แสนดี-อบอุ่น-ยิ้มละลาย คือจุดขายของ “ฟิล์ม-ธนภัทร” เจ้าของตำแหน่ง “สามีแห่งชาติ” คนล่าสุดที่กำลังฮอตที่สุดในขณะนี้ จากละคร “เมีย2018” เรื่องปัง ที่ทำเอาสาวเล็กสาวใหญ่-สาวแท้สาวเทียมหลงเสน่ห์เข้าอย่างจัง จนทีมข่าวทานกระแสไม่ไหว ต้องขอเจาะตัวตน เปิดทุกมุมความแซ่บของเขา ที่ยิ่งกว่าในละคร รับรองว่าอ่านแล้ว บรรดาสาวสูงวัยต้องยิ้มได้ ไปตามๆ กัน
เบื่อพระรองแสนดี ขอตบจูบ-ซาดิสต์ๆ
“แรกๆ ก็เขินนะครับ กับตำแหน่งที่เขายกให้ แล้วก็รู้สึกดีใจที่ทุกคนชื่นชอบให้เราเป็นเหมือนผู้ชายในอุดมคติของผู้หญิงหลายๆ คน ก็รู้สึกดีที่การแสดงของเราทำให้คนดูรู้สึกแบบนั้น รู้สึกดีใจและอยากบอกทุกคนว่าสิ่งที่ทุกคนมอบให้หรือกระแสตอบรับที่ดีก็เป็นอีกหนึ่งกำลังใจใหญ่ๆ ที่ทำให้ผมตั้งใจมีกำลังใจในการทำงานต่อไป”
ในฐานะนักแสดงที่เข้าวงการมาได้ไม่นานนัก “ฟิล์ม-ธนภัทร กาวิละ” เผยถึงความรู้สึกที่ตัวเองกลายเป็นที่รู้จักอย่างมากในขณะนี้ เขาพร้อมเปิดใจว่าการได้ตำแหน่ง “สามีแห่งชาติ” ที่หลายคนมอบให้ จากบทบอสวศิน ในเรื่อง “เมีย2018” แม้ในเรื่องจะดูเป็นอัศวินขี่ม้าขาวมาคอยช่วยเหลืออรุณานางเอกในเรื่องอยู่ตลอด แต่เขากลับรู้สึกว่าตัวเองยังไม่ใช่คนในอุดมคติของใครหลายๆ คนขนาดนั้น และยังรู้สึกว่าตัวเองยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่มีข้อบกพร่อง ยังต้องพัฒนากันต่อ
“ตอนแรกก็ไม่ได้คิดเลยว่าเล่นออกมาแล้วกระแสละครจะดีขนาดนี้ คนจะชื่นชอบเราขนาดนี้ เราไม่ได้รู้สึกว่าเล่นบทนี้แล้วต้องดี แต่เรารู้สึกว่าถ้าวันหนึ่งทุกบทบาทที่เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นบทบาทไหน โอกาสต่อๆ ไป เราก็อยากทำทุกๆ บทบาทให้มันเต็มที่ เราไม่ได้อยากให้เขามาชอบเราแค่เป็นตัวคาแรกเตอร์นี้ แต่ผมอยากให้ทุกคนยอมรับผมในฐานะนักแสดงที่อยู่ในวงการนี้ด้วยฝีมือจริงๆ
ผมชอบการแสดงแบบจริงจังตั้งแต่ที่เข้ามาอยู่ในช่องเนี่ยแหละครับ รู้สึกว่าพอได้เริ่มเรียนจริงๆ แล้วเราแตะความรู้สึกของตัวละครได้ลึก มันเหมือนมีเวทมนตร์บางอย่าง เรารู้สึกหลงรักศาสตร์นี้ขึ้นมา ที่กองก็สนุกสนานครับ ทุกคนเป็นกันเองทุกคนเลย ยิ่งหลังๆ เจอกันบ่อยแล้ว อย่างตอนแรกๆ ผมอาจจะเกร็งหน่อย เพราะผมเป็นนักแสดงใหม่ที่ยังไม่รู้จักใคร แต่ทุกคนอยู่ในวงการมานาน เขามีโอกาสได้เจอกันบ่อย ส่วนมากจะโดนพี่บีมาหยอกๆ เล่นบ้าง”
พี่บีที่หนุ่มฟิล์มกำลังพูดถึง คือ บี-น้ำทิพย์ จงรัชตวิบูลย์ รับบทเป็นนางเอกของเรื่องเมีย2018 จึงอดไม่ได้ที่จะถามถึงการทำงานร่วมกับนางเอกมากฝีมือว่ามีเคมีอะไรที่ทำให้เข้ากัน และยังคอยปลอบใจนางเอกจนกลายเป็นคู่จิ้น แม้ฟิล์มจะรับบทเป็นพระรองแต่คนดูต่างเชียร์มากกว่าพระเอก เขาก็ให้คำตอบว่าคงต้องถามคนดูกันเอาเอง หรืออาจเป็นเพราะพี่บีเป็นคนเฟรนด์ลี่ ก็เลยทำให้สนิทกันง่ายขึ้น
ละครเรื่องล่าสุดประสบความสำเร็จขนาดนี้ แน่นอนว่าละครเรื่องแรกๆ ที่แสดง ต้องมีความแตกต่างกัน เขาเล่าว่าประสบการณ์ครั้งแรกคือ เล่นได้แบบธรรมชาติมากเลย ก้อนหิน ต้นไม้ชัดๆ ย้อนกลับไปดูตัวเองคิดว่าเล่นอะไรอยู่ ซึ่งมองในฐานะคนดู ก็รู้สึกเล่นแย่จริงๆ แสดงว่าการแสดงจากเรื่องแรก มาจนถึงเรื่องล่าสุด ฝีมือพัฒนาอย่างแน่นอน ลองให้หนุ่มฟิล์มประเมินตัวเองดูหน่อยว่าจะเป็นอย่างไร
“รู้สึกโตขึ้นมาในระดับหนึ่ง แต่ว่ายังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ต้องพัฒนาอีกเยอะ ผมรู้สึกว่าการเป็นนักแสดง เป็นอาชีพที่เติมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม มีอะไรที่ให้เราค้นหาตลอด เพราะว่าในแต่ละตัวละคร อย่างนักแสดงเก่งๆ เขาจะทำการบ้านมาก่อน หน้าที่ของนักแสดงที่ดี คือต้องกลับไปทำการบ้านก่อนที่จะเริ่มตอนที่หนึ่ง ว่าตัวละครนี้เป็นยังไง มาจากไหน เป็นใคร มีความสัมพันธ์กับใคร ยังไงบ้าง
พอเปลี่ยนตัวละครใหม่ ทุกอย่างมันก็เริ่มนับศูนย์ใหม่ ผมรู้สึกว่าทุกเรื่องที่เราได้เล่นใหม่ เราหยุดเรียนรู้ไม่ได้ เราต้องค้นหาอยู่ตลอดเวลาว่าตัวละครนี้คิดอะไรอยู่ ตัวละครนี้โตมาได้ยังไง ทำไมถึงเป็นแบบนี้ สงสัยไหมครับว่าทำไม หรือเคยโกรธใครไหม ว่าโตมายังไงถึงมีนิสัยแบบนี้ อันนี้ไม่ได้จะว่าใครนะ แต่หมายถึงว่ามันเป็นคำถามที่เอาไว้ใช้กับตัวละครได้ว่าทำไมตัวละครนี้โตมายังไง ทำไมถึงใช้คำพูดแบบนี้ในสถานการณ์แบบนี้
ผมเล่นมาได้ประมาณ 3-4 เรื่องเอง ผมว่ายังมีอีกหลายอย่างมากที่อยากเล่น ผมอยากเล่นทุกๆ บทบาท ว่าเราสามารถเข้าไปแตะส่วนลึกของคนประเภทนั้นๆ ได้มากแค่ไหน จะเป็นคนบ้า คนโรคจิต หรืออะไรก็ตาม รู้สึกว่าบางทีเราเห็นแค่ผิวเพิน ผมอยากรู้ว่าลึกๆแล้วจริงๆ คนโรคจิต คนบ้า คนที่เป็นออทิสติก ความรู้สึกเวลาตอนที่เราสวมบทบาทมันจะเป็นยังไง
แต่ว่ามีบทที่อยากเล่นตอนนี้มากที่สุด น่าจะเป็นตบจูบ อยากลองแบบซาดิสต์ๆ หน่อยๆ อยากรู้ว่ามันจะออกมาเป็นยังไง ถ้าเราถ่ายทอดมันออกมา”
แน่นอนว่านักแสดงหนุ่มที่แสดงบทบาทของตัวเองออกมาให้คนดูรู้สึกชอบและยอมรับในฝีมือได้ เขาก็มีความฝันว่าอยากได้รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม หรือเป็นรางวัลทางด้านการแสดง อยากให้ทุกคนยอมรับในความสามารถของเขาจริงๆ ไม่ใช่เป็นแค่กระแส อยากให้อาชีพนี้เป็นอาชีพที่เลี้ยงตัวเอง จึงอยากจะให้ทุกคนยอมรับในความสามารถ
“ผมคิดว่าทุกคนหวังว่าเรื่องต่อไปมันต้องดังหรืออะไร แต่ผมจะทำงานในฐานะนักแสดงคนหนึ่ง ไม่รู้เรื่องต่อไปกระแสละครจะดีเท่าเรื่องนี้ไหม แต่ในฐานะนักแสดงผมอยากที่จะพัฒนาด้านความสามารถของผมเองให้มันเพิ่มมากขึ้น ให้เข้าถึงตัวละครหรือถ่ายทอดตัวละครใหม่ออกมาให้มันชัดขึ้น ละเอียดขึ้น ส่งถึงคนดูได้มากขึ้นกว่านี้ อยากให้ทุกคนโฟกัสตรงนี้มากกว่า
ผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ผมว่ามันไม่มีหลอกนักแสดงที่บทบาทน้อยหรืออะไร มันมีแค่นักแสดงตัวเล็กกับตัวใหญ่มันต่างกันที่ทัศนคติอย่างเดียว ว่าเรามองว่าบทบาทของเรามันสำคัญแค่ไหน ต่อให้มันเป็นบทคนใช้ แต่ถ้าเรามองว่ามันสำคัญมาก แล้วเราถ่ายทอดมันออกไปได้ดี ผมเชื่อว่าทุกคนจะมองว่าเขาเป็นคนใช้ที่ดีมากๆ มันขึ้นอยู่กับความตั้งใจของเรา ว่าเราจะถ่ายทอดออกไปได้เต็มที่หรือเปล่า ไม่ว่าจะบทบาทไหน ถ้าเราทำเต็มที่แล้ว ผมรู้สึกว่าเราทำหน้าที่ของนักแสดงที่ดีคนหนึ่งสมบูรณ์แล้ว”
เห็นเงียบๆ แต่ผ่านสาวมาแล้ว 20 คน
บทสนทนาเริ่มก้าวเข้าสู่เรื่องหัวใจของหนุ่มฟิล์มกันแล้ว ชายผู้มีรอยยิ้มทำลายล้าง เห็นในละครเงียบๆขรึมๆ อยู่บ่อยๆ แต่ชีวิตจริงกลับเคยมีสาวๆ ที่เรียกได้เต็มปากว่าแฟนมาแล้วถึง 20 คน วศินตัวจริงที่กำลังนั่งอยู่ข้างหน้าตอนนี้เขาเป็นคนยังไง มาลองค้นหาตัวตนเรื่องความรักว่าจะเผ็ดแซ่บแค่ไหน
“ตั้งแต่เด็กๆ แฟนคนแรกตอนป.6 มันเร็วอ่ะ ป๊อปปี้เลิฟตอนเด็กๆ มันก็จะเปลี่ยนค่อนข้างเยอะ โดยประมาณ 20 คน นับคนที่เป็นแฟนนะ ไม่นับคนที่คุย (ยิ้ม) ไม่ๆ ผมต้องเล่าก่อนบางทีเราไม่ได้ไปทิ้งเขา แต่เขาอ่ะทิ้งเรา บางทีคบกันได้เดือน 2เดือน เด็กผู้หญิงสมัยตอนผมเรียนม.ต้น เขาก็จะชอบรุ่นพี่ มันดูเท่ ดูปกป้องเขาได้”
ผมคบกันเป็นแฟนตอนเด็กๆ พอสักสองสามเดือน มีรุ่นพี่เข้ามาจีบเขา เขารู้สึกว่าโตกว่า ปกป้องได้ ก็บอกเลิกผมไปคบกับรุ่นพี่ มันก็จะเป็นอย่างเนี่ย มันเลยทำให้ดูเยอะ แต่คือเราไม่ได้ทิ้งเขา ตอนเด็กๆ ช่วงม.ต้น จะคบคนอายุพอๆ กัน เป็นรุ่นเดียวกันมากกว่า รุ่นน้องน้อยมาก แต่ถ้าเรียงตามสถิติจะเป็นคนที่อายุเยอะ อายุเท่ากัน แล้วก็อายุน้อย แฟนคนแรกที่อายุเยอะกว่าก็น่าจะช่วงม.ปลายแล้ว ผมอยู่ม.4 เขาอยู่ม.6”
ตลอดการสนทนาผู้ชายที่ดูมาดขรึม ในช่วงแรก พอผ่านการพุดคุยไปเรื่อยๆ เริ่มทำให้มองเห็นภาพนิสัยความขี้เล่น อารมณ์ดี ของหนุ่มฟิล์มเข้าจนได้ รับรองว่าสาวๆ มานั่งอยู่ตรงนี้ จะต้องละลายอย่างแน่นอน
และดูเหมือนว่าผู้ชายที่ชื่อฟิล์ม จะชอบผู้หญิงที่ค่อนข้างอายุเยอะกว่า เมื่อถามถึงการมีแฟนที่อายุมากกว่า เขาอยากจะให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นเหมือนกับแม่ของตัวเองบ้างไหม หนุ่มฟิล์มก็ตอบกลับทันทีว่าไม่ เพราะแม่จะมีตอนที่จุกจิกจู้จี้ขี้บ่นบ้าง สุดท้ายแล้วอยากได้ผู้หญิงที่อยู่ด้วยกันเหมือนเพื่อนมากกว่า
นอกจากนี้การจีบสาวส่วนใหญ่ สำหรับสถิติของเขา คือในโซเชียล เพราะไม่เคยจีบผู้หญิงต่อหน้าติดเลย ตอนมหาวิทยาลัยเคยให้เพื่อนไปขอไลน์ ก็แป้กทุกคน ไม่มีใครให้ ด้วยความที่ไม่กล้าไปเองเพราะความขี้อาย หากเจอผู้หญิงสวยๆ มา ก็ทำได้แค่แอบมองเขา ยิ้มกับตัวเองแต่ไม่กล้าให้เขาเห็นว่าเรารู้สึกอะไรอยู่
“ความรักที่ผ่านๆมา มันทำให้เราโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ผมเคยมีพาร์ตความรัก เคยดูเอ็มวี เคยดูหนังที่เดินกลางสายฝนร้องไห้ ไม่กินข้าว นั่งอยู่ในห้องน้ำเปิดฟักบัวใส่ตัวเอง ผมเป็นหมดทุกอย่างเลยอ่ะ ไม่กินข้าวอาทิตย์หนึ่งก็มี กินแค่น้ำเปล่า ก็อยู่ได้เนอะ คือหิวนะ แต่เหมือนเราประชด ทำไมต้องทำกับเราอย่างนี้ พอมันโตขึ้นมันเรียนรู้ได้ว่าสุดท้ายเราจะรักคนอื่นได้ เราต้องรักตัวเองก่อน แต่รักตัวเองในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเราต้องรักตัวเองจนเห็นแก่ตัว คือเราต้องเรียนรู้ที่จะรักตัวเอง ให้ตัวเองมีความสุขกับการที่ได้รักคนอื่น
คือเราเรียนรู้กับความรักที่โตขึ้น การที่รักตัวเองในตอนที่เราได้รักคนอื่นด้วย เราต้องมีความสุขกันทั้งสองฝ่าย ถ้ารักตัวเองอย่างเดียวมันจะกลายว่าเราเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะคิดยังไง จะรู้สึกอะไรขอแค่ตัวเองมีความสุขพอ แต่พอโตขึ้นเราได้เรียนรู้ว่าความรักของคนที่ควรโตขึ้น มันคือรักกันแบบเข้าใจ รักกันแบบทั้งสองฝ่ายแฮปปี้”
ความรักสำหรับฟิล์มในตอนเด็ก จะคิดว่าผู้หญิงคนนี้ไม่รักเราเลย ทำไมต้องไปมีคนอื่น เราไม่ดีตรงไหน แล้วก็ฟูมฟาย ร้องไห้อยู่เป็นอาทิตย์ แต่พอโตขึ้นเขาจึงเข้าใจว่าบางทีความรักก็ไม่ได้มีอะไรที่แน่นอนขนาดนั้น
“วันนี้เขารักเรา พรุ่งนี้เขาอาจจะไม่รักเราก็ได้ นั้นแปลว่าบางอย่างเขาเปลี่ยนไปแล้ว วันนี้เรารักกันอยู่ พรุ่งนี้เขาเป็นอีกคน เขาไม่รักเราแล้ว เราก็ต้องยอมรับว่าเขาเปลี่ยนเป็นคนใหม่แล้ว ไม่ใช่คนที่เราเคยรักแล้ว
ถ้าเราลองพยายามให้เขากลับมา แล้วเขาไม่กลับมาผมก็รู้สึกว่า มันรู้สึกเสียใจได้ แต่ผมรู้สึกว่าเราไม่ควรจมปักอยู่กับภาพอดีตที่มันเคยมี เพราะสุดท้ายเขาเปลี่ยนไปแล้ว เราต้องอยู่กับโลกปัจจุบันให้ได้
อยากฝากถึงทุกคนที่มีปัญหาชีวิตไม่ว่าจะเป็นปัญหาครอบครัว ปัญหาการเงิน ปัญหาอะไรก็ตามนานาจิตตัง ผมรู้สึกว่าทุกคนในชีวิตมันมีปัญหาหมด อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นแสงสว่างของความมืดที่เราเจออยู่หรือเปล่า ผมเชื่อว่า ไม่ว่าเราจะเจอปัญหาอะไร ในทุกๆ ปัญหามันมีทางออกเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเปิดใจยอมรับมันอดทนสู้หรือเปล่า ผมรู้สึกว่าโลกนี้ไม่มีพื้นที่สำหรับคนอ่อนแอ คือไม่ได้แปลว่าการที่คุณร้องไห้คือคุณอ่อนแอ แต่ร้องไห้แล้วคุณสู้นั้นแหละ คือคุณเข้มแข็ง
คนที่เข้มแข็งคือคนที่ไม่ยอมแพ้ ร้องไห้ไม่ได้แปลว่าคุณอ่อนแอ คุณเสียใจได้แต่คุณต้องไม่หยุดต่อสู้ คุณต้องสู้ชีวิต ผมเชื่อว่าวันหนึ่งมันจะเป็นวันของเราเองจริงๆ
ผมก็อยากฝากละครเมีย2018 นะครับ ฝากแฟนๆ ทุกคน เอาใจช่วยนักแสดงทุกคน ฝากเอาใจช่วยบอสวศินให้ชนะใจอรุณาให้ได้นะครับ ผมรับรองว่าประมาณ 10 ตอนที่เหลือสนุกเข้มข้น แล้วก็มีฉากให้ฟินและจิ้นกว่าเดิมแน่นอน แล้วก็ฝากละครเรื่องใหม่ด้วยนะครับ กำลังจะเปิดกล้องเร็วๆ นี้ คือหน้ากากแก้วนะครับ ก็ฝากติดตามกันด้วยนะครับ
ไม่ได้โตมาแบบ “คุณชาย” ซักผ้า-ล้างจาน ทำเองหมด
เมื่อถามถึงบุคคลที่ตั้งชื่อเล่นให้กับหนุ่มฟิล์ม เขาก็บอกถึงที่มาทันทีว่า คุณแม่เป็นคนตั้งชื่อนี้ให้เอง ซึ่งตอนที่ตั้งท้อง คุณแม่เป็นคนชอบถ่ายรูป เลยตั้งชื่อว่า “ฟิล์ม” และยังมีพี่ชายหนึ่งคน ชื่อฟอฟันเหมือนกัน ช่วงนั้นทำอะไร แม่ก็จะตั้งชื่อลูกตามกิจกรรมช่วงนั้น และพี่ชายชื่อฟาง ตอนนั้นที่บ้านเลี้ยงวัว แล้ววัวมันกินฟาง ก็เลยตั้งชื่อให้พี่ชายว่าฟาง
“ที่บ้านไม่ได้ร่ำรวยอะไร เป็นครอบครัวที่แบบพอมีพอกิน เขาก็จะเลี้ยงดูเราแบบ ให้เราช่วยเหลือตัวเองได้ ให้เราทำงานบ้านตั้งแต่ตอนเด็กๆ ซักถุงเท้า ซักผ้า กวาดบ้านถูบ้าน ล้างจาน รีดผ้าเองเป็นตั้งแต่ปฐม ให้นั่งรถเมล์ไปโรงเรียน นั่งกลับเอง คือฝึกให้รับผิดชอบชีวิตตัวเองทุกอย่างมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าอยากให้โตไปแล้วเราสามารถอยู่ในสังคมได้โดยที่เราไม่ต้องไปเป็นภาระใคร
[ครอบครัวของ ฟิล์ม-ธนภัทร]
ผมว่าคนในครอบครัวจริงๆ สำหรับผม ผมมองว่าไม่ว่าจะสถานะพ่อแม่พี่น้อง ถ้าเราอยู่กันด้วยความเข้าใจเหมือนที่เราเข้าใจเพื่อน ผมรู้สึกว่ามันคุยกันง่าย คือยังไงพ่อกับแม่ก็อยู่สูงกว่า แต่พอเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ถ้าเราคุยกันแบบเพื่อน เหมือนกับที่เราคุยกับเพื่อนจริงๆ คุยกันด้วยเหตุผลเลยว่า ชอบไม่ชอบเพราะอะไร ยอมรับทัศนคติของคนในมุมมองของเขา ผมรู้สึกว่าถ้าครอบครัวเราอยู่กันแบบเพื่อน จะอยู่ด้วยความเข้าใจ จะอยู่กันได้โดยที่ไม่ทะเลอะกัน”
ส่วนการเรียนในมหาวิทยาลัยเอกชน จากคณะบริหารธุรกิจ ภาควิชาการเงิน มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ฟิล์มยังสามารถคว้าเกียรตินิยม อันดับ 2 มาได้ แต่เขาคิดว่า ใบปริญญาของตัวเองมันแพง ถ้าทำงานในสายอาชีพที่เรียนมา ไม่รู้ว่าจะประสบความสำเร็จเมื่อไหร่
“ถ้าเราไม่ประสบความสำเร็จเงินที่เราหามาได้แต่ละเดือน เราแทบช่วยเหลือที่บ้านไม่ได้เลย ผมก็เลยมองกลับไปว่า ผมจะหาอาชีพอะไรที่สามารถทำแล้วช่วยเหลือที่บ้านได้เลย ตอนนั้นมีโอกาสได้เจอกับเพื่อนมหาลัยคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันแล้วเขาเรียนภาษาอังกฤษอยู่ เราก็เลยถามว่าเขาทำอะไรอยู่ แต่ที่บ้านเขาก็มีธุรกิจอยู่แล้ว แต่เขาอยากมาเป็นสจ๊วต เขาก็มาเรียนภาษาอังกฤษ ผมก็เลยได้แรงบันดาลใจมาจากเขา บวกกับอยากหางานที่สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้เลย ก็เอาเงินเก็บของตัวเองก้อนสุดท้ายไปลงเรียนภาษาอังกฤษอยู่ประมาณครึ่งปี
หลังจากนั้นสายการบินเปิดพอดี ผมก็สอบ เอาคะแนนครั้งเดียวแล้วก็ผ่าน ทุกอย่างผ่านไปครั้งเดียวหมดเลย ทุกอย่างราบรื่นหมดเลย (ยิ้ม) ผมได้เรียนรู้การอยู่รวมกับคนหลายประเภท การทำงานบนเครื่องบินมันเปลี่ยนทีมตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นนักบินเอง หรือลูกเรือเอง ได้เรียนรู้การทำงานที่เราต้องทำได้กับทุกสภาวะ ด้วยความที่เราต้องเป็นมืออาชีพ แล้วเราฝึกเรียนรู้ อดทน อดกลั้น บางอย่างเราก็ไม่ชอบ แต่ด้วยการทำงานเป็นทีม เราทำงานบริการ เรามีวิธีการแสดงออกด้านความรู้สึกในแบบที่ควรจะเป็น”
แต่พอโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เขาได้เรียนรู้ว่าทำยังไงที่จะพูดหรือแสดงออกความรู้สึก พูดออกไปในสิ่งที่เรารู้สึกได้โดยที่ไม่มีผลกระทบต่อผู้ฟัง ได้เรียนรู้การทำงานมากขึ้น ได้เรียนรู้ความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
ส่วนตอนเรียนมหาลัยเขาไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมเท่าไหร่ ด้วยความที่เป็นม.กรุงเทพ ถ้าใครเรียนจะรู้ว่าม.กรุงเทพ ไม่ได้เป็นมหาลัยที่บังคับทำกิจกรรม ไม่มีการรับน้องที่ต้องเข้าทุกคน นอกจากจะแยกตามภาควิชาแล้ว
“แต่ผมประกวดเดือนของภาคครับ เพราะว่าตอนปี1 ไม่ได้เข้ากิจกรรมรับน้อง เพราะเขาไม่ได้บังคับไง เพื่อนก็ไม่ไปกัน ไม่มีเพื่อนไป ไม่รู้จักใครก็ไม่ไป แต่พอเข้าภาควิชาเขาบังคับไปก็เลยต้องไป แล้วก็โดนรุ่นพี่บังคับก็ประกวด ก็ได้ตำแหน่งเดือนของภาควิชา”
เมื่อย้อนกลับไปวัยเด็กของหนุ่มหน้าหวานคนนี้ ก็ยังมีวีรกรรมที่ทำให้แม่ต้องมาเข้าห้องปกครอง และด้วยความดื้อตามประสาเด็ก ก็ยังเคยโดดเรียนจนเกือบติด ร มาแล้ว
“เรื่องนี้เป็นเรื่องตลกมาก เคยเข้าห้องปกครองตอนม.ต้น เพราะอยากกลับบ้านเร็ว ผมรอแม่มารับ แม่จะกลับบ้านแล้วโรงเรียนผมเป็นทางผ่านตอนม.ต้น เราอยากกลับบ้านเร็ว อยากกลับบ้านแล้ว แม่มารับเย็นขี้เกียจรอ เพื่อนมีมอเตอร์ไซค์ จะให้เพื่อนไปส่ง แล้วก็ไปนั่งรอเพื่อน เพื่อนอ่ะเล่นพนัน เราก็ไปนั่งรอเพื่อน แต่ไม่ได้เล่น
[คุณแม่ของ ฟิล์ม-ธนภัทร]
แต่เพื่อนโดนจับเข้าห้องปกครอง เราก็โดนไปด้วยเพราะนั่งอยู่ด้วย แต่คือเราไม่ได้เล่นจริงๆ ก็เป็นครั้งแรกที่แม่เข้าห้องปกครอง เพราะไปนั่งรอเพื่อนเล่นพนัน (ยิ้ม) แต่เพื่อนก็บอก ก็พูดตรงๆ ว่าผมไม่ได้เล่น ครูก็บอกวันหลังอย่าเอาแบบนี้อีกนะ อย่ามานั่งดูเพื่อนเล่นอีกนะ อันนั้นน่าจะตลกที่สุดแล้ว เป็นการเข้าห้องปกครองของแม่ครั้งแรก และครั้งสุดท้ายด้วยมั่ง แม่ก็เตือนว่าแบบอย่าไปยุ่งกับเพื่อนแบบนี้มาก เราก็ยังบอกกับแม่ว่า แม่มารับช้าอ่ะ อยากกลับบ้านก่อน”
ลุยงานวิ่ง! ไม่เคยซ้อม แต่พร้อมเข้าเส้นชัย ผมไม่เคยวิ่งมาราธอนมาก่อนเลยด้วยซ้ำครับ “We Run2018” งานวิ่งเมื่อวันที่ 29 ก.ค อยากจะด่าตัวเองว่า กล้าได้ยังไงวะ ลงวิ่ง 10 กิโล เป็นมินิมาราธอนแรกของตัวเอง แล้วผมไม่ได้ซ้อมไปเลย ไม่ซ้อมเลย ใช้คำว่าไม่ได้ซ้อมเลย แม้แต่บนลู่ก็ไม่ได้ซ้อม 5 กิโลแรกไม่เป็นไร ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ทำ 5 กิโลแรก 30 นาทีนิดๆ ผมจำได้ อีก 5 กิโลข้างหลัง เกือบชั่วโมง ความรู้สึกคือ เมื่อไหร่จะถึง เมื่อไหร่จะครบ 10 กิโล คือขาไหว ใจก็สู้ แต่มันหายใจไม่ทันแล้วอ่ะ คือระบบการหายใจ มันต้องควบคุมการหายใจ มันคือฟอร์มการวิ่ง นักวิ่งมาราธอนจริงๆ ต้องมีการฝึกวิ่งด้วยความเร็วเท่านี้ ต้องวิ่งอย่างนี้ หายใจขนาดนี้ ผมจำได้ว่าหัวใจเต้นแรงมาก ตึกๆๆๆๆ กลับมาหลังจากนั้นคือแบบเปลี้ยมาก วินาทีที่เข้าเส้นชัย ใจจะขาดแล้ว กล้องเต็มเลย ยิ้มสู้ ตอนนั้นคือไม่สนแล้ว อารมณ์คิดในใจว่าเอาตัวเองเข้าเส้นชัยได้นี่คือสุดยอดแล้ว (ยิ้ม) คือแค่ฝืนยิ้มได้ในใจก็คือแบบเก่งมาก แต่ความจริงคือ ไม่ไหวแล้ว (น้ำเสียงแผ่วเบา) แต่อยากไปอีกๆ รู้สึกว่ามาราธอน คือการเอาชนะใจตัวเอง ไม่ต้องแข่งกับคนอื่นเลย คือน้องที่ไปด้วยกันเป็นผู้หญิง ด้วยความที่น้องเขาวิ่งเป็นประจำ เขาเป็นผู้หญิงตัวเล็กกว่าผม เขาวิ่งเข้าก่อนผมอีกอ่ะ ตอนแรกก็แบบ เสียฟอร์มไม่ได้ พอกิโลที่เจ็ดเท่านั้นแหละ เออวิ่งแซงไปเลย ไปเหอะ ไม่ไหวแล้ว ตอนแรกก็คิดจะเดินเข้าเส้นชัย แต่จะดีหรอ กล้องอยู่เต็มเลยนะ ไม่อยากเข้าที่โหล่ เอาสะหน่อยแล้วกัน ก็กัดฟันวิ่ง แต่ในใจคืออยากให้มาเห็นใจข้างในมากว่าแบบไม่ได้อยากยิ้มแล้ว ไม่ไหวจริงๆ เหนื่อยมากๆ แต่ถามว่ามันคุ้มไหม มันคุ้มนะ มันรู้สึกว่าเราได้ก้าวผ่านอุปสรรคในใจเราอย่างหนึ่ง มาราธอนคือวิ่งด้วยใจล้วนๆ มันทำให้เราได้เปิดโลกใหม่ ผมไม่เคยได้วิ่งมินิมาราธอนเลย มากสุดก็น่าจะเคยวิ่งแบบ Fun Run ครั้งสองครั้งในชีวิต ต่อไปถ้าคิดว่าตัวเองจะลงสมัคร จะหาเวลาซ้อม ถ้าไม่มีเวลาซ้อม จะไม่ไปแล้ว (ยิ้ม) คือนี่เจ็บขามากอ่ะ (จับขาตัวเอง) ผมอยากบอกว่าเดินเหมือนคนพิการอ่ะ คือกะเผลกตลอด กินยาก็แล้ว ทายาก็แล้ว เดินขึ้นบันไดแต่ละขั้นคือแบบสะท้านจริงๆ |
รักสัตว์-รักเด็ก ว่าที่คุณพ่อในอนาคต ผมอยากมีครอบครัวตอน 35 บวกแล้วครับ เพราะรู้สึกว่าอยากทำงานก่อน อยากทำงานให้เต็มที่ อยากมีทุกอย่างก่อน ไม่อยากให้ถ้าสมมติจะมีครอบครัวจริงๆ ผมอยากมีลูก ผมอยากเลี้ยงเด็ก ผมรู้สึกว่า ผมอยากให้ชีวิตที่เกิดมา ไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องตกระกำลำบาก แต่ไม่ใช่จะสปอยเขา ผมก็คงเอาวิธีที่แม่สอนผมมา คือการที่ทำให้วันหนึ่งที่เราไม่อยู่ เขาก็ใช้ชีวิตอยู่ได้โดยที่ไม่ต้องมีเรา แต่ไม่อยากให้อีกชีวิตหนึ่งที่เกิดมาแล้วเราไม่สามารถดูแลเขาได้ดี ไม่สามารถดูแลให้โอกาสเขาได้เต็มที่ ถ้าเราจะมีอีกชีวิตหนึ่งเข้ามา ทำให้เขาเกิดชีวิตใหม่ขึ้นมา เราอยากให้เราพร้อมที่จะดูแลเขาจริงๆ ใจจริงอยากมีลูกผู้หญิง อยากเล่นกับเด็ก ชอบเด็กผู้หญิง ก็อย่างน้อยสองคนอ่ะ แต่ลูกคนแรกก็อยากให้เป็นผู้ชาย รู้สึกว่าถ้ามีปัญหาอะไรเขาสามารถปกป้องน้องได้ ส่วนการเป็นสามีที่ดี ผมว่าหนึ่งอย่างคือความซื่อสัตย์ ไม่ใช่แค่สามีแต่เป็นกับทุกๆ คน ทุกสถานะความสัมพันธ์ ผมว่าทุกคนคงอยากได้ความซื่อสัตย์ สิ่งที่ทุกคนต้องมีนะครับ และผู้หญิงส่วนใหญ่คงอยากได้ผู้ชายที่เข้าใจแล้วก็อารมณ์เย็น เข้าใจ อารมณ์เย็น รักสัตว์ รักเด็ก เล่นดนตรี ออกกำลังกาย น่าจะเป็นผู้ชายในอุดมคติของทุกคนแล้ว แต่หลักๆ คงเป็นความซื่อสัตย์ เข้าใจ แล้วก็เป็นคนที่ใจเย็น น่าจะเป็นผู้ชายในอุดมคติของใครหลายๆ คน อยู่ด้วยแล้วมีความสุขผู้หญิงชอบใช่ไหม (ยิ้ม) ผมว่าผู้หญิงชอบผู้ชายที่เขาอยู่ด้วยแล้วมีความสุข ทำให้โลกของผู้หญิงมีเสียงหัวเราะ |
ส่อง “เมนูกระทะพัง” ซิกเนเจอร์ พ่อครัวฟิล์ม จำได้ว่าการทำอาหารครั้งแรกที่ดีใจที่สุด คือไข่ลูกเขย คือแต่ก่อนคุณย่าผมชอบทำอาหารให้กิน เมนูโปรด ก็คือพะโล้กับไข่ลูกเขย แล้วผมก็ฝึกทำฝึกทำไปเรื่อยๆ ตอนแรกคือเชื่อไหม ว่าผมเคยเอาน้ำเฮลซ์บลูบอยมาทำไข่ลูกเขย คิดว่ามันเป็นน้ำหวาน แล้วเอาเฮลซ์บลูบอยไปราด ไปทำเป็นน้ำไข่ลูกเขย เท่านั้นแหละ กระทะแทบทิ้งเลย คือแคะไม่ออก มันเหนียวมันแข็งมาก แต่หลังจากนั้นก็คือพยายามเรียนรู้ วิธีเขาทำ เขาทำอย่างนี้ อย่างนี้ ก็เริ่มพัฒนามาเรื่อยๆ จนตอนนั้นก็ถือว่าอร่อยในสำหรับเด็กๆ คือผู้ใหญ่กินได้ แต่ก็อาจไม่ได้แบบว้าวขนาดนั้น สำหรับผมมันคือการทำอาหารครั้งแรกในชีวิต รู้สึกว่าภูมิใจที่สุด แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยทำอีกเลย ผมอยากเป็นคนทำอาหารให้อร่อย อยากทำอาหารคลีนกินเองให้อร่อย เพราะรู้สึกว่าทุกวันนี้คือ คิดในใจว่าแบบกินๆ ไปเหอะ กินเพื่ออยู่ กินๆ ไปเหอะ ผมก็ไม่เข้าใจทำไมเวลาคนอื่นเขาขายอาหารคลีนทำไมมันอร่อยจังเลย พอตัวเองทำนี่อะไร ทำไมมันจืดขนาดนี้ว่ะ (หัวเราะ) |
ไม่ปฏิเสธ! บทอวดหุ่น “กล้ามอกโต-หลังแน่น” กระแทกใจสาว ทุกช่วงที่ว่าง ถ้ามันไม่ได้เหนื่อยจัดเกินไป มีเวลาพักผ่อนพอสมควร เราก็จะเจียดเวลาไปออกกำลังกายบ้าง อย่างน้อยถ้าไม่มีคาดิโอก็ดัมเบลอะไรอย่างนี้ ก็จะหาเวลาเข้าอยู่เสมอ บทบาทโชว์รูปร่าง ก็มันขายได้ไหมอ่ะ ขายได้ใช่ไหม ผู้หญิงก็ชอบ ผมรู้สึกว่ามันขายได้แหละ แต่มันอยู่กับจังหวะ โอกาสมากกว่า คือ เรามาเป็นนักแสดง ผมอยากขายความสามารถตัวเองนำ คือแน่นอนแหละทุกคนผู้หญิงต้องอยากดูผู้ชายมีซิกแพก กล้ามอกโตๆ หลังแน่นๆ กล้ามเป็นมัด ถูกไหม อย่างเป็นผู้หญิงทุกคนมาสัมภาษณ์ ไม่ชอบหรอผู้ชายอกแน่นๆ ซิกแพกเป็นลอนๆ เห็นเหงื่อหน่อย ทุกคนต้องชอบใช่ไหมครับ คือมันก็เป็นธรรมชาติที่เราขายความบันเทิง เราเป็นนักแสดงเพื่อขายความสุขให้กับคนดู แปลว่ามันมีแน่นอนอยู่แล้วที่คนดูอยากจะดู แล้วผมรู้สึกว่าถ้าวันหนึ่งเราพร้อม เราก็ไม่ปฏิเสธกับเรื่องแบบนี้ เพียงแต่ว่าสิ่งที่อยากให้ทุกคนโฟกัสจริงๆ คือความสามารถของเรา เรามาเป็นนักแสดง เราอยากขายความสามารถทางด้านการแสดงมากกว่า |
สัมภาษณ์โดย ผู้จัดการ Live
เรื่อง: สวรส พวงเกาะ
ภาพ: กัมพล เสนสอน
ขอบคุณภาพ: อินสตาแกรม @film.thanapat @onehdthailand