xs
xsm
sm
md
lg

เปิดตัวตน “มิกกี้ - ณ ป้อมเพชร” นายแบบ-เทรนเนอร์ - (ว่าที่)เจ้าบ่าวที่แซ่บที่สุด!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 
หน้าหล่อ-กล้ามแน่น-บอดี้เซ็กซี่ ดีกรี “นายแบบ-โค้ชออกกำลังกาย” นาทีนี้ไม่มีใครร้อนแรงเกินกว่านี้อีกแล้ว! ล่าสุด บทบาทใหม่ (ว่าที่) เจ้าบ่าวที่หุ่นแซ่บที่สุด แถมยังกุมหัวใจสาวเจนี่ไปได้อย่างไม่มีข้อสงสัย พร้อมเปิดตัวตนทุกมิติให้เข้าไปค้นหาและรับรองได้เลยว่าทัศนคติการใช้ชีวิตของชายคนนี้จะทำให้ต้องหลงรัก “มิกกี้ - นนท์ อัลภาชน์ ณ ป้อมเพชร”

“ความรัก-คนที่ใช่” มักเกิดขึ้นใน “เวลา” ที่เหมาะสม

“เรื่องขอแต่งงาน ถามผม ผมก็ว่าเร็ว แต่คุณพ่อ-แม่ผม คบกัน 3 เดือนแล้วแต่งงาน ก็อยู่ด้วยกันมาได้ 20 กว่าปี การคบใครสักคนมันไม่ใช่การไปขอพาสปอร์ตนะครับ เราเลิกกับคนนี้ต้องมีระยะห่างกี่เดือนถึงจะไปคบกับอีกคน หรือว่าต้องคบกันกี่เดือนถึงแต่งงานกับคนนี้ได้ ทั้งหมดมันอยู่ที่คนสองคน ไม่ได้อยู่ที่ 60 ล้านคนของประเทศไทย”

มิกกี้ - นนท์ อัลภาชน์ ณ ป้อมเพชร เผยความรู้สึกหลังมีกระแสเรื่องขอแต่งงานแฟนสาว เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ จนกลายเป็นข่าวทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ที่สังคมสนใจในขณะนี้ ซึ่งหนุ่มมิกกี้ขยายความมุมมองความรักของตนว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องอายุ หรือช่วงเวลาที่คบหากัน เพราะเชื่อว่าสุดท้ายแล้ว 'เวลา' จะพาคนที่ใช่เข้ามาในชีวิต

“ผมว่าตราบใดที่ผู้ชาย ผู้หญิง ให้เกียรติกัน ยกย่องกัน เคารพกัน อายุไม่เกี่ยว ถ้าผมคบคนเด็กกว่าผม 10 ปี แต่เขาไม่ให้เกียรติผม ไม่ยกย่องผม ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้อยู่ดี ซึ่งตอนนี้ผมคบคนที่อายุมากกว่า แต่ยกย่อง ทำตัวไม่มีอีโก้ ไม่ได้มองว่าผมเด็กกว่า เราก็อยู่ด้วยกันได้

 
ซึ่งสิ่งแรกที่ทำให้ผมตกหลุมรัก น่าจะเป็นเรื่องการออกกำลังกาย เธอเป็นคนที่เหนื่อยแต่ไม่บ่น บ่นได้แต่ทำ ไม่งอแง ผมว่ามีเสน่ห์นะ อย่างผู้ชายมีเสน่ห์ที่การขยับตัว ผมก็เหมือนกัน เวลาเห็นผู้หญิงที่ขยับตัวเก่งๆ นี่แหละมีเสน่ห์ ที่สำคัญผมชอบผู้หญิงใจกว้าง ชอบช่วยเหลือคนอื่น และรักครอบครัว

ส่วนสิ่งที่ทำให้เธอตกหลุมรักผม ผมคิดว่าเพราะความตรง ความจริงใจ ความเสมอต้น-เสมอปลาย ผมพูดตรงๆ เลยว่าหลายๆ คนที่มีชื่อเสียงอาจคบกับคนที่มีชื่อเสียงด้วยกัน แต่ผมไม่เคยมองว่าเราคบกันเพราะหน้าตาชื่อเสียงเลย ผมว่าเรื่องนั้นมันกินไม่ได้”

ด้วยความที่เป็นคนมีเป้าหมายในชีวิตมาตั้งแต่ยังเด็ก ความตั้งใจในการสร้างครอบครัวก่อนอายุ 30 ปี จึงเป็นสิ่งที่เขาวางแพลนไว้แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าการตัดสินใจในครั้งนี้เกิดขึ้นจากความพร้อมที่อยากใช้ชีวิตคู่กับแฟนสาวอย่างสมบูรณ์แบบ

“มุมมองความรักของผมเปลี่ยนไปจากตอนเราเด็กๆ นะ ผมเป็นคนคิดเร็ว ทำเร็ว ตัดสินใจเร็ว จนรู้สึกว่าบางทีควรคิดกับมันให้มากกว่านั้น แต่อย่างที่บอกเป็นคนที่ตั้งเป้าหมายในชีวิตเอาไว้อยู่แล้วว่าเราอยากทำอะไร หรืออยากได้อะไร ถ้าคนที่เข้ามา เขาไม่ได้มีความคิดอยากทำร่วมกับเรา ก็อย่าไปเสียเวลา

เราอาจเสียเวลาได้นิดหน่อย เพื่อดูว่าเขาจะเปลี่ยนความคิดไหม ถ้าไม่เปลี่ยน ก็อย่าเสียเวลา ผมเป็นคนค่อนข้างเด็ดขาดนะ แต่ก็มีความยืดหยุ่น มีความพอเหมาะพอเจาะว่าแค่ไหน ผมคิดว่าเวลาจะทำให้คนที่ใช่เข้ามาเอง ถ้าเวลาเหมาะสม ความพร้อมในหลายๆ อย่าง ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่ต้องพร้อมในทุกๆ เรื่อง

 
จริงๆ ผมมีไอเดียอยู่แล้วว่าก่อนอายุ 30 ผมอยากแต่งงาน มีครอบครัว มีลูก ผมวางไว้แล้ว อีกอย่างที่ผมรู้สึกเลยคือคุณพ่อ-แม่ เขาสอนเราไม่หมด แต่พอโตขึ้นเขาเริ่มสอนเรามากขึ้นเรื่อยๆ ในเรื่องของความรัก เขาจะไม่สอนแต่เด็ก พอผมโตขึ้น เขาจะสอนให้รู้จักความรักมากขึ้น ต้องดูดีๆ นะ แต่เขาไม่เคยห้ามอะไรผมหรอก เขาแค่เป็นห่วง

หลักๆ ที่คุณพ่อ-แม่ให้คำแนะนำผมเรื่องความรัก คือ คนที่จะมาเป็นภรรยาเรา ค่อนข้างต้องเป็น 'มงกุฎ' ให้เรา ไม่ว่าเราจะไปไหน มงกุฎในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าต้องมีชื่อเสียง มีหน้าตาสวย หรือต้องรวย มงกุฎคือคนที่มีนิสัยที่ดี อ่อนน้อมถ่อมตน และมีบุคลิกที่ดี”

นอกเหนือไปจากนิสัยการรักครอบครัว การเป็นคนใจกว้าง และชอบช่วยเหลือคนอื่น ที่ทำให้หนุ่มมิกกี้ตกหลุมรักสาวเจนี่แล้ว มิกกี้ยังบอกอีกว่าสิ่งสำคัญที่สุดในความสัมพันธ์แบบคู่รัก คือ การยกย่องให้เกียรติซึ่งกันและกัน

“สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคู่รักที่ควรมี ไม่ใช่อายุ ชื่อเสียง การงาน หรือพื้นฐานครอบครัว แต่เป็นการให้เกียรติ การยกย่อง และความไม่มีอีโก้ใส่กัน 3 สิ่งนี้ผมว่าสำคัญที่ทำให้คนสองคนอยู่ด้วยกันได้ ไม่ใช่แค่ในฐานะคู่รัก แต่รวมไปถึงความสัมพันธ์ในสถานะอื่นๆ ด้วยเช่นกัน”

ผู้ชายออกกำลังกาย = เซ็กซี่ มีเสน่ห์

“แรงบันดาลใจการฟิตหุ่นของผมมาจาก 'คริสเตียโน โรนัลโด' ผมเห็นเขาเล่นฟุตบอลแล้วหุ่นดี ผมก็อยากเป็นแบบนั้น นั่นคือแรงบันดาลใจแรกๆ เลย (ยิ้ม)”

คงไม่แปลกนักหากแรงบันดาลใจในการฟิตหุ่นของใครหลายคน คือ นักฟุตบอลระดับโลก! ซึ่งนอกจากอยากมีหุ่นดี-กล้ามแน่น เหมือนนักฟุตบอลใจดวงใจแล้ว เจ้าตัวยังบอกอีกว่ามีความสนใจอยากเป็นนักฟุตบอลตั้งแต่เด็ก ทั้งยังเล่นกีฬาได้มากมายหลายชนิด

“เมื่อก่อนผมอยากเป็นนักฟุตบอล ผมอยู่ที่อเมริกาตั้งแต่อายุ 12 ปี ต่อมาผมได้เป็นนักเทนนิส แต่ว่าไปไม่ถึงฝัน ผมก็เลยอยากเรียนต่อด้านกีฬา เลยเลือกเรียนด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา ที่มหาวิทยาลัย Oregon ส่วนเหตุผลที่ว่าคุณพ่อชอบเล่นกีฬา ผมว่าเกี่ยวนะครับ ด้วยความที่เราคลุกคลีมาตั้งแต่เด็ก

แต่คุณพ่อไม่ได้บังคับ ไม่ได้บอกว่าเพราะพ่อเล่นกีฬา ลูกจึงต้องเล่นกีฬา แต่ผมว่ามันอยู่ในสายเลือดและสัญชาตญาณมากกว่า ซึ่งกีฬาอย่างแรกที่หัดเล่น คือ ว่ายน้ำ ผมเคยขี่จักรยานตกน้ำ คุณตาก็เลยให้เรียนว่ายน้ำ หลังจากนั้นก็มีกีฬาฟุตบอล และกีฬาเทนนิสด้วย ต้องยอมรับว่าคุณพ่อเล่นกีฬาเยอะ เราก็เล่นกับท่านหลายอย่าง


 
ที่ผมสนใจเรียนวิทยาศาสตร์การกีฬา เพราะอยากนำมาใช้กับตัวเอง ไม่ได้คิดว่าอยากจะนำมาใช้สอนคนอื่น การเริ่มสนใจสาขาวิชานี้เกิดขึ้นมาจากความชอบของผม แต่ที่เริ่มเป็นเทรนเนอร์หรือโค้ช ผมว่าเพราะการทำงานมันบังคับ ผมเรียนจบทางด้านการสอน ก็ต้องสอน

ด้วยความที่เราปั้นตัวเองเป็นนักกีฬาไม่ได้ เราก็ต้องปั้นคนอื่นแทนด้วยการสอนคนอื่น ผมชอบสอนกลุ่มคนที่เป็นนักกีฬา ผมเข้าใจนะว่าการเป็นเทรนเนอร์ คือ ต้องผลักดันลูกค้า แต่สำหรับผม ผมว่าการผลักดันกับลากจูงไม่เหมือนกัน

แน่นอนว่าระหว่างการฝึกซ้อมการออกกำลังกายด้วยตัวเองและการสอนผู้อื่น ต้องมีความต่าง ซึ่งเขายอมรับกับเราเลยว่ามีความยากและความท้าทายอยู่พอสมควร

“ยากต่างกันนะครับ มันพิสูจน์อะไรให้เห็นได้หลายๆ อย่าง การที่เราทำกับตัวเองมันอีกอย่างหนึ่ง แต่การที่เราไปสอนคนอื่นมันอีกแบบหนึ่ง คนที่ฟิตหุ่นตัวเองดี ไม่ได้แปลว่าจะไปสอนคนอื่นได้ ยิ่งเราไม่รู้หลักการในการสอนคนอื่น มันก็อาจจะใช้ไม่ได้ซะทีเดียว

ข้อดีของการเป็นเทรนเนอร์ คือ เรามีความตั้งใจที่จะสอนหรือเปลี่ยนแปลงคนอื่นให้ดีขึ้น แต่เราก็ต้องรู้ตัวเอง และระวังตัวเองในเรื่องของการสอน-การใช้อาชีพนี้ เพราะถ้ามัวแต่มองเรื่องเงิน มันก็ไม่ใช่ เราเล่นกับชีวิตหรือร่างกายคนอื่นไม่ได้

อย่างผม ผมรู้ว่าเราไม่ใช่กายภาพ เราสอนออกกำลังกายหรือฟิตหุ่น ไม่ได้แปลว่าเราจะมานวดให้ ต้องมีลิมิต ซึ่งลิมิตของผมคือ Strenght & Conditioning Coach การทำให้แข็งแรงขึ้น ผมไม่ได้เชี่ยวชาญทางด้านเพาะกาย หลักๆ เน้นเรื่องสมรรถภาพในการขยับตัว แต่ลูกค้าส่วนมากอยากลดไขมัน เพิ่มกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เรารู้กันอยู่แล้ว”

สำหรับเทคนิคการฟิตหุ่นของหนุ่มมิกกี้กว่าจะมีรูปร่างที่สวยงามแข็งแรงแบบนี้ เขาเล่าว่าก่อนหน้าที่มีการฝึกซ้อมที่หนักหน่วงอยู่เหมือนกัน ทั้งยังมีการชั่งตวงอาหารที่กินแต่ละมื้อ ซึ่งภายหลังค้นพบว่าเป็นวิธีที่เข้มงวดจนเกินไป จึงปรับให้เหมาะสมและนำสิ่งที่ศึกษาเฉพาะทางในระดับปริญญาโทมาปรับใช้ให้เกิดความสมดุล

 
“เมื่อก่อนตอนเด็กๆ ผมเป็นคนมีเนื้อ และเป็นคนมีไขมัน เป็นคนผอมที่อ้วนปกติ แต่พอมาเริ่มออกกำลังกายเยอะขึ้น มันก็เข้ารูปเข้ารอยมากขึ้น จึงเริ่มมีรูปร่างที่ดีพอประมาณ

แรงบันดาลใจการฟิตหุ่นของผมมาจาก โรนัลโด ผมเห็นเขาเล่นบอลแล้วหุ่นดี ผมก็อยากเป็นแบบนั้น นั่นคือแรงบันดาลใจแรกๆ เลย แต่มาเห็นพัฒนาการชัดเจนหลังจากที่เล่นมาได้แล้ว 6 เดือน - 1 ปี ผมผอมลงมีกล้าม แต่ไม่แข็งแรง ดูดีแต่ภายนอก ซึ่งข้างในกลวง

ผมรู้สึกว่าเราต้องปรับ ซึ่งตอนนั้นผมเริ่มเรียนปริญญาโท ด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา ในมหา'ลัย Edith Cowan ที่ออสเตรเลียพอดี จึงเริ่มในเรื่องของสมรรถภาพ ถามว่าฝึกหนักไหม เรียกว่าฝึกฉลาดดีกว่า

ต้องมีความยืดหยุ่น ด้วยความที่เราเรียนมา เราต้องวางโปรแกรมเอาไว้ระยะยาว ส่วนเรื่องอาหารเคยจดชั่งตวงทำอาหารกินเองมาตลอด แต่หลังๆ รู้สึกว่ามันเข้มงวดเกินไป จึงค่อยๆ หย่อน”

เห็นหุ่นดีกล้ามแน่นขนาดนี้ เรียกได้ว่าถือเป็นบอดี้ในแบบที่ใครหลายคนใฝ่ฝัน เราจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าส่วนไหนในร่างกายที่ทำให้เขารู้สึกว่าเป็นส่วนที่เซ็กซี่ที่สุด รวมถึงจากการที่คนรอบข้างแอบกระซิบบอกมา

“ส่วนที่เซ็กซี่ที่สุดเหรอ (หยุดคิด) ผมว่าน่าจะเป็นหัวไหล่ มีหลายๆ คนฟีดแบ็กมาบอกนะว่าเขาอยากได้หัวไหล่แบบนี้ ซึ่งจริงๆ ผมเป็นคนตัวเล็ก เป็นผู้ชายไซส์เอส แต่ด้วยความที่เราเล่นออกกำลังกายค่อนข้างครบทุกส่วน ก็ทำให้หลายๆ ส่วนมันสมดุลกัน ผมชอบมากที่สุดในร่างกายนะครับ

เสน่ห์ของผู้ชายที่ออกกำลังกาย คือ คอมมอนเซนส์ในการขยับตัวหรือในเรื่องของมูฟเมนท์ ต้องรู้ว่าร่างกายเราอยู่ตรงไหน แขน ขา ไปทางไหน หรือเรื่องของประสาทสัมผัส ผมว่ามันมีเสน่ห์ ซึ่งสำหรับผม การมีกล้ามไม่ได้ดูมีเสน่ห์ ถ้าไม่มีกล้ามเลย แต่ขยับตัวดีมากเลย ผมว่าตรงนี้มีเสน่ห์”

พูดตรง - เสมอต้นเสมอปลาย - รักสงบ

แน่นอนว่าสำหรับผู้ชายที่ชื่อ มิกกี้ ภาพตัวตนที่บ่งบอกชัดเจนที่สุดเห็นจะเป็นเส้นทางในอาชีพนายแบบ ไม่ก็นักออกกำลังกาย แถมยังมีคำจำกัดความที่สังคมยัดเยียดมาให้อีกด้วยว่า เขาคือ 'ไฮโซ'

ครั้งนี้เราจึงไม่พลาดที่จะถามถึงตัวตนที่แท้จริงของผู้ชายที่ฮอตที่สุดในตอนนี้ว่า ระหว่าง นายแบบ-นักออกกำลังกาย-ไฮโซ ตัวตนแบบไหนที่เหมาะกับเขามากที่สุด

“ผมว่านักออกกำลังกายน่าจะเหมาะสมกับผมที่สุดนะ เพราะระหว่างงานนายแบบกับโค้ชสอนออกกำลังกาย ผมไปทางออกกำลังกายมากกว่า แต่หลายคนที่คิดว่าผมเป็นไฮโซ ผมก็อยากถามกลับเหมือนกันนะว่า คำว่า 'ไฮโซ' ความหมายมันคืออะไร

อย่างการที่ดาราคบกับไฮโซ ผมว่าไฮโซคือคนที่มีตังค์แค่นั้นเองเหรอ แค่นามสกุล มันไม่ได้ทำให้ใครเป็นไฮโซ หรือการมองคนมีตังค์ว่าไฮโซ แต่ทำตัวถ่อยมาก ยังสมควรจะเรียกว่าไฮโซไหม มันก็ไม่ใช่ ซึ่งความเป็นผม ผมว่าเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างตรง เสมอต้น-เสมอปลาย เคยเป็นคนแบบไหนก็เป็นแบบนั้น”

ด้วยความที่มีลักษณะนิสัยเป็นคนตรงไปตรงมา เขายอมรับกับเราว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะการได้ใช้ชีวิตที่ต่างแดนตั้งแต่ยังเด็ก อีกทั้งยังได้เรียนรู้วัฒนธรรมจากที่นั่นและนำมาปรับใช้กับตัวเองด้วย

 
“การเป็นคนพูดตรงๆ เกี่ยวข้องกับการที่เคยไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองนอกเหมือนกันนะ ผมว่าเกี่ยวมาก ซึ่งดีนะ การที่ไปอยู่ที่นั่น เราอยู่กับคนต่างชาติเยอะ ผมไม่สุงสิงกับคนไทยเลย น้อยมาก ตรงนี้ทำให้เราอยู่ในสังคมที่มีอะไรก็พูด ไม่ต้องมาเสแสร้ง ไม่ห่วงภาพลักษณ์ ไม่จำเป็นต้องใช้แบรนด์เนม แล้วถึงจะมีคนรัก คนสนใจ สิ่งนี้ไม่จำเป็นเลย

คุณขับรถดี คุณได้จอดก่อน มันไม่เกี่ยว นั่นคือที่ต่างประเทศ ซึ่งเราอยู่ที่นั่นตั้งแต่อายุ 12 - 23 ปี เราเป็นแบบนั้น เรากลับไทยแต่ละครั้ง ไม่เคยสนใจว่าต้องคอยตามเทรนด์ใครเลย ผมได้เรียนรู้จากที่นั่นมา ซึ่งในเมืองไทยก็มีข้อดีที่ต่างกัน

อีกอย่างผมว่าของแพงๆ สำหรับเด็ก มันไม่จำเป็น เพราะเราไม่ได้หาเงินได้ขนาดนั้น การใช้ของแพง มันน่าภูมิใจที่ไหน เหมือนยืมของคนอื่นมาแล้วไปโอ้อวด ผมไม่ใช่คนติดหรูนะ แต่ถ้ามีของที่อยากได้จริงๆ ก็ต้องซื้อ แต่ส่วนมากผมจะไม่ค่อยใช้แบรนด์เนม แต่มักจะหมดไปกับของกีฬามากกว่า

ผมว่าการอยู่ที่นั่น มันทำให้ผมมีความคิดที่โตกว่าวัยด้วยนะ อย่างแรกเราต้องช่วยเหลือตัวเอง อย่างที่สอง คือ เราต้องคิดเอง และอย่างสุดท้ายเราต้องนึกถึงคนที่บ้านว่า เขาให้เราไปเรียน เราจะทำอะไรต้องดูความคุ้มค่า ผมไปที่นั่นจะให้ไปเสพยา-ค้ายาก็ไม่ใช่ เราไม่ได้มีตังค์ไปผลาญขนาดนั้น”

สิ่งหนึ่งที่เราสัมผัสได้ตลอดบทสนทนาคือความเป็นคนเป็นคนพูดตรง ไม่เสแสร้ง แถมยังเป็นผู้ชายที่มีทัศนคติการใช้ชีวิตที่ดีคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาเจ้าตัวเผยว่า สิ่งที่ทำให้เป็นเขาได้ในทุกวันนี้ ล้วนมาจากการหล่อหลอมและปลูกฝังของครอบครัวทั้งสิ้น

 
“ผมก็มองโลกในแง่บวกนะ แต่ก็ชอบคิดในแง่แย่เอาไว้ก่อน เพราะถ้ามันบวก มันก็จะยิ่งบวกๆ เข้าไปอีก ผมชอบคิดด้านแย่ไว้ก่อนว่ามันจะเป็นยังไง เพื่อที่จะได้รับมือกับมันถูก ทั้งหมดทั้งมวลที่เป็นอยู่ ไม่ใช่เพราะตัวผม แต่เพราะคนรอบข้างและครอบครัวที่ทำให้เราเป็นเราทุกวันนี้

ถ้าคาดหวังเอาไว้แล้วผิดหวัง ส่วนมากก็จะมีสติ อย่างที่คุณพ่อ-แม่-ตา-ยาย สอนเสมอ คือ ให้มีสติ เพื่อมาตั้งหลักใหม่ว่าเราจะทำยังไงต่อไป เช่น ผมออกมาเป็นฟรีแลนซ์ คิดว่าลูกค้าต้องเยอะ แต่ดันไม่เยอะ เราจะทำยังไง เราต้องไม่กังวล เพราะมันไม่ช่วยอะไร สู้เอาเวลาที่กระวนกระวายมาย้อนคิด และตั้งหลักใหม่ดีกว่า สติมาปัญญาเกิดนะ

เวลาที่มีความเครียด ผมจะไม่ค่อยแสดงให้ใครเห็น คนรอบตัวจะรู้ แต่ผมจะไม่อยากไปรบกวนคนอื่น ไม่อยากให้คนรอบข้างต้องมาเครียดตามเพราะเรากำลังเครียด คนที่อยู่กับเราเขาจะรู้สึกอึดอัด ผมเลยต้องทำตัวเองให้มีความสุขก่อน พอเราสบายใจมีความสุข คนอื่นๆ ก็อยากเข้ามา

ทุกวันนี้ผมก็รู้สึกดีใจนะที่เราก้าวหน้ามาได้ตลอด เริ่มจากการทำงานประจำ ก้าวมาเป็นฟรีแลนซ์ จนมาถึงมีที่ประจำของตัวเอง ผมก้าวไปข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นข้างหน้าของการบริหารเวลาชีวิต หรือข้างหน้าของการหาเงินมากขึ้นเรื่อยๆ เราจะไปข้างหน้าต่อเสมอ”

“ใจเย็น” เหมือนแม่ “ใจดี” เหมือนพ่อ

“ผมรักครอบครัวมากนะ เพราะเราไม่ได้เจอกันบ่อย แต่สิ่งที่ทำให้เราสนิทกันมากกว่าคนที่เจอกันบ่อย น่าจะเป็นเรื่องของการพูดคุย ความอ่อนน้อม การให้เกียรติ การรู้ว่าใครคือใคร ความคิดได้ว่า พ่อ-แม่ คือผู้มีพระคุณ จึงทำให้เราสนิทกับเขา อยากอยู่กับเขา”

ภาพความทรงจำวัยเด็กระหว่างครอบครัวถูกฉายขึ้นมาอีกครั้ง หลังจบประโยคคำถามเรื่องความรัก-ความผูกพันของครอบครัว 'ณ ป้อมเพชร' แม้ว่าจะเติบโตและอยู่ไกลบ้านตั้งแต่อายุ 12 ปี แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาไม่รู้สึกห่างเหินจากครอบครัวเลย นั่นคือ ความรักและความเข้าใจที่มีให้กันอยู่เสมอ

“จริงๆ ผมอยู่อเมริกาตั้งแต่เด็ก ผมไม่รู้สึกน้อยใจ ห่างเหินเลยนะ สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าครอบครัวไม่ได้ห่างหายไปไหน คงเป็นการพูดคุยกันในทุกวันตลอดเวลา ผมคุยค่อนข้างทุกเรื่องนะ ในเรื่องที่พ่อ-แม่ควรจะรู้ ผมว่าครอบครัวของผม พ่อ-แม่จะเข้าหาลูกมากกว่า เขามีวิธีเข้าหาเรา เราก็จะเจอกันตรงกลางได้

ผมว่าผมใจเย็นเหมือนแม่ ใจดีเหมือนพ่อ ผมว่าการที่พ่อ-แม่อยู่ด้วยกันมาได้ตั้งหลายปี สังเกตดูเพราะว่าคนหนึ่งร้อน คนหนึ่งเย็นเลยทำให้ลงตัวพอดี ถ้าร้อนอยู่กับร้อนก็ยิ่งร้อน อยู่ด้วยกันไม่ได้ ซึ่งคุณแม่เป็นคนใจเย็น คุณพ่อเป็นคนใจร้อน คุณแม่เป็นคนนิ่งๆ แต่คุณพ่อเป็นคนแอคทีฟอยู่ตลอดเวลา ก็อยู่ด้วยกันได้
ปริญญาโท มหาวิทยาลัย Edith Cowan

 
ส่วนตัวผมเองเลือกสิ่งดีๆ ของทั้งสองคนมา ผมว่าเราทุกคนมีสิ่งที่ดีและไม่ดี คุณพ่อเองก็มีส่วนที่อารมณ์ร้อน เราก็ไม่เอามา ส่วนคุณแม่นิ่งเกิน เราก็พยายามไม่เอามา มันก็เหมือนกับการอยู่ที่อเมริกากับการอยู่ที่ไทย ผมดึงสิ่งดีๆ ที่อยู่อเมริกามา และดึงวัฒนธรรมดีๆ ที่อยู่เมืองไทยมาใช้”

สำหรับบุคคลตัวอย่างที่หนุ่มมิกกี้ยึดเป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต นั่นคือ คุณพ่อ ที่สอนให้เขาเป็นสุภาพบุรุษและให้เกียรติคนอื่นอยู่เสมอ ที่สำคัญการเป็นคนเสมอต้น-เสมอปลาย คือภาพตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด

“คำสอนหลักๆ น่าจะเป็นคำสอนที่ว่าให้เป็นสุภาพบุรุษและให้เกียรติคนอื่น คุณพ่อเป็นเหมือนไอดอลของผมนะ ที่ชัดเจนคือนิสัยเรื่องความเป็นคนตรงๆ พูดตรงๆ การวางตัว การดูว่าใครมีพระคุณกับเรา และการเป็นสุภาพบุรุษที่ต้องให้เกียรติผู้หญิง

อย่างคุณพ่อผม เมื่อก่อนเป็นคนแบบไหนตอนนี้ก็เป็นเหมือนเดิม จากที่คุณพ่อทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟร้านอาหารหาเงิน ซื้อนมให้เรา จนตอนนี้ก็มีประมาณหนึ่ง เขาก็ทำตัวเหมือนเดิม ไม่ได้อู้ฟู่ ไม่ได้เกินตัว

ซึ่งสำหรับผมแล้ว ผมรักครอบครัวนะ มีบางช่วงที่รู้สึกว่าเราน่าจะรักครอบครัวได้มากกว่านี้ เช่น ก่อนที่คุณตาเสีย คุณตาอยากกินนั่น กินนี่ ก็มาคิดว่าเราน่าจะหาอะไรดีๆ ให้คุณตาได้มากกว่านี้ แต่พอตอนนี้คุณตาเสียแล้ว ผมมองย้อนกลับไปก็ทำให้คิดได้ว่า ถ้าที่บ้านต้องการอะไร ผมก็จะให้ให้หมด

อีกอย่างที่ผมคิดตอนนี้ คือ สิ่งที่คุณพ่อ-แม่ให้เรามา เราอยากจะคืนเขาให้หมด เพราะเราเกรงใจเขา เขาลำบากเพราะเรามาทั้งชีวิต เราก็อยากให้เขาสบายเพราะเราด้วยเหมือนกัน”

เรื่องโดย พิมพรรณ มีชัยศรี
ภาพจาก IG : @mickey.a.np


กำลังโหลดความคิดเห็น