“แคปเฌอ-BNK48” กัปตันวงดังแห่งยุค ขอพูดตรงๆ ผ่านมุมมอง “นักวิจัยรุ่นใหม่” ผู้เคยมีผลงานตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์ระดับโลกมาแล้ว ชี้ชัดคนไทยยังรู้จักและให้ค่า “นักวิจัย” น้อยเกินไป เหตุเพราะระบบการเรียนการสอนและความไม่เข้าใจ แนะให้ผู้ใหญ่หาวิธีกระตุ้นความสนใจและให้ทุน เพื่อพาประเทศไทยไปสู่ยุค 4.0 ด้วยนวัตกรรมสัญชาติไทย ยุคแห่งอำนาจทางเทคโนโลยีที่สร้างสรรค์และยั่งยืน
ทลายหิ้ง “งานวิจัย” ผ่านมุมมอง “นักทดลองยุคใหม่”
[ได้รับเชิญมาให้พูดบรรยายในหัวข้อ “คนรุ่นใหม่กับงานวิจัย”]
“เฌอมองว่างานวิจัยอะไรก็ตาม มันจะลงมาจากบนหิ้งได้ ก็ต่อเมื่อเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนกับมันก่อน ซึ่งหนูคิดว่ามันตอบโจทย์มากๆ ที่ตอนนี้ทางกระทรวงมาร่วมมือกันกับภาคเอกชน จนมีโครงการทุนสนับสนุนงานวิจัยแบบนี้ขึ้นมาว่า เราอยากพัฒนาบางอย่าง เรามีโจทย์ แต่ยังไม่มีคนทำ การมีหน่วยงานกลางเข้ามาจัดหานักวิจัยให้แก่คนที่ต้องการแบบนี้แหละค่ะ ที่จะทำให้เราสามารถทำงานวิจัยที่ไม่ได้อยู่บนหิ้งอีกต่อไป”
เฌอปราง อารีย์กุล หัวหน้าวง “BNK48” คนที่เหล่าโอตะเรียกกันติดปากว่า “แคปเฌอ” ช่วยวิเคราะห์กลยุทธ์การใช้งานวิจัยเพื่อพาประเทศไปสู่ยุค 4.0 เอาไว้อย่างนั้น ผ่านสายตาของ “นักวิจัยยุคใหม่” คนหนึ่ง ซึ่งได้รับเชิญให้มาพูดบรรยายในหัวข้อ “คนรุ่นใหม่กับงานวิจัย” ภายใต้งานประชุมวิชาการ “ทลายหิ้งงานวิจัยด้วยกลยุทธ์นวัตกรรม” งานที่ทางโครงการพัฒนานักวิจัยและงานวิจัยเพื่ออุตสาหกรรม (พวอ.) โดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จัดขึ้นมาเป็นครั้งที่ 4 แล้ว
ในฐานะนักวิจัยที่ได้รับการยอมรับจากโปรเจกต์ “Blue Bottle Experiment” โปรเจกต์ที่เธอเข้าไปเป็นลูกมืออาจารย์ที่มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาลัยนานาชาติ คณะวิทยาศาสตร์ ช่วยสานต่อไอเดียของรุ่นพี่ผ่านงานทดลอง โดยรับหน้าที่รวบรวมและเรียบเรียงข้อมูลโมเลกุล จนผลงานถูกนำไปตีพิมพ์ในวารสารด้านวิทยาศาสตร์ของประเทศอังกฤษที่ชื่อ “Royal Society Open Science” ทั้งยังเคยเดินทางไปเป็นตัวแทนนักสื่อสารด้านวิทยาศาสตร์ ผ่านโครงการ “Famelab” ในต่างแดนมาแล้ว
ไอดอลสาวรายนี้มองเห็นว่า อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้งานวิจัยส่วนหนึ่งยังคงอยู่บนหิ้ง เป็นเพราะคนส่วนใหญ่มองเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องจับต้องแทบไม่ได้ ไม่ต่างจากตัวเธอเองในวันวานที่เคยแบบนี้เช่นเดียวกัน
“เฌอเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นที่ไม่รู้ว่ามีอาชีพ “นักวิจัย” ตรงนี้อยู่จริงๆ แต่มารู้ทีหลังเพราะเฌอได้ทำการทดลอง ด้วยความที่โรงเรียนเฌอเป็นโรงเรียนทางเลือก ที่จะเน้นให้เราลงมือทำเป็นหลัก ทำให้เฌอได้ลงมือทำโครงงานบำบัดน้ำเสียในโรงเรียน, ผลิตเอทานอลจากใบไม้ แต่มันก็ไม่เคยสำเร็จนะคะ เราแค่คาดคาว่าเราจะทำได้เฉยๆ (ยิ้ม) แต่อย่างน้อยเฌอก็ได้เรียนรู้อะไรจากตรงนั้นเยอะมาก
[พิธีเปิดงานประชุมวิชาการ “ทลายหิ้งงานวิจัยด้วยกลยุทธ์นวัตกรรม”]
และจริงๆ แล้ว ที่เฌอมาสายนี้ได้ เฌอว่าเป็นเพราะเฌอได้ตัดสินใจลงมือทำค่ะ ได้ลอง-ได้เล่นกับมันจริงๆ แต่ถ้าเทียบกันแล้ว น่าจะมีน้องๆ หลายคนที่ปัจจุบันเรียนวิทยาศาสตร์ผ่านการเลกเชอร์-ผ่านการอ่านตำราอย่างเดียว ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ทุกคนมีโอกาสได้ลองทำการทดลองกันดูค่ะ แล้วจะรู้สึกว่ามันสนุกมากเลย
แต่ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ยังมองคำว่า “นักวิจัย” เป็นเรื่องไกลตัวมากเลยค่ะ ถ้าเทียบกับที่ญี่ปุ่นแล้ว ระบบการเรียนของเขาจะแบ่งออกไปชัดเจนเลยสำหรับคนที่สนใจด้านนี้โดยตรง และเด็กส่วนใหญ่จะเริ่มรู้ตัวกันตั้งแต่ช่วงมัธยมเลย ด้วยความที่เขาได้ลองทำค่อนข้างเยอะ รวมถึงประเทศเขาค่อนข้างสนับสนุนเองนี้มาก เพราะมองว่างานวิจัยคือปัจจัยสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง ทำให้มีความก้าวหน้าหรืออำนาจบางอย่างที่จะใช้ในการต่อรองกับคนอื่นได้
และถ้าเป็นไปได้ เฌอก็อยากจะใช้ชื่อเสียงจากวงการบันเทิงตรงนี้ เป็นส่วนนึงที่ช่วยกระตุ้นความสนใจให้แก่คนทั่วไป ให้เขาได้ตื่นตัวกับงานวิทยาศาสตร์ว่าเป็นสิ่งที่ช่วยพัฒนาเทคโนโลยีของบ้านเรา ที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุค 4.0 ซึ่งก็คือยุคแห่งการคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมขึ้นมาเป็นของตัวเอง และถ้ายิ่งเราสามารถสร้างผู้คนจะมาทำหน้าที่ตรงนี้ได้มากขึ้นเท่าไหร่ ประเทศเราก็จะยิ่งมีโอกาสสร้างนวัตกรรมเป็นของตัวเองได้มากขึ้นเท่านั้นค่ะ”
ให้โอกาส-ให้ทุน-สร้างคน หนุนประเทศสร้างนวัตกรรม
[รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มองของที่ระลึกให้แก่ตัวแทนคนรุ่นใหม่]
ยอมรับตามตรงว่า งานวิจัยอีกตัวหนึ่งที่ศิลปินสาวผู้มีใจรักสายวิทยาศาสตร์รายนี้ กำลังทำเป็นโปรเจกต์จบในฐานะนักศึกษาชั้นปีที่ 4 ประจำคณะวิทยาศาสตร์ ถือได้เป็นว่ายังคงเป็น “งานวิจัยที่อยู่บนหิ้ง” อยู่เช่นกัน เพราะโปรเจกต์การโปรแกรมมิ่งผ่านคอมพิวเตอร์ (Computational Chemistry) ของเธอตัวนั้น ยังไม่ได้ถูกนำไปประยุกต์และผลิตออกมาให้เป็นนวัตกรรมเสียทีเดียว
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สาวน้อยวัย 20 ต้นๆ คนนี้ก็ยังคงหวังไว้เสมอว่า วันหนึ่งระบบที่เธอพยายามทดลองอยู่จะสามารถนำไปใช้ต่อยอดในศาสตร์อื่นๆ และทำประโยชน์ให้กับสังคมได้จริง
[โฉมหน้า นักวิจัยทั้ง 7 เจ้าของโครงการเด็ดที่สุดภายในงาน]
“ปัจจุบันเฌอก็นับงานวิจัยของตัวเองว่า ยังเป็นงานวิจัยที่อยู่บนหิ้งนะคะ เพราะเราไม่ได้มีการตั้งโจทย์ให้ชัดเจนตั้งแต่แรกว่า เราจะเอามันไปใช้ในเชิงอุตสาหกรรม หรือในการตอบโจทย์เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น แต่ถ้านักวิจัยคนไหนมีโจทย์ที่ชัดเจนตั้งไว้ตั้งแต่แรก และทดลองเพื่อจะตอบโจทย์เหล่านั้น เหมือนอย่างหลายๆ โครงการวิจัยในงานนี้ ก็จะช่วยให้งานวิจัยไม่ได้อยู่บนหิ้งอีกต่อไปได้ค่ะ
ความสนุกของการวิจัยก็คือ เราสามารถต่อยอดมันได้ตลอดเวลา และเฌอก็มองว่าวิธีแบบนี้น่าจะตอบโจทย์อะไรหลายๆ อย่าง อย่างงานวิจัยในวันนี้ที่นักวิจัยทำขึ้นมา หลายๆ โครงการก็มาจากฟากอุตสาหกรรมช่วยคิดหัวข้อ และร่วมมอบทุนให้นักวิจัยด้วย ซึ่งเฌอมองว่ามันช่วยให้นักวิจัยได้ทำอะไรที่มีประโยชน์กับคนอื่นอย่างชัดเจน แม้ว่าจะต่ออุตสาหกรรมหรือชุมชนเล็กๆ ก็ตาม
และจริงๆ แล้วคำว่า “งานวิจัย” เฌอมองว่ามันไม่ได้จำกัดอยู่แค่อาชีพนักวิจัย ไม่ว่าคุณจะเป็นแพทย์, วิศวกร หรืออาชีพอะไรก็ตาม อย่างการที่เฌอเข้ามาเป็น BNK48 ได้ เป็นเพราะเฌอสงสัยว่าไอดอลของเฌอเขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง มันเลยกลายมาเป็นการทำวิจัยอย่างนึงในชีวิตเฌอด้วยซ้ำ
คือการเอาตัวเองมาทดลองการทำงานตรงนี้ ได้เรียนรู้กับมัน ทำให้เต็มที่ที่สุด เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากมัน คิดวิเคราะห์เชื่อมโยงว่าอะไรทำให้เกิดสิ่งต่างๆ ทำไมเขาเป็นแรงบันดาลใจให้เราได้ เพราะเขามี passion ในสิ่งที่เขารัก และเฌอก็คิดว่าทุกอย่างมันจะดำเนินไปได้ ถ้าเราเต็มที่กับมัน ไม่ว่าสาขาอาชีพอะไรก็ตาม เราก็จะสามารถสร้างประโยชน์ให้แก่ตัวเองและคนอื่นได้ไม่มากก็น้อย
เฌอมองว่าเราทุกคนสามารถพัฒนาบางอย่าง เป็นนัก developer ได้ตลอดเวลาเหมือนกัน เพียงแค่ให้ความสนใจกับมัน แล้วก็มาคุยกันดูว่าอยากพัฒนาอะไร ซึ่งตอนนี้ทางทุน สกว.ก็มีให้โอกาสกับทุกคนในทุกสาขาอาชีพเลยค่ะ ซึ่งเฌอมองว่ามันเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก ก็อยากให้มาลองกันดูค่ะ”
กลยุทธ์ “วิทย์สร้างคน” ดันเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยี
“หยิบงานวิจัยไปสอดแทรกในกระบวนการพัฒนา เพื่อสร้างนวัตกรรม เสริมขีดความสามารถด้านอุตสาหกรรมของประเทศ” คือกลยุทธ์ในการมุ่งไปสู่ความเป็น “ไทยแลนด์ 4.0” ผ่านมุมมองของ ศ.นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ผู้ดูแลทุนเพื่อการวิจัยกว่า 1,300 ทุน ที่แจกให้แก่นักศึกษาปริญญาโทและเอก ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา
“ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ได้ใช้งบประมาณของรัฐบาลไปแล้ว 1,140 ล้านบาท และเป็นทุนสมทบจากภาคอุตสาหกรรมและมหาวิทยาลัย 150 รางวัล โดยมีผู้ประกอบการเข้ามาทำงานร่วมกับเราทั้งสิ้น 1,070 แห่ง ทั้งยังมีผู้ประกอบการใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างน้อยปีละ 110 สถานประกอบการ และขณะนี้มีบัณฑิตที่จบในโครงการนี้ไปแล้วประมาณ 330 ราย ซึ่งส่วนใหญ่ทำงานกับภาคอุตสาหกรรมอยู่ในขณะนี้ด้วย
โดยกระบวนการทั้งหมดนั้นมาจากฐานกรอบแนวคิด ที่คิดขึ้นมาให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งเน้นความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยส่วนใหญ่แล้ว เราจะมีโจทย์มาจากภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นฝ่ายให้ทุนสนับสนุนร่วม เพื่อแสดงถึงการมีส่วนร่วม และแสดงถึงความเป็นเจ้าของในตัวโครงการ
[ศ.นพ.สุทธิพันธ์ ผอ.สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย]
ถ้ามองในมุมอุตสาหกรรมแล้ว ถือว่ากระบวนการเหล่านี้มีแต่ได้กับได้ คือได้ทุนสนับสนุนการวิจัย จะได้คณาจารย์ที่มาจากมหาวิทยาลัยที่เก่งในสาขานั้น ได้นักศึกษาปริญญาโทที่เก่งๆ เข้าไปช่วยวิจัย ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหา การปรับกระบวนการผลิต ไปจนถึงการยกระดับสินค้าอุตสาหกรรมของท่านให้มีลักษณะใหม่ทางนวัตกรรม ทำให้สามารถไปแข่งขันในตลาดได้
และผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทั้งตัวโครงการและงานประชุมทางวิชาการในครั้งนี้ จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ผ่านตัวงานวิจัย และช่วยให้เกิดการจุดประกาย เกิดการต่อยอด ส่งเสริมให้เกิดการสร้างนวัตกรรม ให้ช่วยในการขับเคลื่อนประเทศไปสู่วิสัยทัศน์ของประเทศต่อไปในอนาคต”
[ดร.นพ.ปฐม รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี]
ไม่ต่างไปจากวิสัยทัศน์จากฟากผู้รับผิดชอบกระทรวงอย่าง ดร.นพ.ปฐม สวรรค์ปัญญาเลิศ รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่ได้พูดถึงประเด็นเรื่อง “นโยบายการสร้างคนด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม” เอาไว้ว่า ถ้าสามารถทำให้แนวคิดดังกล่าวเป็นจริงไปด้วยกันทั้งหมดได้ จะส่งให้เศรษฐกิจของประเทศก้าวไปถึงจุดที่วาดฝันไว้ได้อย่างแน่นอน
“ในขณะที่ประเทศอื่นเขาไปถึงจุด 5.0 กันแล้ว แต่ประเทศเรายังต้องทำให้ไปให้ถึงขีดของคำว่า 4.0 ให้ได้ ซึ่งการจะขับเคลื่อนประเทศให้ไปถึงจุดนั้นได้ จะต้องเริ่มพิจารณากันมาตั้งแต่ฐานความเป็น “1.0” คือด้านการเกษตร, “2.0” คือด้านอุตสาหกรรมเบา ผลิตทดแทนการนำเข้า อาศัยการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและแรงงานราคาถูก, “3.0” คือด้านอุตสาหกรรมหนัก การส่งออก การนำเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
ส่วนการจะไปให้ถึงการเป็น “4.0” ได้นั้น คีย์เวิร์ดก็อยู่ที่คำว่า “นวัตกรรม” ที่จะช่วยขับเคลื่อนไปให้ถึงจุดนั้นได้ ซึ่งเมื่อไหร่ที่มีทั้งอาจารย์ นักศึกษา ก็คาดหวังว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะนำนวัตกรรมมาขับเคลื่อนประเทศของเราให้ไปข้างหน้าได้
และการจะทำให้ “นวัตกรรม” เกิดขึ้นได้ ก็ต้องอาศัย “การวิจัยและการพัฒนา” แต่ทุกวันนี้บุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาในประเทศเรา อยู่ในอัตราส่วน 17 : 10,000 คน ซึ่งถ้าเทียบกับประเทศอื่นอย่างเกาหลีใต้, สิงคโปร์, เยอรมนี และจีนแล้ว ประเทศไทยของเรายังถือว่ามีอัตราส่วนที่น้อยกว่าประเทศ
ทุกวันนี้ คนเข้าเรียนสายวิทยาศาสตร์อยู่ที่ร้อยละ 33 เมื่อเทียบกับสายสังคมศาสตร์แล้ว ซึ่งเราตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องขยับมากขึ้นสักหน่อยนึง ไม่ใช่เพราะเราให้ค่าสายวิทยาศาสตร์มากกว่านะครับ เพียงแต่เราเชื่อว่าถ้าจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ด้านวิทยาศาสตร์น่าจะเป็นตัวที่ต้องเร่งพัฒนา โดยเฉพาะบุคลากรที่จำเป็นต้องเพิ่มให้มีจำนวนมากขึ้น
และการจะขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ “วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม” ได้นั้น ประกอบไปด้วย 2 แนวคิดหลักๆ คือ “วิทย์สร้างคน” และ “วิทย์แก้จน” ซึ่งในส่วนที่เราพูดกันวันนี้ เป็นส่วนที่เรียกกันว่า “วิทย์สร้างคน”
ตอนนี้หน้าที่ของเราคือ ทำยังไงให้ “นักวิจัย-นักวิทยาศาสตร์” เป็นอาชีพที่แท้จริงให้ได้ ซึ่งทุกวันนี้เราเริ่มจากการปูพื้นฐานกันตั้งแต่ปฐมวัย ตั้งแต่ชั้น ป.5-ป.6 กันเลย โดยผ่านการเรียนในระบบ พัฒนาอย่างต่อเนื่องจนเข้าสู่ระดับมหาวิทยาลัย โดยคิดว่าจะทำยังไงให้บริษัทต่างๆ สามารถเข้ามาช็อปเด็กๆ ตั้งแต่ปี 2 ปี 3 ในมหาวิทยาลัย หมายหัวเอาไว้ได้เลยว่าจะต้องมีงานทำแน่นอนเลย และเอาเขาไปฝึกให้มีทักษะที่ตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการ
สิ่งที่จะลืมไม่ได้เลยคือ บทบาทของ “ผู้ประกอบการ” ที่จะช่วยให้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศพัฒนาไปได้อย่างต่อเนื่อง เรามองถึงขั้นว่า จะทำยังไงให้สภาพแวดล้อมภายในสถานประกอบการ เอื้อต่อการเป็นนักวิจัยที่สุด ทำยังไงจะส่งเสริมงานวิจัยในภาคผู้ประกอบการ ทำยังไงที่จะให้มีการเชื่อมโยงกันระหว่างทางมหาวิทยาลัย, ผู้ประกอบการ และตัวนักศึกษาให้ได้มากยิ่งขึ้น”
["เฌอปราง" ศิลปินหัวใจนักวิทย์ นั่งฟังบรรยายหัวข้อสำคัญร่วมกับนักวิจัยภายในงาน]
[คลิปช่วงที่มี "เฌอปราง" ตั้งแต่ประมาณนาทีที่ 01.22.00 เป็นต้นไป]
ข่าวโดย ผู้จัดการ Live