปทำกับคนอื่นต่อ เราไม่ต้องไปกลัว ต้องปรึกษาทนาย มีทนายคอยให้คำแนะนำอยู่แล้ว เขาไม่พาเราไปเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางค่ะ แล้วอีกอย่างนึกถึงหลักความเป็นจริง เราเป็นผู้เสียหาย ความจริงยังไงมันก็คือความจริง ความจริงมันไม่ทำเราติดคุกหรอกค่ะ
ส่วนคนที่มีแพลนศัลยกรรม พูดลำบากมากเลยค่ะ เพราะว่าการศัลยกรรมก็เหมือนกับการซื้อหวยนะ จะถูกกินหรือถูกรางวัลเราก็ไม่รู้ เพราะว่าหลายๆ คนบอกว่าอย่าไปทำกับหมอกระเป๋า อันตราย แต่เคสนี้คือคลินิกไฮโซเลยค่ะ แล้วสาขาเยอะ แพทย์ก็มีใบประกอบโรคศิลปะ จบสถาบันอย่างดี แต่ก็ยังมีเหตุการณ์แบบนี้ ไม่มีอะไรการันตีได้เลย
แล้วยิ่งดารามารีวิว ยิ่งมีผลมาก เราก็จะรู้สึกว่า ดาราเขาไม่เอาชื่อเสียงมาหากินหรอก เขาต้องชัวร์สิถึงมาเชิญชวนให้คนอื่นไปทำ กลายเป็นว่าพังมาจากการที่ดารารีวิว จากคลินิกมีชื่อ มีที่ตั้งเป็นหลักแหล่ง มีแพทย์ดีๆ รองรับ ก็ยังเน่าเลย เพราะฉะนั้นไม่ทำได้ก็ดีที่สุด แต่ถ้าทำก็ต้องสวดมนต์เยอะๆ ค่ะ มันดูจากอะไรไม่ได้เลย”
ขอบคุณภาพ : เพจเฟซบุ๊ก “ทนายนิด้า”