แบกเป้พร้อมอุปกรณ์ฉายเดี่ยวจากใต้ขึ้นเหนือสุดระยะทาง 1,811 กิโลเมตรกับภารกิจช่วยเหลือ 13 ชีวิต ด้วยทักษะประสบการณ์ปีนเขาที่บ่มเพาะมานับ 20 ปี จิตอาสากู้ชีพกู้ภัยอย่าง บังโฟล์ค - กำพลศักดิ์ สัสดี สถาปนิกหนุ่มสตูล วัย 41 ปี จึงไม่รีรอที่จะขอเป็นหนึ่งแรงร่วมค้นหาช่วยชีวิตหมูป่า พร้อมเรื่องเล่าลี้ลับตลอดสิบวันกับเหตุการณ์น่าพิศวงชวนอ้าปากค้างของ “ญิน” ในโพรงถ้ำสุดเร้นลับจำแลงมาในรูปแบบ แสง สี เสียง สะพรึง!ลงไปสองคนขากลับขึ้นมาสาม! พร้อมกลุ่มคนจาก “เมืองลับแล” ที่ฟังแล้วขนหัวลุก!
ใครกัน!? ซ่อนอยู่ในมุมมืด
ทุก 8 โมงเช้าภารกิจปีนหาสำรวจโพรงถ้ำที่สามารถเชื่อมกับถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย ของเขาได้เริ่มขึ้น ในทุกๆวันจะต้องเจอเหตุการณ์น่าประหลาดใจที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้
“ภารกิจนี้เริ่มต้นด้วยทีมค้นหาหลายทีมที่ลงปฏิบัติงานในหลายพิกัดรอบภูเขา แต่ก็มักจะมีการลงพื้นที่ผิดพิกัดไปไม่น้อยเพราะมีหลายคนร่ำลือว่ามีปล่องที่ถ้ำน่าสงสัยตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง และนั่นเองเป็นสาเหตุอย่างหนึ่งที่ทำให้บางทีมต้องย่างกรายไปในที่ไม่ควรจะไป
หลายวันก่อนจะจบภารกิจ มีข่าวร่ำลือกันว่ามีทีมกู้ภัยชุดนึงได้ลงสำรวจปล่องถ้ำทางทิศเหนือของภูเขานางนอน เป็นถ้ำที่มีความลึกทั้งในแนวดิ่งและแนวราบ และก็ต้องพบกับสิ่งที่ชวนขนลุกจนทำให้ต้องหนีกระเจิงรีบเก็บข้าวของกลับภูมิลำเนา
สิ่งที่เจอนั้นก็คือ มีบางอย่างหลบซ่อนอยู่ในมุมมืด ณ ที่สุดทางปลายถ้ำ เมื่อแสงไฟฉายสาดส่องไปโดนก็พลันเห็นอะไรบางอย่างที่ดูคล้ายมนุษย์กำลังยืนเกาะกลุ่มกันเงียบๆ เนื้อตัวมอมแมมเปื้อนเลือดดูคล้ายกับเพิ่งผ่านศึกสงคราม และในมือนั้นกำลังถือดาบ
และอีกหลายๆทีมก็ยังได้พบกับบุคคลลึกลับแผงมาในกลุ่ม เดิมทีคิดว่าคือชาวบ้านหรือพรานท้องถิ่นที่อาสามาช่วยค้นหาปล่องจึงไม่มีใครสนใจนัก แต่ยิ่งนานเข้าบางคนในทีมก็เริ่มเห็นบางอย่างผิดสังเกตของกลุ่มบุคคลดังกล่าว คือไม่สามารถนับจำนวนที่แท้จริงได้ว่ามีกันกี่คน
เพราะพวกเขาเคลื่อนไหวรวดเร็วและมีการหลบซ่อนเมื่อมีผู้พยายามจะทำการสื่อสารพูดคุย แต่เมื่อแกล้งเผลอก็จะกลับออกมาจากที่หลบซ่อนอีกครั้ง ซึ่งเมื่อออกมาก็จะมีการส่งสัญญาณแปลกๆลับๆต่อกัน จนพลบค่ำ พวกเขาเหล่านั้นหายไปไม่มีใคนเห็น แต่ก็ยังรู้สึกได้ว่าเหมือนมีใครบางกลุ่มติดตามตลอดการเดินทางกลับออกจากภูเขาลูกนั้น ทำให้หลายทีมรู้สึกหวาดกลัวจนไม่กล้าลงทำงานในพื้นที่อีก และบางทีมก็ได้พบกับก้อนหินที่เคลื่อนที่เองได้ บางก้อนนั้นกลายเป็นเหมือนสำหรับใช้เป็นประตูสำหรับเปิดปิด
และในวันสุดท้ายของภารกิจ ในปล่องหมายเลข 3 ขณะโรยตัวลึกลงไปกว่า 40 เมตร ก็ถึงพื้นถ้ำโถงแรกที่แคบยาว เดินสำรวจไปทั่วสุดปลายโถงพบมีเพิงเล็กๆซ่อนอยู่ในนั้น สาดแสงไฟฉายตรวจสอบก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดๆ จนเกือบจะตะโกนให้พี่ชัยคู่บัดดี้ว่าเคลียร์ แต่ไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงหินกลิ้งหล่นกุกกักที่หลังเพิงหิน พลันรู้สึกได้ว่ามันเป็นเสียงที่ไม่ธรรมดาจึงรีบเข้าไปตรวจสอบตามเสียงนั้น และก็ได้พบกับสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ
มีอีกช่องทางนึงซ่อนอยู่ที่หลังเพิงแห่งนั้น เป็นช่องทางเล็กๆราว 50 × 60 ซม.พบพื้นถ้ำนั้นพบมีร่องรอยการใช้งานบางอย่าง เป็นอะไรบางอย่างที่ไม่ปกติ เหมือนมีใครหรืออะไรบางอย่างใช้งานเป็นประจำจนเกิดเป็นร่องรอยที่ไม่เป็นธรรมชาติทั่วไป รอยมันคล้ายกับใครใช้เดินวนหรือนั่งล้อมวงกัน พยายามสังเกตเส้นทางสัญจรว่าถ้าหากมีใครลงมาถึงที่นี่ได้ ก็พบว่าไม่มีร่องรอยใดๆ ไม่ว่าจะเป็นฝีมือมนุษย์หรือสัตว์ ซึ่งก่อนจะลงในถ้ำต่างๆนั้นก็จะตรวจสอบทุกครั้งว่ามีร่องรอยผู้ใดบ้าง เช่นรอยเท้าหรือรอยมือ เพื่อความปลอดภัยในวูบแรกจึงนึกถึงคนลับแล เมืองลับแล”
ความสะพรึงไม่จบหากภารกิจยังดำเนินต่อไป!
ควันประหลาดล่องลอย
ในทุกๆวันหลังจากสำรวจโพรงถ้ำเขาจะกลับไปถึงที่พักประมาณสี่ทุ่มด้วยความเพลียและเหนื่อยล้า พร้อมกับรีบลุกขึ้นมาปฏิบัติภารกิจแต่รุ่งเช้า เช่นเดียวกับวันนี้ ในขณะที่เขากำลังแทรกตัวผ่านช่องหินพร้อมไฟที่หมวกสาดส่องไปข้างหน้านั้น ก็สังเกตเห็นบางอย่างคล้ายๆกลุ่มควันหรือหมอก
“มันมีลักษณะเหมือนควันบุหรี่ที่เพิ่งพ่นออกมา มีความหนาแน่นในแบบที่ไม่ใช่อะไรที่ระเหยออกมาจากหินหรือผนังถ้ำแน่นอน มันเคลื่อนไหวช้าๆเหมือนเมฆฝนที่ลมกำลังลากไปมา แต่ดูเหมือนการเคลื่อนตัวของมันมีเป้าหมาย ณ ตอนนั่นเริ่มสะพรึงปนตื่นเต้นปนดีใจที่ได้พบเห็นสิ่งที่ไม่ปกตินัก
สิ่งนั้นลอยต่ำลงไปตามซอกหินเบื้องล่าง กลุ่มควันประหลาดเริ่มไปจับตัวอยู่ในฝั่งตรงข้าม ยิ่งส่องไฟเข้าหามันก็ยิ่งเห็นว่ากำลังมีหมอกเล็กๆที่ระเหยออกมาจากช่องเล็กๆที่มุมด้านล่างออกมารวมตัวกันมากขึ้น อากาศเริ่มเย็นมากขึ้น ย่อตัวนั่งลงโดยที่ไม่ละสายตาจากมัน ลองเอามือไปสัมผัสพื้น พบว่ามันเย็นเฉียบจนสะดุ้ง
ด้วยความอยากรู้และอยากจะพิสูจน์ว่ามันคืออะไร และกำลังเกิดอะไรขึ้น จึงตะโกนบอกพี่ชัยว่า ขอ 5 นาที พร้อมกับปิดไฟฉาย สายตาพยายามเพ่งมองไปในความมืด ในทิศทางที่สิ่งนั้นลอยคว้างอยู่ นับวินาทีในใจไปเรื่อยๆ ไปเรื่อยๆด้วยความตื่นเต้น เป็น 5 นาทีที่ยาวนานเหมือน 5 ชั่วโมง
จนเมื่อครบเวลา จึงปิดตาแล้วเปิดไฟฉายเพื่อป้องกันม่านตาปรับตัวไม่ทัน ผ่านไป 5 วินาทีจึงลืมตาขึ้น ก็พบว่า หมอกควันนั้นหายไป ไม่เป็นกลุ่มก้อนแบบในตอนแรก แต่มันกระจายตัวเป็นละอองไปทั่วโถงเล็กๆแห่งนั้น จึงรีบปลดเป้ออกจากหลังอีกครั้งพร้อมถ่ายภาพไว้ ซึ่งก็ติดภาพของควันที่คลุ้งอยู่ และที่น่าสนใจก็คือมีควันออกมาจากฝ่ามือและลำตัวมากขึ้น มากขึ้น จนรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างที่ไม่ปกตินักกำลังรุมเร้ารอบตัว”
การปิดไฟฉายของเขาในการสำรวจถ้ำทุกครั้งนั้น นอกจากจะเพื่อการสังเกตแสงที่สามารถลอดเพื่อสำรวจโพรงแล้วนั้น เขายังบอกว่า เป็นสัญญาณของการสื่อสารกับสิ่งลี้ลับที่เขามักทำอยู่บ่อยๆอีกด้วย
เสียงคนซุบซิบ สวดมนต์
กฎในการสำรวจโพรงถ้ำกับคู่บัดดี้ จะต้องตะโกนทักทายกันทุกๆ 5 นาที หากเงียบไม่มีการตอบรับใดๆทั้งสิ้น ทีมสนับสนุนข้างบนอีกกว่า 30 คน จะลงมาชาร์ตทันทีเพื่อความปลอดภัย ทว่า นอกจากเสียงทักทายกันของคู่บัดดี้แล้ว เขากลับได้ยินเสียงบางอย่างที่แหบแห้ง!
“ในช่วงสุดท้ายของการค้นหาปล่องถ้ำ ขณะกำลังนั่งพักคนเดียวอยู่ในโถงเล็กๆสุดปลายทาง ที่ระดับความลึกกว่า 50 เมตร พี่ชัยซึ่งเป็นเพื่อนคู่บัดดี้ที่อยู่ใกล้ที่สุดนั้นอยู่สูงขึ้นไปกว่า 30 เมตร ต้องตะโกนสุดเสียงทักทายกันทุกๆ 5 นาที
รัศมีรอบตัวแค่วาเดียวคือผนังทึบตัน ระดับออกซิเจนอยู่ที่ 20.9 ที่มุมปลายเท้ามีช่องเล็กๆกว้างไม่ถึงศอกยาวราวเมตรนึง มีลมเย็นๆไหลช้าๆออกมาทางช่องนั้น จึงนอนราบเพื่อเอียงไปฟังเสียงลมที่ไหลออกมา แต่แต่ปรากฏว่ามันไม่ได้มีเพียงแค่เสียงของลม มันมีเสียงอื่นๆปะปนอยู่ในนั้นเบาๆ
ด้วยความตื่นเต้นจึงรีบตะโกนบอกคู่บัดดี้ว่า ให้ทุกคนเงียบและแล้วก็ได้ยินเสียงชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ มันคล้ายเสียงแมลงบางอย่าง บางทีก็คล้ายเสียงคนซุบซิบเบาๆแหบๆ บางทีคล้ายเสียงคนสวดมนต์ในภาษาที่ไม่คุ้นเคย พื้นที่นอนคว่ำอยู่นั้นก็เปียกชุ่มและเย็นยะเยือกพอๆกับนอนบนแผ่นน้ำแข็งบางๆ และได้ทำการทดลองบางอย่างในแบบที่ทดลองเป็นประจำเมื่อพบบางอย่างที่ไม่ปกติด้วยการปิดไฟฉายที่กำลังมีควันคลุ้งออกมาจากฝ่ามือ
ปรากฏว่าเสียงนั้นก็หายไปพร้อมกับความมืดสนิทที่มาเยือนในทันทีทันใด ทุกทิศทางนั้นมืดยิ่งกว่าปิดตา หนาว เงียบ นับเวลาต่อไปเรื่อยๆจนครบ 5 นาที จึงตะโกนขึ้นไปข้างบนว่า เคลียร์!”
เขาเล่าว่า ตั้งแต่มาสำรวจที่นี่ได้พบกับสัญญาณบางอย่างแปลกประหลาดมากมาย แต่ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง ที่หากภารกิจยังไม่เสร็จสิ้น เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะไม่มีใครกล้าลงมาเป็นคู่บัดดี้ให้เราสำรวจจนจบ
“เอาง่ายๆล่ะกันว่า ลงกันมาสองคน แต่ระหว่างขึ้นกลับนับเงาได้ 3”
แม้กระทั่งเสร็จสิ้นภารกิจช่วยชีวิต 13 ชีวิตไว้ได้สำเร็จแล้ว ก็ยังเจอกับเหตุการณ์รถตกเหวลึกที่ดอยผาหมี ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บ ก่อนเกิดเหตุยังพบลางบอกเหตุบางอย่างจาก “แมว” ซึ่งเป็นสัตว์ที่เขารักอย่างมาก
“เพียง 15 นาทีก่อนจะเกิดอุบัติเหตุรถตกเหว ได้ถ่ายภาพกลุ่มเมฆที่ประหลาดและสวยงามไว้ แล้วก็ถ่ายภาพร่วมกันหลังจากภารกิจสำรวจ 3 ถ้ำลึก สู้เต็มที่มาด้วยกันตลอดทั้งวัน และเพียง 5 นาทีก่อนรถจะกลิ้งพลิกลงไป ได้หันไปเห็นลูกแมววิ่งส่ายหัวไปมาอยู่ในเพิงกระท่อมเล็กๆข้างทาง มีพลาสติกใสคลุมติดหัว
จึงรีบบอกคนขับให้หยุดรถ แล้วกระโดดลงจากรถไปกับเพื่อนอีกคนเพื่อช่วยเอาถุงพลาสติกออก ลูกแมวนั้นเชื่องและหิวมาก พยายามวิ่งตามมาที่รถ นึกในใจว่าพรุ่งนี้ค่อยเจอกันดีกว่า จะมาหาแต่เช้าเลย ต้องรีบลงจากดอยให้เร็วที่สุดเพราะพายุกำลังมา ขับรถออกมาได้อีกเพียง 3 นาที ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน”
นอกจากนี้ เขายังเกือบที่จะได้ขึ้นรถคันที่ประสบอุบัติเหตุ แต่มีอะไรดลใจเปลี่ยนใจให้มาขึ้นอีกคัน
เคล็ดลับ เข้าป่าปลอดภัยจาก “ญิน”
สำหรับ”ญิน” นั้น คือชื่อเรียกสิ่งเร้นลับตามความเชื่อของศาสนาอิสลาม ซึ่ง “ญิน” สามารถจำแลงแปลงกายมาเป็นอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ สิ่งของ หลากหลายรูปแบบ
“เวลาเข้าป่าใครเรียกอย่าตอบ ใครเรียกชื่อก็อย่าขาน หรือเจอต้นไม้แปลกประหลาดอย่าไปนั่งหรือนอนใต้ต้นไม้นั้น เพราะอาจจะเป็นญิน ที่แปลงกายมาเป็นต้นไม้ ห้ามตัดต้นไม้ กิ่งไม้
หรือแม้แต่กระทั่งเราเดินเข้าป่าไป เจอลานที่ดูเหมือนมีร่องรอยของคนนั่งคุยกัน เช่น บริเวณนั้นเต็มไปด้วยใบไม้แห้ง แต่บริเวณลานนี้กลับไม่มีใบไม้สักใบ ราวกับใครมาปัดกวาด ก็อย่าไปยุ่งกับบริเวณลานนั้นเชียว
สำหรับนักเดินป่ามืออาชีพจะทราบกันว่า ในป่า ถ้ำ สิ่งธรรมชาติมักจะมีความเร้นลับของญิน บางครั้งอาจจะไปเจองู เลื้อยมาหาเรา เราไม่ควรไม่ทำร้ายเขาเด็ดขาด
สิ่งที่ควรพกเข้าป่าไปควรพกแค่ “มีด” เท่านั้น ดังนั้นหากเจออะไรไม่แปลกประหลาดควรแค่สังเกตการณ์ และเดินผ่านไป”
ความงดงามซ่อนในถ้ำหลวง
"พอเห็นข่าวเรานึกในใจเลยว่า ต้องไปช่วยเด็กและโค้ชทั้ง 13 ชีวิตทุกคนอยู่ท่ามกลางความมืด และรอความช่วยเหลือ ด้วยทักษะที่ผมมีในการปีนเขา เลยอยากนำความรู้ความสามารถนี้มาช่วย” โฟล์คเล่าความรู้สึกทันทีที่ทราบข่าว 13 ชีวิตติดถ้ำ
ทว่า เขายังเป็นคนวิเคราะห์คาดคะเนตำแหน่งพิกัดในถ้ำหลวง โดยสังเกตจากสภาพทางกายภาพของภูเขา ถ้ำ โดยเปิดดูแผนที่ดาวเทียม แล้วคาดการณ์ตามประสบการณ์ ซึ่งสรุปเป็นพิกัดแนวเดียวกันกับบริเวณที่เจอ 13 ชีวิตอีกด้วย
ในช่วงเวลาวิกฤติ เขาก็ได้พบกับความงดงามที่ซ่อนอยู่ในนั้น เป็นปรากฏการณ์พิเศษ ความงดงามของจิตอาสา ความรัก ความสามัคคี จากหลากหลายชาติหลายศาสนา นับเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากยิ่ง
สำหรับอาหารการกินที่ตอนแรกเขาคิดว่าจะหาอาหารฮาลาลลำบาก แต่กลับกลายเป็นว่า กินแทบไม่หมด จากน้ำใจของพี่น้องมุสลิมภาคเหนือ
“ตลอดสิบวันที่อยู่ที่เชียงราย ไม่เคยได้ซื้อข้าวเลยสักครั้ง ก่อนจะมาถึงที่นี่ก็กังวลใจว่าจะหาอาหารมุสลิมได้จากที่ใดบ้าง แต่เกินคาดจริงๆเพราะในทุกๆวันจะมีทีมงานของพี่น้องมุสลิมที่เชียงใหม่ เชียงราย แม่สาย กทม. ฯ ลงพื้นที่ทำงานในเรื่องของการทำอาหารและนำส่งไปยังจุดต่างๆที่มีพี่น้องมุสลิมทำงานหรือพักอยู่ตามพิกัด ทุกท่านดูแลทุกคนดีมาก ขาดเหลืออะไรให้บอกจะไปไหนให้บอก ความช่วยเหลือต่างๆจะมาอย่างไว
นอกจากข้าววันละ 3 มื้อที่มากจนล้นเหลือแล้วนั้น ก็ยังมีขนม น้ำ เครื่องดื่ม ซึ่งมื้อเที่ยงนั้นจะพกเป็นข้าวห่อไปกินในป่าหรือในถ้ำแล้วแต่พิกัดของในแต่ละวัน”
สถาปนิก กู้ภัย อาร์ทติส
แน่นอนภารกิจช่วย 13 ชีวิตถ้ำหลวงนั้นมีฮีโร่มากมายตามความถนัดและความรับผิดชอบ ทว่า โฟล์ค ก็จัดได้ว่าเป็นอีกหนึ่งฮีโร่ที่สร้างสีสัน เพราะใบหน้าของเขานั้นมีความละม้ายคล้าย กัปตัน แจ็ก สแปร์โรว์ ในหนังฮอลลีวูด Pirates of the Caribbean ที่รับบทโดย จอห์นนี เดปป์ ยิ่งนัก จนทำให้เขาโด่งดังในโลกออนไลน์
สื่อต่างชาติยังอึ้งในหน้าตาของเขาที่ยังดูอ่อนกว่าวัย 41 ปี เคล็ดลับหน้าเด็กของเขาคือ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยสูบบุหรี่สักมวน ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ตลก อารมณ์ดี ไม่เครียด นั่นเอง
นอกจากเขาจะเป็นจิตอาสากู้ชีพกู้ภัยดอกโดน อ.ควนโดน จ.สตูล ที่บ้านเกิดแล้ว ความสามารถยังรอบด้าน งานหลักเขามีอาชีพเป็นสถาปนิกอิสระ นักออกแบบโรงแรม บ้าน อาคาร สถานที่ สวน และควบคุมงานก่อสร้างอีกด้วย
“ผมชื่นชอบศิลปะมาตั้งแต่เด็ก ชอบวาดรูปกันทั้งครอบครัว ตอนเด็กๆก็เล่นสร้างบ้านหลังเล็กๆ โดยไม่รู้หรอกว่านั่นเขาเรียกว่าโมเดลบ้าน
การเป็นอาสากู้ภัยกู้ชีพนั้น ภารกิจในแต่ละวันนั้นจะมีทั้งได้รับแจ้งให้เร่งช่วยเหลืออุบัติเหตุบนท้องถนน หรือที่บ้าน หรือการบาดเจ็บในทุกๆสถานที่ รวมไปถึงสัตว์มีพิษหรือสัตว์ร้ายหลงเข้าบ้าน”
ส่วนการปีนเขาสั่งสมประสบการณ์ 20 ปีนั้น เขาถือว่าเป็นงานอดิเรก จากความชื่นชอบตั้งแต่วัยเด็กเพราะภายในบ้านของเขานั้นมีภูเขาและสวนร้อยกว่าปีของบรรพบุรุษ จึงมีใจรักในการเดินป่าและการปีนเขาด้วยความรัก
และอีกหนึ่งงานอดิเรกของเขาก็คือถ่ายรูป เขาเล่าว่า เริ่มจับกล้องตั้งแต่อายุ 11 ขวบ จากนั้นก็ถ่ายภาพสั่งสมประสบการณ์เรื่อยมา
ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้! ความสามารถด้านการวาดภาพเรียกได้ว่าขั้นเทพ เขามักจะสอนเด็กๆ ด้วยการใช้ของจากธรรมชาติมาสกัดเป็นสี เพื่อนำมาวาดรูปด้วย
โดยผลงานก่อนหน้านี้เขาได้นำดอกอัญชัน และผลผักปลัง นำมาสกัดเป็นสี เพื่อนำมาวาดพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เเละสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
ที่ผ่านมาเขาได้วาดพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ในหลวงรัชกาลที่ 9 และระบายด้วยสีธรรมชาติเช่น สีอิฐ สีเม็ดกาแฟ และได้มีการประมูลนำไปติดตั้งไว้ที่สถานที่สำคัญต่างๆ เมื่อวาดเสร็จจะเคลือบโดยใช้วิธีแบบโบราณ ใช้ไข่ขาวเคลือบ ทำให้สีทนทานไม่จางหาย
“หนูแว่น” แมวแสนรัก
ภาพจำที่โลกโซเชียลฯ มักจะเห็นเขานอกจากจะการเป็นนักปีนเขาหน้าเหมือนกัปตันแจ็ค สแปร์โรว์แล้วนั้น ยังเป็นภาพของชายหน้าคมเข้มที่มีแมวอยู่บนหัวพร้อมไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเวลา
“หนูแว่น” น้องเหมียว เพศผู้ พันธุ์ไทย วัยขวบเศษ เป็นแมวแสนรักของโฟล์ค
เขาเล่าว่า หนูแว่นเป็นแมวจร ถูกทิ้งริมทาง เพื่อนเลยเก็บไปให้เขาเลี้ยงถึงบ้าน เพราะครอบครัวเขามีความเมตตาเลี้ยงแมวจรมาแล้ว จนปัจจุบันนี้เขามีแมวจรจัดเลี้ยงดูราว 20 ตัว
“ลักษณะเด่นของหนูแว่นคือ ขอบตา เป็นสีขาว คล้ายแว่น เลยเป็นที่มาของการตั้งชื่อให้ว่า “หนูแว่น” จะชอบพาไปไหนเอาขึ้นหัวตลอด แต่ตอนมาถ้ำหลวงไม่ได้นำหนูแว่นมาด้วย จึงทำให้คิดถึงหนูแว่นตลอดเวลา
หนูแว่น เป็นแมวเลี้ยงง่าย ไม่มีแม่แมวคอยดูแล เลยโตมาด้วยนมแพะ ชอบกินอาหารเปียกมากกว่าปลาทู ส่วนเมนูสุดโปรด ต้องยกให้ไก่ต้ม
ตอนอยู่ถ้ำหลวงสิบวันเวลาคุยโทรศัพท์หาภรรยา ยังบ่นคิดถึงแต่หนูแว่นมากกว่าภรรยาเสียอีก(หัวเราะ)”
โดยผู้จัดการ Live
เรื่อง : สวิชญา ชมพูพัชร
ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ก Folk Kamponsak Sassadee