ครูล้มละลายหนี้บานชอกช้ำเพราะลูกศิษย์เพิ่มอีกแล้ว 2 ราย ครูหมี และครูไกรวิทย์ ชีวิตสุดลำเค็ญ ลำบากขึ้นศาลทุกวัน หนำซ้ำป่วยเป็นมะเร็ง ถูกศาลสั่งล้มละลาย ลาออกจากโรงเรียน เนื่องจากเงินเดือนไม่มีให้หัก ค้ำเงินกู้ กยศ.ให้ลูกศิษย์ 30-40 คน จนยอดหนี้พุ่งทะยาน 6-8 ล้านบาท หวั่นซ้ำรอย ครูวิภาประกาศตามหาลูกศิษย์ให้มาใช้หนี้ ทนายซัดกฎหมายเมืองไทยมีปัญหาบังคับชำระหนี้ เอื้อลูกหนี้ แนะให้ดูอเมริกาคนเบี้ยวหนี้ให้ไปนอนบ้านคนจนที่รัฐจัดหาให้ ไม่ให้นอนบ้านส่วนตัวสุขสบาย
หัวอกเรือจ้าง ล้มละลายเพราะรักศิษย์
หวั่นลูกศิษย์จะทรยศเหมือนครูวิภา บานเย็น ผู้บริหารโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.กำแพงเพชร ที่ค้ำประกันเงินกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)ให้นักเรียนกว่า 60 คน แต่มีนักเรียนกว่า 30 คน ไม่ยอมชำระหนี้ เกิดยอดหนี้ จำนวนเงิน 1 ล้านบาท ทำให้ครูวิภาต้องถูกยึดบ้าน ที่ดิน
ล่าสุด สรพงศ์ เค้าเกล้า หรือครูหมี ครูโรงเรียนห้วนต้อนพิทยาคม จ.ชัยภูมิ ประสบชะตากรรมดั่งเช่นครูวิภา วอนลูกศิษย์ที่ครูเคยค้ำเงินกู้ กยศ.ให้พวกเขาได้เรียนมหาวิทยาลัย ตั้งแต่ ปี 2539-2548 ประมาณ 40 คน มาใช้หนี้ด้วย ล่าสุด ยอดหนี้พุ่งทะยาน 8 ล้านบาท
“กยศ. มีหมายศาลให้ครูติดตามมาไกล่เกลี่ย ผ่อนใช้เงินกู้คืนได้ 13 ราย(ที่เหลือยังติดตามไม่เจอ) ขอ
ร้องมายังพวกเธอ อย่าให้เป็นเช่นครูวิภา นะครับ เพราะ
1.ครูใกล้เกษียณแล้ว(อีกปีเศษ)กลัวจะไม่มีเงินบำนาญไว้ใช้ยามแก่ชรา
2.ครูมีบ้านหลังเดียว(ที่พวกเธอเคยพักอาศัยอยู่กินสมัยเป็นนักเรียน) กลัวถูกฟ้องยึดขายทอดตลาด
3.ช่วงนี้ก็ป่วยไม่มีแรงจะตามหาพวกเธอได้(หลายคนอยู่ไกล เช่น ภูเก็ต, กระบี่, พังงา, เชียงราย, เชียงใหม่ฯลฯ)
สำหรับยอดหนี้ล่าสุดที่ครูหมีค้ำประกันให้ลูกศิษย์มีประมาณ 8 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2539-2548 ประมาณ 40 คน บางรายผ่อนส่งได้ 3-4 งวด ก็หายไป
อย่างไรก็ตาม ครูหมีมีชื่อที่อยู่ ชื่อพ่อชื่อแม่ ของลูกศิษย์ที่เบี้ยวหนี้ กยศ. แต่ไม่ยอมเปิดเผย ด้วยรักษาจรรยาบรรณครูที่ว่า "ครูต้องรักษาความลับของลูกศิษย์"
ครูหมี เคยได้รางวัลโล่เกียรติยศ ครูดีในดวงใจ" เนื่องในงานวันครู ปี พ.ศ.2553 รับประกาศเกียรติคุณและเข็มเชิดชูเกียรติ "หนึ่งแสนครูดี" ในงานวันครู พ.ศ.2557
ขณะเดียวกันอดีตลูกศิษย์ครูหมี โพสต์ขอร้องให้เพื่อนที่เคยให้ครูหมีค้ำประกันเงิน กยศ.รีบมาใช้หนี้ด้วย เพราะตอนนี้ครูหมีเดือดร้อนมาก ยืนยัน ครูหมีคือพ่ออีกคนของนักเรียน ใช้เงินเดือนครูเลี้ยงลูกศิษย์หลายสิบชีวิต ด้วยเงินเดือนของข้าราชการครูพ่อที่ดูแล รับผิดชอบ ความหวังของผู้ปกครองนับร้อยชีวิตแต่ทำไมกลับทดแทนคุณพ่อกันแบบนี้ ซัดใครที่ทีได้ดีแล้วลืมคนข้างหลังไม่มีวันเจริญ เป็นหนี้ต้อง “รับผิดชอบ”
เช่นเดียวกับครู ไกรวิทย์ สุขสำอางค์ อายุ 58 ปี อดีตครูโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ย่านหนองแขม ได้ค้ำประกันให้ลูกศิษย์ และถูกเบี้ยวหนี้ ยอดหนี้ 6 ล้านบาท ซ้ำร้ายป่วยเป็นมะเร็ง ล้มละลาย ออกจากงาน
นักศึกษาส่วนใหญ่ที่ครูไกรวิทย์ค้ำประกันเงินกู้ กยศ.ให้นั้นเป็นเด็กต่างจังหวัด มีทั้งภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ ค้ำให้ตั้งแต่ระดับ ปวช.ขึ้นไป จนบางคนเรียนจบ ไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรี ยังได้มาขอให้ค้ำประกันต่ออีก ที่ได้เซ็นค้ำไปมีประมาณ 40-50 คน
ครูไกรวิทย์ เผยว่าไม่รู้ว่าค้ำประกันให้ลูกศิษย์ แล้วต้องชดใช้หนี้ให้ กยศ.ด้วย ชีวิตลำบากต้องเดินทางไปขึ้นศาลทุกวัน สัปดาห์ละ 3-5 วัน ตั้งแต่ปี 2550-2559 ปัจจุบันป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ ปัจจุบันลาออกจากการเป็นครูแล้วเพราะเงินเดือนไม่มีให้หัก ตอนนี้เลี้ยงชีพโดยเลี้ยงปลาหมอสี และรับจ้างสอนหนังสือ ใช้ชีวิตอยู่อย่างพอเพียง
“คนเป็นครู เรามีหน้าที่ให้ความรู้ ให้อาชีพ เป็นครูโกรธไม่ได้ ผมไม่คิดท้อ แต่ทั้งหมดก็อยู่ที่ความรับผิดชอบของลูกศิษย์แต่ละคน” ครูไกรวิทย์ กล่าวด้วยน้ำเสียงสะอื้น
โทษต้องหนัก เอาผิดคนเบี้ยวหนี้
ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ เจ้าของเพจเฟซบุ๊กทนายคู่ใจ ให้สัมภาษณ์ทีมผู้จัดการ Live ซัดกฎหมายไทยเอื้อลูกหนี้ ชี้โทษเบี้ยวหนี้ของอเมริกาหนักกว่าไทยห้ามอยู่บ้านส่วนตัว ให้ไปอยู่บ้านคนจนที่รัฐจัดหาให้ เตือนเพจดังแฉรายชื่อศิษย์เบี้ยวหนี้ ผิดกฎหมาย ลูกหนี้มีสิทธิ์ฟ้องร้องได้
“คนไทยคิดว่ากฎหมายไม่ศักดิ์สิทธิ์ จึงต้องมาพึ่งโลกโซเชียลฯดำเนินการกันเอง ก็คือการ “ประจาน” ทั้งที่มีกฎหมายห้าม แต่คนก็เข้าใจว่า กฎหมายอ่อนแอ ก็มีสิทธิ์ฟ้องแอดมิน และผู้แชร์โพสต์ได้ เอาความเป็นหนี้มาเปิดเผย มาประจานคนอื่น เป็นการหมิ่นประมาท ใส่ความคนอื่น ด้วยการโฆษณานำเข้าข้อมูลที่เป็นเท็จ มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท “
สำหรับคนที่ผิดชำระหนี้นั้น ทนายรณณรงค์ มองว่า ควรมีสามัญสำนึกควรเห็นอกเห็นใจคนที่ค้ำประกันให้ ชี้มีผู้ประสบชะตากรรมแบบนี้มากมาย
“ใครที่ผิดชำระหนี้ ต้องเห็นอกเห็นใจคนที่ค้ำประกันให้ด้วย เมื่อคุณยืมเงินเขามา แม้จะเป็นหนี้กองทุนเพื่อการศึกษาก็ตาม ก็ต้องรับผิดชอบในหนี้ที่ก่อไว้ ถึงที่เวลาที่ต้องจ่าย ก็ต้องชำระ คืนเจ้าหนี้เขา ถ้าไม่ชำระคืนก็ต้องถูกฟ้องร้องดำเนินคดี
อย่างในเคสของครูวิภา เขาฟ้องหมดแล้ว แล้วก็ยังหน้าด้านหน้าทนไม่จ่าย กฎหมายทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ เพราะคดีนี้ถ้าไม่ได้เป็นข้าราชการค้ำประกัน เผลอๆเขาก็ไม่จ่าย ครูวิภาเป็นหนึ่งในไม่รู้กี่แสนคนที่ต้องประสบชะตากรรมแบบนี้
ครูคิดดีกับเด็กไปค้ำประกันให้ ไม่ได้คิดว่าในอนาคตจะต้องมารับผิดชอบภาระหนี้ เพราะต้องไม่ลืมว่าในสมัยก่อน มีความพยายามพูดถึงเรื่อง กยศ.ว่าเป็นเงินให้เปล่า ครูก็คงคิดแบบนั้น จึงค้ำประกันเงินกู้ให้”
ส่วนกระแสข่าวที่จะห้ามไม่ให้คนเบี้ยวหนี้ทำบัตรประชาชนนั้นนั้น ทนายรณณรงค์ ยืนยันว่า ทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน
คุณไม่จ่ายเงินเขาก็ยึดทรัพย์สินกันไปตามกฎหมาย อายัดเงินเดือน แต่จะไปห้ามเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานไม่ได้ ไม่ได้หลบหนีหมายจับ "ถ้าลูกหนี้ไม่จ่ายเป็นคดีทางแพ่งเท่านั้น"
แต่ผมอยากให้เมืองไทยบังคับใช้กฎหมายแบบที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งจะดีมาก ใครเป็นหนี้ต้องไปนอนบ้านคนจนที่รัฐจัดหาไว้ให้ ไม่ใช่บ้านสบาย ต้องนอนรวมกับคนอื่น ที่ไม่ใช่บ้านพักส่วนตัว
เขามีการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เหมือนเมืองไทย หากใครล้มละลายนะ ทั้งชีวิตห้ามมีบ้าน ห้ามนอนบ้านส่วนตัวเลย แต่เมืองไทยล้มละลายยังไปนอนบ้านลูกบ้านหลานได้ มีความสุขอยู่บนกองเงินกองทอง กฎหมายมีความต่างเยอะ
เขาสามารถทำงานได้แต่เงินก็ต้องมาหักหนี้เข้ารัฐ เมืองไทยมีปัญหาเรื่องการบังคับชำระหนี้ตามกฎหมาย แม้กฎหมายจะเปิดช่องให้ แต่กฎหมายก็ยังไม่ค่อยจริงจังเท่าไหร่
ของเมืองไทยถ้ายอดหนี้เกิน 1 ล้านบาท กรณีเป็นข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ ก็ต้องล้มละลายให้ออกจากงาน ครูที่ไปค้ำประกันเป็นข้าราชการจึงเดือดร้อนแต่ถ้าทำงานเอกชนก็ไม่เดือดร้อนอะไร”
นอกจากนี้ ทนายรณณรงค์ ยังเผยว่า นอกจากครูแล้ว ยังมีตำรวจ ทหาร ที่ไปค้ำประกันให้กับคนอื่นจนตัวเองเดือดร้อนจนล้มละลาย จะโดนไล่ออกจากงาน โดนปลดจากตำแหน่ง ก็มีอีกเยอะ มีมาปรึกษาทุกวัน เพียงแต่ไม่ได้เป็นข่าว ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการที่สามารถไปเซ็นค้ำได้
“เป็นหนี้หามาจ่ายก็จบแล้ว ของแบบนี้อยู่ที่ความรับผิดชอบ และสามัญสำนึก”