xs
xsm
sm
md
lg

“เอเยนซีขายฝัน-หมอศัลย์มักง่าย” แฉ! พิษมหากาพย์ ฤทธิ์มีดเกาหลี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 
สั่นสะเทือนวงการศัลยกรรมเกาหลี! อดีตนักร้องเกือบตายหลังบินผ่าตัดเสริมหน้าอก “เลือดไหลไม่หยุด-หนองทะลัก-ติดเชื้อในกระแสเลือด-โอกาสรอด10%” สูญเงิน 8 แสน ผลที่ได้แสนสาหัส! ล่าสุด แฉแหลก เอเยนซี่เห็นแก่เงิน-หมอศัลย์ฯ จอมมักง่าย ด้าน สมาคมศัลยกรรมตกแต่งแห่งประเทศไทย เผย วงการศัลยกรรมเกาหลีฉาวโฉ่ไม่ต่างกับการหลอกขายทัวร์!

อยากสวยกลับซวย! โอกาส “ตาย” มากกว่า “รอด”

เกือบตายเพราะพิษศัลยกรรม! อดีตนักร้อง แฉ รพ.ชื่อดังในประเทศเกาหลี หลังผ่าตัดเสริมหน้าอก “เลือดไหลไม่หยุด-แผลติดเชื้อ” แถมยังให้หิ้วสายระบายเลือดขึ้นเครื่องกลับไทย! สภาพสาหัสมีโอกาสรอดเพียง 10%

โดยอดีตนักร้องสาวได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวความเป็นความตาย ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับผู้ที่คิดทำศัลยกรรม ไม่ให้ผิดพลาดเหมือนตน เพราะหลงเชื่อคำโฆษณาโน้มน้าวใจจากเอเยนท์ชื่อดัง ซึ่งได้มีการโฆษณารีวิวจากลูกค้า เซเลป รวมไปถึงเน็ตไอดอลว่า รพ. Grand Plastic Surgery มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศเกาหลี

Part 1 : ตัดสินใจทำศัลยกรรมหน้าอกครั้งแรก โดยเลือกเอเยนท์ชื่อดังให้ดูแล คุณ อุ้ม รัสรินทร์ กับ รพ.Grand Plastic Surgery) ซึ่งเป็น รพ.ใหญ่ มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆ ของเกาหลี

Part 2 : นัดเจอกับคุณอุ้มที่ รพ. Grand กลางเดือน พ.ย. 60 เมต้องการผ่าเอาซิลิโคนเข้าทางรักแร้ เนื่องจากไม่อยากให้มีแผลที่ใต้ราวนม แต่คุณหมอพยายามโน้มน้าว ให้เมผ่าทางใต้ราวนม เราก็สรุปกันวันนั้นว่าจะผ่าทางรักแร้ ซิลิโคนขนาดเล็ก 230-250 CC


 
คุณอุ้มได้จัดคุณหมอ ลี เซ ฮวาน ให้ และขอให้เมวางเงินมัดจำทันที กำหนดวันผ่าตัด คือ 21 ธันวาคม 2560 เมจ่ายเป็นเงินสด 800,000 กว่าบาท โดยที่ รพ.ไม่ได้ออกใบกำกับภาษีให้ เพราะเขาจะให้ส่วนลดเมเพิ่มขึ้นอีก 10%

Part 3 : วันผ่าตัด 21 ธ.ค. 60 ช่วงเช้า คุณหมอลี ทำการดีไซน์รูปทรงหน้าอกและตา ระหว่างนั้น เมหน้ามืด เป็นลม คุณแม่ตกใจมาก จะไม่ยอมให้เมผ่าตัดในวันนั้น ขอเลื่อนออกไปก่อน แต่คุณหมอเอาผลการตรวจเลือด ตรวจสุขภาพมายืนยัน ว่าสุขภาพเมเป็นปกติ จึงเข้ารับผ่าตัด ตามกำหนดเดิม

หลังการผ่าตัดเริ่มมีอาการปวดแสบปวดร้อนภายในทรวงอก ลุกเดินแทบไม่ได้ ต้องนอนที่ รพ. 2 คืน แต่เมเจ็บปวดมาก จึงขอคุณหมออยู่ต่ออีกคืน จากนั้นย้ายไปอยู่ที่โรงแรมข้างๆ รพ.ซึ่งคุณอุ้มเตรียมไว้ให้ พยาบาลบอกให้คุณแม่ เอาเลือด เทออกจากถุงระบายเลือดทั้ง 2 ข้างทุกวัน

วันที่ 28 ธ.ค.60 ตามกำหนดที่เมจะต้องตัดไหม ถอดถุงระบายเลือดออก และเดินทางกลับไทย แต่คุณหมอไม่ถอดถุงระบายเลือดออกให้ โดยแจ้งว่าเขาจะบินมาไทย วันที่ 3 ม.ค. 61 และจะเป็นคนเอาสายระบายเลือดออกให้เอง ที่ KTOP Clinic ซึ่งเป็นสาขาของรพ.Grand ในไทย ในย่านทองหล่อ

Part 4 : 3 ม.ค. 61 หมอลี เซ ฮวาน มาถอดสายระบายเลือดที่ KTOP Clinic ในไทย อาการทรุดหนัก คุณแม่ย้ำถามคุณหมอ ว่าเลือดออกมาเยอะทุกวัน ไม่ลดลง มันผิดปกติไหม แต่คุณหมอตอบว่า “ไม่เป็นไร” และเอาถุงระบายเลือดออก เย็บปิดแผลด้วยตัวเองในวันนั้น

 
Part 5 : 13 ม.ค. 61 เริ่มสงสัยว่าติดเชื้อ แต่ยังปกปิด หมอลี สั่งผ่าน KTOP ให้เมไปตรวจเลือดที่ รพ.ใกล้บ้าน โดยขอให้ตรวจ 2 ค่า ผลออกมามีความผิดปกติ คือ ค่าเม็ดเลือดขาวสูงผิดปกติ และตับอักเสบ

Part 6 : หนองทะลัก โอกาสรอด 10% หมอลี ให้บินไปที่เกาหลี แต่หมอคนคนหนึ่งที่ KTOP ซึ่งเป็นหมอฉีดไขมันและฟีลเลอร์ เป็นคนบีบเอาหนองออกจากรักแร้ทั้ง 2 ข้าง ตามคำสั่งของหมอลี หนองที่ออกมาเป็นจำนวนมาก ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย

Part 7 : ระหว่างที่คุณหมอบีบเอาหนองออก ก็มีคุณหมอไทยอีกท่าน คือ คุณหมอจักรินทร์ จับชีพจรของเม และพูดกับคุณหมอคนที่บีบหนองอยู่ว่า “ต้องเอาออกทันที !!” เพราะอาการเมวิกฤติแล้ว คุณแม่จึงเซ็นยินยอมให้เมเข้ารับการผ่าตัดกับคุณหมอท่านนี้ และพาเมไปรพ.นครธน ซึ่งทาง KTOP ไปเช่าห้องผ่าตัดทันที

Part 8 : ยื้อชีวิตครั้งแรก โคม่าเข้าห้อง ICU หมอลี เซ ฮวาน หายหัว หลังการผ่าตัดเอาซิลิโคนออก เมยังโคม่า ต้องอยู่ในห้อง ICU อาการไม่ดีขึ้น มีไข้สูง ขึ้นลงตลอดเวลา หายใจติดขัด

Part 9 : ยื้อชีวิตครั้งที่ 2 แต่ยิ่งวิกฤต คุณหมอบอกว่าทำเต็มที่แล้ว กลางดึกคืนนั้น หมอจักรินทร์ไม่ได้อยู่ที่ รพ. แต่สั่งให้ X-Ray ปอดของเมกลางดึก ผลออกมา พบว่าเป็นเพียงฝ้าขึ้นปอด (แต่ผลการทำ CT Scan ที่รพ.บำรุงราษฎร์ พบว่าน้ำท่วมปอด และเชื้อกำลังลุกลามเข้าสู่ปอด)

Part 10 : ผลการเพาะเชื้อ ทั้งที่ รพ.นครธนและบำรุงราษฎร์ ตรงกันคือ เป็นเชื้อที่ชื่อว่า “Pseudomonas Aeruginosa” ซึ่งเป็นเชื้อที่มีความรุนแรงมาก พบได้ใน รพ.เท่านั้น เชื้อตัวนี้ดื้อยามาก หากเกิดกับคนที่ร่างกายไม่แข็งแรง หรือผู้สูงอายุ โอกาสรอดชีวิตนั้นมีน้อยมาก

เมโชคดีมากที่เชื้อตัวนี้ ไม่ได้ไปติดในการผ่าตัดทำตาของเม ไม่เช่นนั้นเมคงตาบอดสถานเดียว ไม่มีทางรักษา และโชคดีที่เมตัดสินใจ ไม่ทำโครงหน้า ตามที่หมอและเอเยนท์โน้มน้าว เพราะถ้าติดเชื้อตัวที่นี้ ที่บริเวณใบหน้า เมก็คงเสียโฉม พิการไปตลอดชีวิต”

แฉ วงจรขายทัวร์ “ศัลยกรรม” เกาหลี!

“ประเด็นคือคนไข้นอนอยู่ 7 วัน เลือดไหลเยอะมาก แต่หมอไม่ยอมทำอะไร มันผิดวิสัย โดยปกติหมอต้องเช็คดูว่าเลือดออกมากขนาดนั้น ต้องมีความผิดปกติ คุณจะต้องผ่าตัดแก้ไขและทำการรักษา แต่หมอเกาหลีไม่ทำ และบอกว่าให้ใส่สายเดรนกลับบ้าน นี่คือสิ่งที่เลวร้ายที่สุด”

'นพ.อดุลย์ชัย ธรรมาแสงเสริฐ' กรรมการสมาคมศัลยกรรมตกแต่งเสริมสวย แห่งประเทศไทย เปิดใจกับทีมข่าว ผู้จัดการ Live หลังเกิดกรณีดราม่าศัลยกรรมเกาหลีทำพิษ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่งอธิบายขยายประเด็นข้างต้นว่า พบความผิดปกติหลายจุดจากเคสที่เกิดขึ้น

“มันมีความผิดปกติหลายอย่าง อย่างแรก คนไข้รีเควสต์อยากให้ผ่าที่รักแร้ แทนที่จะผ่าที่ฐานใต้ราวนม เนื่องด้วยว่ากลัวเรื่องแผลเป็น ซึ่งต้องบอกเลยว่าคนไทยส่วนใหญ่ผ่าใต้ราวนม มีโอกาสมีแผลเป็นค่อนข้างสูง จึงนิยมผ่าใต้รักแร้เป็นส่วนใหญ่ แต่ต้องบอกเลยว่าแพทย์ที่เกาหลีไม่มีความถนัด

แต่คนไข้ต้องการแบบนั้น หมอเกาหลีจึงต้องทำ โดยปกติแล้วการผ่าตัดจะต้องมีการแยกชั้นกล้ามเนื้อออก ระหว่างที่แยกชั้นกล้ามเนื้อจะมีเส้นเลือด หมอคาดว่าระหว่างที่เขาเลาะผ่ารักแร้ มันจึงทำให้เส้นเลือดขาด พอเส้นเลือดขาด เลือดก็ไหลทะลัก

หมอเกาหลีก็ดำเนินการต่อไปและใส่เดรน (สายระบายเลือด) ซึ่งเดรนโดยปกติที่ประเทศไทยทำกัน ใส่แค่หนึ่งคืนเท่านั้นถึงเอาออก จากนั้นดูปริมาณว่าเลือดออกแต่ละข้างเท่าไหร่ แต่เคสนี้คนไข้นอนอยู่ 7 วัน เลือดไหลเยอะมาก ดูก็รู้ว่าผิดปกติ แต่หมอไม่ยอมแก้ไข

 
ผมคิดว่าระดับสติปัญญาหมอเกาหลี ต้องรู้อยู่แล้วว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น แต่ไม่ยอมแก้ไข เรียนมาตำราเดียวกันทั่วโลก ปรากฏว่าปล่อยคนไข้เลือดไหลแบบนั้น 7 วัน แถมยังปล่อยให้กลับบ้าน”

อย่างที่เห็นว่าค่านิยมในการเดินทางไปศัลยกรรมที่ประเทศเกาหลี คือ เป้าหมายอันดับต้นๆ ของผู้ที่สนใจอยากทำศัลยกรรมความงาม ขณะที่ นพ.อดุลย์ชัย เปิดเผยว่าวงจรศัลยกรรมเกาหลีไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด โดยเฉพาะเอเยนซี่ที่ทำหน้าที่พาคนไทยไปทำศัลยกรรม ถือว่าเข้าข่ายมีความผิดฐานไม่มีใบอนุญาต

“หลังจากที่คนไข้กลับมาถึงไทย หมอลีให้มาอยู่ในคลีนิกที่เป็นนอมินี ซึ่งหมอจากต่างประเทศมาทำหัตถการที่เมืองไทยไม่ได้ หากไม่มีใบอนุญาต นั่นเท่ากับหมอเถื่อน ซึ่งถ้าคลีนิกนั้นเปิดโดยหมอคนไทย เป็นนอมินีต่างชาติ แถมปล่อยให้คนที่ไม่มีใบอนุญาตมาทำหัตถการ ถือว่ามีความผิด!

เท่ากับเอาผิดกับหมอเจ้าของคลีนิกได้ เพราะปล่อยให้คนอื่นที่ไม่ใช่แพทย์ที่มีรายชื่อตามใบอนุญาตทำหัตถการ ซึ่งหากหมอคนนั้นดันไม่ได้เป็นหมอไทยด้วย คุณต้องรับผิดชอบ คุณผิดแน่นอน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) เอาผิดกับคลีนิกนี้ได้เลย

ประเด็นที่สอง เอเยนซี่ ถูกต้องตามกฎหมายหรือเปล่า ที่ให้คนไทยทำทัวร์ไปทำศัลยกรรมในต่างประเทศ มีใบอนุญาตหรือไม่ ซึ่งในแต่ละปีเราตอบไม่ได้เลยว่ามีคนไทยกี่คนที่บินไปทำศัลยกรรม เพราะเอเยนซี่เหล่านี้ผิดกฎหมายหมด ลักษณะ คือ การนำเน็ตไอดอลไปทำศัลยกรรม

 
หรือเน็ตไอดอลไปติดต่อกับ รพ.ที่เกาหลีเองว่าตนยอมทำทั้งตัวเลย และจะโปรโมต รพ.ให้ แต่ตัวเองเปลี่ยนสถานะเป็นเอเยนซี่ เพื่อที่พาคนจากเมืองไทยไป และให้ รพ.ที่เกาหลีจ่ายเงินให้ตัวเอง

เพราะเหตุนี้จึงไม่มีใบเสร็จให้คนไข้ เพราะเงินส่วนหนึ่งเอเยนซี่ได้ และอีกส่วนหนึ่ง รพ.เอาไป ปกติจะมีเรตที่เอเยนซี่ได้อยู่ที่ 10-20% บางคนได้กำไรปีละ 60-70 ล้านเลยทีเดียว!”

อย่างไรก็ตาม นพ.อดุลย์ชัย ยังทิ้งท้ายถึงผู้ที่ต้องการทำศัลยกรรมไว้ด้วยว่า อยากให้พิจารณาและศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนคิดทำศัลยกรรม โดยเฉพาะการเดินทางไปทำศัลยกรรมในต่างแดน ต้องสามารถตรวจสอบและหาผู้รับผิดชอบได้ หากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น

“ต้องบอกอย่างหนึ่งว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ประเทศเกาหลี จริงๆ ในเมืองไทยก็มี แต่ประเด็นคือถ้าเราทำที่เกาหลี เราหาตัวคนรับผิดชอบไม่ได้ แต่ทำที่เมืองไทย ยังไงหมอเมืองไทยต้องดูแลไปจนจบเคส อย่างที่บอก เขาคงไม่ปล่อยให้สาหัสถึงขนาดนั้น

แต่ก็ต้องยอมรับว่าการทำศัลยกรรมมันมีปัญหาได้ มันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ถ้าทำในเมืองไทย อย่างน้อยถ้าเกิดข้อผิดพลาด ก็มีคนดูแลรับผิดชอบแน่นอน”

ข่าวโดย ทีมข่าวผู้จัดการ Live


กำลังโหลดความคิดเห็น