“แค่ได้ยินคำว่า เจอน้องแล้ว-ปลอดภัย แค่นั้นเราก็มีความสุขแล้วครับ” ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ “ทีมหมูป่า” ได้พบหน้า แม้ไม่ใช่แนวหน้ารับหน้าที่บุกทะลวงเข้าไปในตัวถ้ำ แต่แค่ได้เป็นหนึ่งใน “ฟันเฟือง” แห่งความหวัง เป็นอีกหนึ่งพลังที่ช่วยเพิ่ม “โอกาสรอด” ให้น้องๆ ทั้ง 13 ชีวิต ผ่านการปีนผา-โรยตัวเพื่อค้นหา “ปล่อง” ทางออกจากถ้ำหลวง แค่นั้นก็ทำให้ “สองพี่น้องดาราฝาแฝด” ผู้คุมทีมกู้ภัยหัวใจอาสาอย่างพวกเขา ยิ้มให้กับทุกก้าวแห่งความทุ่มเทในครั้งนี้ไปได้อีกนานแสนนานแล้ว กับภารกิจครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้ทำเพื่อ “คนแปลกหน้าที่อยากเจอมากที่สุด”
ยินดีต้อนรับจากใจ #คนแปลกหน้าที่อยากเจอมากที่สุด
[วินาทีแห่งความทรงจำ เจอตัวน้องๆ “ทีมหมูป่า” ในวันที่ 9]
“ถ้าให้แทนความรู้สึกด้วยคำทั่วๆ ไป ก็คงต้องแทนด้วยคำว่า "ดีใจ" แล้วก็ "ยินดี" ครับ ที่ในที่สุดก็พบตัวน้องๆ แล้ว แต่ถ้าถามความรู้สึกลึกๆ จริงๆ ผมว่าคงไม่มีคำพูดไหนที่จะแทนได้บนความรู้สึกนั้น ความรู้สึกของหลายๆ คนที่ผนึกกำลังกันลงไป มันมีอะไรมากกว่านั้น ในแต่ละวันที่เราเดิน ในแต่ละวันที่เรามองหา ในแต่ละวันที่เราเหนื่อยล้า มาถึงวันนี้มันก็ควรค่าแล้วครับ”
เล็ก-ฝันเด่น จรรยาธนากร บอกเล่าความรู้สึกของเขาผ่านปลายสายด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย หลังรับหน้าที่ผู้นำทีม "ใจถึงใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน" ทีมกู้ภัยหัวใจอาสาภาคประชาชนทั้งหมด 40 ราย ตบเท้าเข้าไปสมทบกับหน่วยกู้ภัยกว่า 1,000 นาย เพื่อช่วยค้นหาน้องๆ “ทีมหมูป่าอะคาเดมี” นักฟุตบอลและโค้ชทั้ง 13 ชีวิต ผู้สูญหายและติดอยู่ใน “ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน” ที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย จนกลายเป็นประวัติศาสตร์การกู้ชีพครั้งใหญ่และยากที่สุดครั้งหนึ่ง เท่าที่ไทยเคยมีมา
ถ้าให้เหลียวหลังมองกลับไปยังช่วงเวลาแห่ง “การค้นหา 13 ลมหายใจในความมืด” เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา บนพื้นที่กว่า 5,000 ไร่ ในเขตวนอุทยานป่าสงวนแห่งชาติป่าดอยนางนอน บอกได้เลยว่าทุกก้าวของทุกคนที่ย่ำลงไปด้วยใจแรงกล้าในวันนั้น ยังคงประทับลงไปในใจของเล็กมาจนถึงวันนี้
“ทุกคนมากันด้วยใจจริงๆ ครับ หรือแม้กระทั่งบางคนที่ลงมาเพราะหน้าที่ แต่พอถึงจุดนึง มันก็เกินคำว่า "หน้าที่" ไปแล้ว มันขยายไปสู่คำว่า "เสียสละ" และ "มนุษยธรรม" และสิ่งเหล่านี้แหละครับที่ทำให้ผมรู้สึกประทับใจ”
“แบบนี้แหละครับคือ คนไทย” ใหญ่-ฝันดี จรรยาธนากร พี่ชายฝาแฝดผู้ประสานงานประจำทีมกู้ภัยทีมเดียวกัน ช่วยเสริมอีกหนึ่งมุมมองสำคัญของเขา ฝากสะท้อนสังคมไทยเอาไว้
“เราต้องมีความรัก ความสามัคคีมอบให้แก่กันแบบนี้แหละครับ แม้ในบางสถานการณ์ เราอาจต้องเจอบางเรื่องราวไม่ชอบใจอยู่บ้าง แต่ภาพใหญ่ที่ทำให้ทุกอย่างยังเดินต่อไปได้ คือคำว่า "สามัคคี" ถึงเราต้องอยู่กับคนหมู่มาก แต่ถ้าเราฟังผู้นำและเดินไปในทิศทางที่ดี ประเทศชาติมันก็จะดี เหมือนอย่างโมเดลที่เกิดขึ้นกับที่ถ้ำหลวงแบบนี้เลย”
[เล็ก-ฝันเด่น (น้องชาย) และ ใหญ่-ฝันดี (พี่ชาย) หนึ่งในฟันเฟืองเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่]
ย้อนกลับไปในวันที่ผู้สัมภาษณ์โทร.ไปติดต่อ ขอพูดคุยกับทั้งสองพี่น้อง ตั้งแต่ช่วง 2-3 วันแรกของภารกิจค้นหา 13 ชีวิต ทั้งเล็กและใหญ่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกผมไม่อยากให้สัมภาษณ์เลยครับ เพราะเราไม่ได้ทำอะไรเยอะขนาดนั้น ยังมีเจ้าหน้าที่และทีมอื่นๆ อีกมากมายที่เป็นกำลังสำคัญ”
มาจนถึงวันนี้ วันที่ภารกิจการค้นหาชีวิตที่ทีมได้รับมอบหมายสำเร็จลุล่วงลงแล้ว และทีมของพวกเขาได้ถอนกำลังกันออกมาแล้ว ทั้งสองพี่น้องใจอาสาก็ยังคงย้ำเหมือนเดิมว่า พวกเขาเป็นเพียงแค่ “ฟันเฟืองเล็กๆ” ภายใต้ภารกิจใหญ่ๆ ครั้งนี้เท่านั้น แม้ว่าคนในสังคมจะยกให้พวกเขาเป็นหนึ่งใน “ฮีโร่” ของแผ่นดินไปแล้ว เช่นเดียวกับทุกพลังที่ลงพื้นที่ช่วยกันในวิกฤตนี้
“ก็รู้สึกขอบคุณมากครับที่สังคมมอบคำแบบนี้มาให้ แต่สำหรับตัวผม ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่ากับคำว่า “ฮีโร่” ว่าเราจะต้องยิ่งใหญ่เหนือใคร หรือจะทำให้เราต้องเดินคอเชิดหรือเปล่า เพราะเราก็ยังเหมือนเดิม ยังคงเป็น "อาสา" ที่อยากจะช่วย อยากจะทำ อยากจะเป็นส่วนนึงของฟันเฟืองที่ทำให้ความสำเร็จมันเกิดขึ้น
ผมมองว่าเราคือฟันเฟืองนึงในนั้น และไม่ว่าใครจะทำหน้าที่อยู่ตรงไหน เพียงแค่ได้ยินคำว่า "เจอน้องแล้ว-ปลอดภัย" แค่นี้เราก็มีความสุขแล้วครับ ถึงเราจะเป็นนักขุดเจาะบาดาลอยู่ในวันนั้น แม้จะไม่ได้เห็นน้อง
หรือแม้แต่คนที่ทำหน้าที่เข้าไปสำรวจปล่อง ก็ถือเป็นอีกฟันเฟืองนึงที่ทำให้ได้รู้ว่า ถ้าช่องนี้มันตัน แสดงว่าน้องๆ ไม่ได้หนีออกไปหลงป่าที่ไหน มันช่วยตอกย้ำได้ว่ายังไงน้องๆ ก็ยังอยู่กันในนั้นอย่างแน่นอน”
[สิ้นสุดภารกิจการค้นหา เหลือรอการกู้ให้ออกมาได้]
นี่แหละคือคำนิยามของ “สิ่งเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่” จากใจคนเป็นพี่ชาย ซึ่งไม่ต่างกันนักกับทัศนคติของคนเป็นน้องชาย ที่ช่วยลงรายละเอียดถึง “วิธีการหมุนฟันเฟือง” ของพวกเขาในวันนั้น ให้คู่สนทนาได้เห็นภาพและรับรู้ความรู้สึกได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ฟันเฟืองที่สามารถเรียกได้ว่าเป็น “ฟันเฟืองแห่งความหวัง” สำหรับทั้ง 13 ชีวิต
“ทุกวันเราจะตื่นขึ้นมาพร้อม "ความหวัง" ในฐานะนักกู้ภัยทั้งหมดจะรู้กันว่า ตราบใดที่เรายังไม่ได้สัมผัสตัวผู้ประสบภัย หรือยังไม่มีภาพออกมาให้เห็นได้ชัดเจน จากคนที่มีเครดิตที่น่าเชื่อถือ เราก็ยังมีความหวังเสมอ เราจะไม่เชื่อข่าวลือ เราจะเดินไปจนสุดความสามารถของเรา เพราะว่าทุกโอกาสมันยังมีอยู่
ถ้าเราคิดแบบคนที่อยู่ภายนอกว่า หายไป 5 วันก็ตายแล้ว ถอยดีกว่า ออกดีกว่า ก็เท่ากับว่าเราไปตัดโอกาสเขา ทั้งที่บางทีเหลืออีกนิดเดียวเราจะถึงตัวเขาแล้วด้วยซ้ำ แต่เรากลับไม่ให้โอกาสเขา
ในเมื่อเรามีโอกาสที่จะกลับไปนอนบ้านได้สบายกว่าเขา เราก็ควรจะใช้โอกาสของเราตรงนั้นช่วยเหลือเขา เพราะยังไงเดี๋ยวเราก็ได้กลับมานอนข้างล่างอยู่แล้ว เราได้อาบน้ำ ได้กินข้าว แต่กับเด็กๆ พวกนั้น เขาไม่มีโอกาสตรงนั้น เขาอาจจะรอเราอยู่ อาจจะได้ยินเสียงเราแต่เขาตอบโต้ไม่ได้หรือเปล่า
พอคิดแบบนั้น ในตอนที่ตามหาวิธีเข้าไปหาน้องๆ ตามแต่ละโพรง เราจะไม่รู้สึกท้อเลย ถึงแม้จะเจอโพรงตัน เราจะแค่คิดว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้มาหาใหม่ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่เราท้อตอนลงไปเจอโพรงต่อโพรง ความรู้สึกมันจะตกตะกอนมารวมกัน และจะทำให้วันต่อไปเราไม่อยากไปแล้ว
เพราะฉะนั้น เราจะต้องมองทุกอย่างให้เป็นบวกตลอดทั้ง 9 วันก่อนจะหาน้องเจอ เราเชื่อมั่นเสมอครับว่าน้องๆ จะต้องยังมีชีวิตอยู่ และเราต้องช่วยเขาออกมาให้ได้ ไม่ว่ายังไง เพราะเขาไม่ได้เกิดมาตัวคนเดียว เขายังมีครอบครัว ยังมีความหวัง ยังต้องผูกพันกับหลายๆ อย่างมากมาย บางครั้งการที่เราช่วยได้ 1 ชีวิต มันอาจจะหมายถึงการได้ช่วยอีกหลายชีวิตที่อยู่เบื้องหลังของเขาด้วยก็ได้”
ความเสี่ยงบนความชัน ค้นหา “โพรง” ด้วยชีวิต
[โรยตัวลงสำรวจโพรง ค้นหาทางรอดให้เด็กๆ]
“พบเจ้าหน้าที่กู้ภัยวัยประมาณ 40 ปีตกเขา จากภารกิจถ้ำหลวง อยู่ในอาการหมดสติ กระดูกสันหลังแตก ขยับตัวไม่ได้ ต้องใช้เวลานำขึ้นมาจากหน้าผา กว่าจะถึงโรงพยาบาลกินเวลากว่า 4 ชั่วโมง แต่ล่าสุด อาการอยู่ในภาวะปลอดภัยแล้ว”
ข้อมูลทั้งหมดนี้ คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับทีมกู้ภัยทีมอื่น ผู้ได้รับมอบหมายให้ปีนขึ้นไปบน “ดอยผาหมี” เพื่อค้นหาโพรงที่จะเชื่อมไปยัง “โถงพัทยาบีช” พื้นที่ที่คาดว่าทีมหมูป่าติดถ้ำจะหลบลี้ภัยอยู่ในนั้น ซึ่งเป็นภารกิจเดียวกับที่ทีมอาสากู้ภัยภาคประชาชนของสองพี่น้องได้รับมอบหมาย สะท้อนถึงเส้นทางสุดอันตรายที่พวกเขาเคยฝ่าขึ้นไปแล้วหลายต่อหลายครั้ง
“การโรยตัวลงไปในโพรงก็เป็นอีกพาร์ตนึงของความยาก แต่กว่าจะไปถึงตรงนั้น เส้นทางที่ต้องลุยไปมันก็ยากพอๆ กัน” ว่าแล้วเล็กก็เริ่มถ่ายทอดความทรงจำจากความเสี่ยง ให้ผู้สัมภาษณ์ฟังตามคำขอ ผ่านน้ำเสียงที่ยังคงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“ไม่ใช่เดินไปแค่ 5-10 เมตรแล้วเจอโพรงเลย แต่เราต้องเดินขึ้นไป 1-2 กิโล บนความลาดเอียง 45 องศาบ้าง 80 องศาบ้าง ซึ่งถือว่าเป็นทางที่ชันมากครับ แล้วพอไปเจอโพรง เราถึงได้พิสูจน์ทราบทีละโพรง ฉะนั้น ทีมที่ขึ้นไปก็จะถูกทอนกำลังลงไปเรื่อยๆ
[ไต่เขาชันขึ้นไป สิ้นสุดที่ 1,100 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล]
คิดดูว่าตอนผมหยิบมือถือว่าถ่ายรูป ถ่ายคลิป ภาพยังสั่นเลยครับ เพราะว่ามือสั่นยิกๆ (หัวเราะ) เพราะตอนลุยขึ้นไปบนเขา เราไม่ได้ใช้แค่ขาเดินขึ้นอย่างเดียว แต่ต้องใช้มือทั้งสองข้างดึงตัว หยิบ จับ และล้วงเข้าไปหาร่องต่างๆ เพื่อที่จะถีบตัวขึ้นไป ทำให้ต้องใช้ทุกส่วนของร่างกายในการจะต้องดึงตัวเองขึ้นไปแต่ละก้าว และด้วยความที่เราเดินมาหลายวันแล้ว ความเหนื่อยล้าของกล้ามเนื้อก็เลยเกิดอาการสะสม”
มีอยู่หลายครั้งเหมือนกันที่ขาของเล็กต้องลื่นไถลลงไปซ้ำอยู่บนความเสี่ยง ข้อเข่าบอบช้ำเพราะแรงกระแทก ฝ่ามือต้องเกี่ยวเอารอยหนามคมมาเก็บไว้ แม้จะสวมถุงมือป้องกันแล้วก็ตาม ไม่เว้นแม้แต่กางเกงลุยป่าหนาๆ ที่สวมอยู่ ยังถูกความคมของหินผาเกี่ยวจนขาดวิ่น เหลือทิ้งร่องรอยแห่งความบากบั่นเอาไว้แทบทุกแห่งบนเนื้อตัว ให้จดจำไปได้อีกนานแสนนาน
“ด้วยสภาพภูมิประเทศ ทำให้หินบนเขาแถวนั้นแหลมและคมมาก อาจจะเป็นเพราะตัวหินที่แตกจากสภาพของแผ่นดินไหว ตัวหินเลยมีลักษณะเป็นชะง่อน พอลื่นหรือพลาดทีนึง ก็จะก่อให้เกิดอันตรายได้หมดเลย บวกกับสภาพแถวนั้นที่มีหนามอยู่เต็มไปหมด
<[บาดแผลจากความพยายาม]
หัวเข่าซ้ายผมก็กระแทกด้วยครับตอนที่ลื่น วันนั้นรู้สึกจะเป็นช่วงขาเดินขึ้นเขา แล้วเกิดลื่น พอเหยียบยันด้วยขาขวาขึ้นปุ๊บ แล้วมันลื่น ขาผมก็เลยพลิกออกไปทางด้านซ้าย ทำให้ขาอีกข้างนึงไปกระแทก จนเขียวช้ำขึ้นมา แต่เราก็พยายามอดทน ไม่เป็นไร พันผ้า แล้วก็ไปต่อได้ แต่มันก็มีลื่นแบบเดิมอีก ก็เลยกระแทกจุดเดิมซ้ำไปเรื่อยๆ
นอกนั้นก็มีบาดแผลตามมือทั่วไป ถึงใส่ถุงมือแล้วแต่ก็บาดอยู่ดีครับ เพราะหินที่นั่นคม และเพราะต้องจับกิ่งไม้ ต้องยึดหินที่ลื่นด้วย เลยต้องบาดเป็นปกติ ส่วนตัวกางเกงเองก็ขาดเพราะผมลื่นไถลลงมา ระหว่างได้รับภารกิจให้ไปสำรวจโพรงที่ดอยผาหมี เพราะเขามันชันมาก แต่ยังดีที่พอสไลด์ปุ๊บ เรารีบจับกิ่งไม้เอาไว้ได้
ด้วยความเสี่ยงทั้งหมดนี้ ก็เลยทำให้ตอนที่ปฏิบัติการกัน เราต้องเพิ่มความระมัดระวังทั้งตัวบุคคล และตัวทีมให้มากขึ้น ในการที่จะช่วยกันพยุงและประคองกันไปให้ได้ ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดลื่นขึ้นมา ด้วยความลาดเอียงเกิน 45 องศา ใครพลาดจะทำให้ทีมทั้งแถวหล่นลงมาได้ และอาจจะทำให้ต้องส่งตัวกลับ ทำให้ภารกิจที่ได้รับมาล้มเหลว
การทำงานแบบนี้ เรารู้กันดีครับว่าอุบัติเหตุมันไม่เลือกที่ ไม่เลือกเวลา ไม่เลือกบุคคล และเราก็พยายามทำให้ดีที่สุด ผมยังมีบอกน้องๆ ในทีมเลยว่า ถ้าเกิดผมพลาด หล่น ไม่ว่าจะเกิดอุบัติเหตุด้วยกรณีอะไรก็แล้วแต่ ให้ช่วยนำตัวผมออกจากพื้นที่ให้เร็วที่สุด ไม่ต้องแจ้งส่วนกลาง เพราะผมไม่อยากให้ลำบากหน่วยงานเขา เดี๋ยวผมไปหาวิธีการจัดการตัวเองได้ ทุกคนก็ตกลงตรงกัน เพราะไม่อยากให้ตัวเองสร้างปัญหามากขึ้นกว่าเดิม”
ด้วยบทบาทของ “หัวหน้าทีม” แล้ว เล็กมีหน้าที่สังเกตการณ์ทุกความเคลื่อนไหว และตัดสินใจให้คำตอบสุดท้ายในทุกความเสี่ยง โดยตั้งปณิธานอยู่บนคติที่ว่า “เราจะทำให้ดีที่สุด” แต่ก็ต้องชั่งน้ำหนักในทุกความคิด และไม่ทำเกินกำลังจนสร้างความเดือดร้อนในภายหลังด้วย
“เราทำงานกันแบบทีมครับ ไม่ใช่ว่าฉันเป็นหัวหน้าทีม ฉันเก่งอยู่คนเดียว แล้วฉันจะไปเองได้ บางจุดที่เราไม่ไหวจริงๆ เราก็ต้องให้คนอื่นๆ ช่วยดันก้นให้หน่อย หรือต้องมีการแบ่งงานกันด้วยครับ ดูว่าน้องคนนี้ยังแข็งแรง ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ จะให้แบกของหนักกว่าคนอื่นๆ ได้ไหม
เชือกยาว 200 เมตร พอเปียกน้ำมันก็หนักเป็น 20-30 กิโล แล้วต้องมาแบกขึ้นหลังบนความลาดเอียงขนาดนี้ จะไหวไหม เราก็ต้องพิจารณาผลัดเปลี่ยนหน้าที่กันไป
[มุดถ้ำ-ลอดโพรง ครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อมองหาความเป็นไปได้ที่จะช่วยเหลือ]
หรืออย่างตอนสำรวจโพรง ก็มีทั้งโพรงที่ตื้นสุด 3 เมตร ลึกสุดก็เกือบ 200 เมตร ที่ต้องโรยตัวลงไป บางโพรงก็ตัน บางโพรงลงไปได้ 8 เมตร 10 เมตร ทะลุออกเป็นห้องโถง เจอทางเชื่อม แต่สุดท้ายมีก้อนหินที่ถล่มลงมาบังรูนั้นไว้ ทำให้ไปต่อไม่ได้ ถ้าไปจับบางทีมันหล่นมาทับ อาจจะทำให้เกิดความสูญเสีย เราก็จะไม่เพิ่มภาระให้ในพื้นที่ และไปสำรวจเท่าที่ไปได้
สิ่งที่เราหามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เหมือนเป็นการงมเข็มในมหาสมุทร แต่เราก็ลองไปตามคำบอกเล่าของคนพื้นถิ่นให้ได้มากที่สุด เผื่อเราโชคดีอาจจะเจอทางออกที่มันใกล้ อาจจะเจอหนทางที่ไม่ต้องดำน้ำผ่านออกมา”
กู้ภัย = คนเสี่ยงที่คำนวณมาดีแล้ว
เช่นเดียวกับสมรภูมิรบ ที่ไม่ได้มีแค่ “ทัพหน้า-หน่วยลุย” ที่ควรให้ความสำคัญ แต่ฝ่ายการวางยุทธศาสตร์การรุกก็สำคัญไม่แพ้กัน ไม่ต่างจาก “ยุทธศาสตร์การกู้ภัย” ซึ่งรับหน้าที่โดยใหญ่ ผู้ประสานงาน คุมภาพรวม และวางแผนประเมินสถานการณ์
“หน้าที่ของผมคือต้องรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของทีมตลอดระยะเวลาที่เกิดขึ้นว่า ใครอยู่ที่ไหน ทำอะไร มีสิ่งไหนเกิดขึ้นบ้าง ออกนอกแผนไหม มีอุปสรรคอะไรเกิดขึ้นบ้าง ข้อมูลทางวิชาการจากด้านนอกเป็นยังไง เพื่อนำมาเสริมการปฏิบัติงานของคนด้านใน ผมกับเล็ก และคนในทีมจะไม่ขาดการติดต่อซึ่งกันและกันเลย ทุกอย่างจะถูกหยิบมาพูดคุยกันหน้างานทั้งหมด”
คอยประเมินความเสี่ยง และวางกรอบความปลอดภัย คือหน้าที่อันหนักอึ้งที่ฝาแฝดคนพี่คนนี้ต้องคอยแบกรับ ถึงแม้ “นักกู้ภัย” จะเป็นอาชีพที่ต้องอยู่ท่ามกลางอันตรายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ใหญ่ก็ยืนยันจะ “บริหารความเสี่ยง” ภายใต้หลักการที่น่าไว้วางใจ
[ความสูงของผาที่ต้องปีน เมื่อมองจากเบื้องล่าง]
“คนอื่นเวลาเกิดภัยเขาวิ่งหนี แต่เราต้องบุกเข้าไปในที่ที่มีภัย ดังนั้น เราต้องมีความพร้อมอยู่ในตัว ต้องทำประกันชีวิต ต้องดูแลกันเป็นทีม ทุกอย่างต้องได้รับการประเมินความเสี่ยงก่อน สภาพอากาศ สภาพร่างกายของทีมไหวไหม
คืออย่างน้อยๆ ทุกคนในทีมต้องผ่านการประเมินจากผมก่อนว่า ก่อนปฏิบัติงานคุณต้องมีสมรรถนะร่างกายเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ถึงทำได้ ใครอยู่ในสภาวะต่ำกว่านั้น จะจัดให้อยู่ในทีม logistic (ขนส่งกำลังบำรุง) ช่วยในด้านอื่นๆ แทน
เพราะงานนี้เป็นงานที่ต้องเสี่ยง ซึ่งอาจจะมีคุณสมบัติเรื่อง “ความใจถึง” กล้าเสี่ยงอยู่ 70 เปอร์เซ็นต์ แต่จะเอาเรื่องใจอย่างเดียวก็ไม่ได้ เราต้องเสี่ยงกันบนหลักการด้วย ไม่ใช่เสี่ยงโดยที่ไม่มีอะไรเลยมารองรับ และทุกคนก็ไม่สามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียว เพราะงานกู้ภัยคือการทำงานร่วมกันเป็นทีม จะบุกเดี่ยวแบบซูเปอร์แมนแล้วทำสำเร็จ แบบนั้นมันไม่มีแน่นอน
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กลุ่มของเราโตมากับการฝึกซ้อมและการทำงานประเภทนี้มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเคสน้ำท่วม ตึกถล่ม กรณีเกี่ยวกับการบรรเทาสาธารณภัย เราออกไปปฏิบัติหน้าที่มาโดยตลอด พอเคสนี้เกิดขึ้น เราเลยคิดว่าในทีมเรามีทั้งทีมเดินเท้า, ทีม Search and Rescue, ทีมพยาบาล, ทีมกู้ภัยในที่สูง และยังมีเครือข่ายที่อยู่ที่เกิดเหตุอยู่แล้ว ประเมินแล้วน่าจะมีศักยภาพเพียงพอ เราก็เลยตัดสินใจลงไปช่วย
และในระหว่างปฏิบัติงาน ทุกสิ่งที่พวกเราทำก็จะยึดหลักเรื่องความปลอดภัยของคนในทีมเป็นอันดับ 1 นักกู้ภัยต้องปลอดภัยเป็นอันดับแรกสุด นี่คือหัวใจหลักของการทำงานของเรา เพราะเรามองว่านักกู้ภัยต้องทำให้ตัวเองปลอดภัยให้ได้ก่อน ก่อนที่จะลงไปช่วยเหลือคนอื่น”
จุดแข็งของทีมกู้ภัยชุดนี้ก็คือ การรวมกลุ่มกับ “คนรู้มือ-เพื่อนรู้ใจ” ทำงานร่วมกับคนที่เคยฝึกและเคยลงพื้นที่ด้วยกันมาอย่างสม่ำเสมออยู่แล้ว ที่สำคัญคือการประสานงานกับกู้ภัยในพื้นที่ เพื่อเตรียมคนเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมก่อนนัดพบกัน ณ พื้นที่ประสบภัย โดยเริ่มฟอร์มทีมแรกกันที่จำนวนพล 13 นาย ซึ่งแต่ละรายเชี่ยวชาญหลากหลายด้านต่างกันไป กระทั่งมาสมทบได้ทีมใหญ่ รวมแล้วได้จำนวน 40 นายในภายหลัง
“กู้ภัยของจังหวัดอื่นเขาก็จะมีทีมของเขา ซึ่งเราสามารถปฏิบัติงานร่วมกันได้ แต่ทีมของเราเอง ที่ทำงานด้วยกันทั้งหมด 40 คนที่ลงพื้นที่ในครั้งนี้ คือทีมที่ถูกฝึกและเคยร่วมปฏิบัติงานกันมาโดยเฉพาะ เป็นเหมือนผู้ร่วมงานที่รู้มือกันน่ะครับ เพราะการลงพื้นที่แบบนี้ เราต้องรู้จริงและประเมินได้ มันไม่ใช่การซ้อมด้วยกันแล้ว
ก็ถือว่าเคสนี้เป็นความท้าทายที่สุดสำหรับทีมเราครั้งนึงเลยนะครับ ในเรื่องการลงพื้นที่ป่าเขาด้วยความยากลำบากแบบนี้ ตอนแรกคนในทีมก็มีลังเลกันอยู่เหมือนกันครับว่าจะยังไงดี แต่ผมบอกว่ายังไงก็ต้องไป ไปเพื่อได้เรียนรู้ ไปเพื่อได้กลับมาพัฒนา และจะได้เห็นจุดบอดของตัวเองด้วย ก่อนลงไปเราอาจจะบอกว่าเราเตรียมตัวไปเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว แต่พอลงไปเราก็รู้เลยว่ามันไม่ใช่ เรายังต้องเรียนรู้เรื่อง GPS และการใช้อุปกรณ์บางประเภทให้มากขึ้นด้วย
ความยากของเคสนี้คือ ถือเป็นแรกในไทยเลยที่มีคนจำนวนมากๆ ไปติดค้างอยู่ข้างในถ้ำ และเป็นพื้นที่ถ้ำที่มีขนาดใหญ่ มีพื้นที่ปกคลุมเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร พอฝ่ายต่างๆ เข้าไป เราเลยกลายเป็นแค่เซลล์นึง ที่ต้องทำหน้าที่ ณ จุดจุดนั้นของตัวเอง
ถ้าพิจารณาจากทางกายภาพภูมิศาสตร์ต่างๆ จะพบว่า มีเรื่องความลาดชัด-ความเสี่ยงเข้ามาเกี่ยวข้อง และทุกอย่างจะถูกหยิบมาประเมินทุกวัน ไม่ใช่ปฏิบัติการวันนั้นเสร็จแล้วจะจบเลย หลังจากลงพื้นที่ทำภารกิจเสร็จแต่ละวัน มาถึง 4-5 ทุ่ม เราก็ต้องกลับมานั่งประชุมกันก่อนว่าสิ่งที่ไปเจอคืออะไร มาลำดับเรื่องราวกันใหม่ มาเช็กอุปกรณ์ต่างๆ กันอีกครั้ง ก่อนที่จะลงพื้นที่กันต่อในวันต่อไป”
และเพื่อไม่ให้ภาระทุกอย่างมาไหลรวมอยู่ที่ “เล็ก” และ “ใหญ่” ในฐานะ “หัวหน้าทีม” และ “ผู้คุมภาพรวมของทีม” มากเกินไป นักกู้สถานการณ์ทุกคนที่เดินเท้าลงไปที่นั่น ก็ต้องช่วยกันรับผิดชอบชีวิตของตัวเองขั้นพื้นฐาน ด้วยการจัดสรรเสบียงของตัวเองอย่างเป็นระบบ อย่างที่เล็กช่วยยกตัวอย่างง่ายๆ เอาไว้ให้ฟังแบบนี้
“ที่นั่นเขามีข้าวให้เรา บางวันก็เป็นข้าวเหนียวหมูแดดเดียว บางวันก็ข้าวเหนียวกับน่องไก่ 2 ชิ้น หรือไม่ก็ข้าวเหนียวกับไข่เจียวถุงเล็กๆ เพราะเราต้องเลือกอาหารที่พกขึ้นไปง่ายๆ และอยู่ได้นาน จะได้ไม่เป็นปัญหา
แต่ส่วนใหญ่เราจะกินกันแค่มื้อละ 3-4 จกเองนะครับ อย่างมากผมเปิดถุงข้าวเหนียว ผมก็กินกับน้องๆ ก็มี จะเปิดกินกันเป็นชุดๆ จะไม่กินทิ้งกินขว้าง เพราะเราไม่รู้ว่าจะได้ลงไปเมื่อไหร่ นอกนั้นแต่ละคนก็จะมีน้ำในเป้พกติดตัวมากันคนละกระบอกประมาณ 700 ซีซี แล้วก็มีน้ำอีก 500 ซีซีเผื่อสำหรับภาวะฉุกเฉินด้วย”
[วิถีกู้ภัย กินอยู่ง่ายๆ กันกลางทาง]
ถึงตอนนี้ พลอาสาทั้ง 40 นายจากทีมของสองพี่น้องฝาแฝดทีมนี้ จะถอนกำลังออกมาจากพื้นที่เรียบร้อยแล้ว หลังภารกิจการ “ค้นหา 13 ชีวิตหมูป่า” สิ้นสุดลง แต่ยังมีพลังใหม่อีก 8 นายจากเครือข่าย "ใจถึงใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน" ที่เข้าไปช่วยหนุนแรงเจ้าหน้าที่ เพื่อทำภารกิจ “พาทีมหมูป่าออกจากถ้ำ” กันต่อไป
“วันนี้ที่พวกผมถอนกำลังส่วนใหญ่ออกมา เพราะเราล้ากันแล้ว และหลายๆ คนก็ต้องทำงาน ตอนนี้ก็เหลืออีกชุดนึง 8 คน ที่ขึ้นมาสมทบจากภูเก็ต เป็นทีมที่ยัง fresh อยู่ ก็จะให้เขาปฏิบัติการต่อ ซึ่งตอนนี้เขาก็รับหน้าที่สืบเสาะทางด้านนอกถ้ำกันต่ออยู่ครับ เผื่อจะไปฟลุกเจอโพรงอื่นที่ออกได้ เผื่อจะทำให้น้องๆ ออกมาได้โดยที่ไม่ต้องดำน้ำ”
เรียนรู้จากวิกฤต สะท้อน “ช่องโหว่” ระบบไทย
[ประวัติศาสตร์การกู้ชีพครั้งใหญ่ในไทย]
“ไม่เป็นปัญหาอะไรนะครับ” ใหญ่ช่วยยืนยันว่า การเป็นหนึ่งในหน่วยกู้ภัย คอยรับคำสั่งจากกองบัญชาการฟากทหาร เพื่อสานต่อแต่ละภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้ลุล่วง ไม่ทำให้เกิดอุปสรรคในการทำงานแต่อย่างใด เพราะพวกเขาถูกฝึกมาให้เคยชินกับการรับคำสั่งตามระบบขั้นตอนแบบนี้อยู่ก่อนแล้ว จากการเคยเข้าอบรมจากกองทัพเรือไทย
“พอไปถึงหน้างาน ผมก็มีหน้าที่ส่งใบรายละเอียดให้ทางการเลยว่า เรามีจำนวนนักกู้ภัยภาคประชาชนจากทีม "ใจถึงใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน" ทั้งหมดกี่รายชื่อ ความสามารถพิเศษของแต่ละคนมีอะไรบ้าง อุปกรณ์ที่จัดเตรียมมาคืออะไร ผู้ประสานงานมีใครบ้าง เข้ารายงานตัวและเขาก็จะแจ้งหมายมาให้เราว่าจะต้องทำอะไรบ้าง
และต้องแจ้งว่าที่อยู่ของเรา เราไปตั้งฐานอยู่กันที่ไหน ซึ่งเราก็จะเลือกที่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุมากครับ จะไม่เกิน 3-5 กิโล แต่เราจะไม่ไปพักกันที่หน้างานตรงนั้น เพราะไม่อยากไปรบกวนทางส่วนกลาง เลยจะแยกออกมารับผิดชอบตัวเองอีกที่นึง
แต่พอถึงเวลาปฏิบัติงาน เราก็จะไปประชุมรับงานที่จุดนัดหมาย และทุกจุดที่เราไป มันจะถูกขึ้นกระดาน ทุกรู ทุกพิกัด จะถูกบันทึกเป็นข้อมูล ถามว่าทำไมเราต้องรีเช็กทุกอย่างตลอด ทำไมต้องทำเครื่องหมายในแผนที่ว่าได้ไปแล้ว ก็เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงาน”
เพราะฉะนั้น ถ้าถามถึง “ช่องโหว่ของระบบระหว่างปฏิบัติภารกิจ” คงสามารถตอบได้ว่าไม่ใช่ปัญหา ถ้าวัดจากสายตาของผู้คุมภาพรวมของทีมอย่างใหญ่ แต่ส่วนที่เป็นปัญหา น่าจะเป็น “ช่องโหว่ของระบบใหญ่ ผู้รับผิดชอบภาวะภัยพิบัติ” เสียมากกว่า ถ้าวัดจากสายตาของหัวหน้าทีมผู้ปฏิบัติงานอย่างเล็กแล้ว
[สำรวจตาน้ำในถ้ำ หาทางดูดออก เพื่อลดระดับน้ำ]
“จริงๆ แล้ว บ้านเราก็มีหน่วยงานที่รับผิดชอบเวลาเกิดเหตุอะไรแบบนี้โดยตรงอยู่นะครับ คือหน่วยงาน ปภ. (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย) ซึ่งมีอยู่ 18 เขตทั่วประเทศ, มีกองทัพไทย แล้วก็หน่วยงานจากฝั่งตำรวจ แต่ถามว่าอะไรทำให้กำลังพลของเรายังไม่เพียงพอ เรื่องนี้ผมก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะเรื่องการบริหารจัดการด้วยหรือเปล่า
ถ้าเทียบกับต่างประเทศ เขาจะมีหน่วยงานที่ดูแลเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ เป็นหน่วยใหญ่เลย ซึ่งจะซอยย่อยออกไปเป็นหน่วยกู้ภัยประจำแต่ละรัฐ แต่ละเมือง และเวลาเกิดภัยพิบัติขนาดใหญ่ขึ้นมา เขาก็จะมี national guard ที่มีความสามารถในการเผชิญเรื่องภัยพิบัติเข้ามาดูแลโดยเฉพาะ ให้สามารถบริหารจัดการพื้นที่ แบ่งโซนออกเป็นเขียว, เหลือง, แดง หรือแม้แต่พื้นที่ติดเชื้อออกไปได้เลย
และถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากให้บ้านเมืองเรามีหน่วยงานโดยตรงแบบนั้นเหมือนกันครับ เพราะมันคือการทำงานของสายงานอาชีพโดยตรง ซึ่งย่อมต้องดีกว่าการดึงหน่วยงานอื่นที่ไม่ได้ถนัดเฉพาะทาง ลงมาช่วยดูแลด้านนี้อยู่แล้ว ยกตัวอย่างง่ายๆ เหมือนรถเบนซ์เสีย เราเอาไปซ่อมอู่โตโยต้า ถามว่าซ่อมได้ไหม ก็ซ่อมได้นะครับ แต่ถ้าไปซ่อมที่ที่ตรงสาขากว่า มันก็จะดีกว่า
เหมือนกับเวลาเกิดภัยพิบัติกรณีอะไรก็ตาม ถ้ามีหน่วยงานที่สามารถจำแนกให้ได้ว่า ถ้าเกิดเหตุขนาดนี้ ใช้กลุ่มคนนี้ก็พอ หรือถ้าภัยร้ายแรงถึงระดับ 3 หมายความว่ากลุ่มนี้ต้องออกมาช่วยเหลือแล้ว มันคือการบริหารงานในระดับประเทศที่ผมก็ยังคาดหวังว่าอยากจะให้มีระบบแบบนี้บ้างในเมืองไทยนะ
เพราะถึงแม้ทุกวันนี้จะมีทีมอาสาเข้ามาช่วยเหลือในเคสต่างๆ ได้ ช่วยหนุนกำลังของรัฐได้ แต่เราก็ยังเป็นกลุ่มอาสา ที่ไม่ใช่ว่าจะรวมตัวกันได้ทุกครั้งครับ พอเกิดเหตุอะไรขึ้นมา หลายๆ ครั้งมันก็เลยไม่มีตัวตายตัวแทน
แต่ถ้ามีหน่วยงานที่มีกำลังคนดูแลด้านนี้โดยตรงคอยสแตนด์บายอยู่แล้ว มีคนที่เขามีค่าเบี้ยเลี้ยง มีการฝึกเฉพาะทางอยู่แล้ว เมื่อสถานการณ์ต้องการกำลังเจ้าหน้าที่กู้ภัย 1,000 คน ทางการก็จะสามารถส่งให้ได้ แต่ทุกวันนี้เรายังต้องอาศัยการสมทบกันเป็นหลัก ซึ่งอาจจะยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องตัวระบบ”
อีกหนึ่งบทสะท้อนที่วิกฤตนี้ช่วยชี้ให้เห็นชัดมากขึ้น ก็คือเรื่อง “วิธีการเอาตัวรอดในภัยพิบัติ” ที่ดูเหมือนว่าจะหลบลี้หนีหายไปจากระบบการเรียนการสอนตามหลักสูตรการศึกษาไทย เหลือไว้แค่เพียงการสอนการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่านักเรียนในชั้นจะจบออกมาปฏิบัติจริงได้มากน้อยแค่ไหน ใหญ่จึงถือโอกาสหยิบ “บทเรียนจากทีมหมูป่า” ขึ้นมา เพื่อเตือนใจคนในสังคม
“คำตอบของทุกคนเรารู้อยู่แล้วครับว่า จุดไหนเป็นที่เสี่ยงภัยหรือไม่เสี่ยง แต่คนเรามักจะหลงลืมไปว่ามันคืออะไรมากกว่า แต่สิ่งนึงที่สำคัญและอยากจะให้ประชาชนทุกคนได้รับรู้ก็คือ วิชาการเอาตัวรอดในพื้นที่ภัยพิบัติ
ทางทีมใจถึงใจฯ ของเราก็เห็นความสำคัญเรื่องนี้ ถึงได้มีลงไปสอนฟรีให้น้องๆ ช่วงปิดเทอมตามที่ต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ตลอดช่วง 2-3 ปีนี้ว่า "การตะโกน-โยน-ยื่น" คืออะไร การทำ CPR ปั๊มหัวใจทำยังไง
จากกรณีนี้ที่น้องๆ ทีมหมูป่าทุกคนเอาตัวรอดมาได้ ถึงแม้จะไม่ได้กินอะไรเป็นเวลา 9 วัน ผมถือว่าเป็นตัวอย่างสุดยอดมากเลยครับ ถือเป็นเคสที่เราอยากจะเรียนรู้จากเลยว่า เขาทำยังไงตอนอยู่ในที่มืด เขาใช้วิธีไหนที่จะเชื่อมโยงกัน เพื่อให้รู้ว่าทั้ง 13 คนยังอยู่ และมีวิธีทำยังไงให้สติไม่แตก รวมถึงการสร้างภาวะผู้นำของคนในนั้นที่ให้กำลังใจกันเป็นแบบไหน
ถ้าเป็นไปได้ก็หวังว่าประสบการณ์ที่น้องได้เข้าไปอยู่ในนั้น จะได้มีโอกาสได้เผยแพร่ให้คนอื่นๆ ได้รับรู้ คนในสังคมจะได้รู้ว่าการเอาตัวรอดในพื้นที่อับ และการอยู่รอดให้ได้ในภาวะวิกฤตเป็นระยะเวลานานๆ ซึ่งมันจะเป็นประโยชน์มากต่อทีมนักกู้ภัยที่จะเข้าไปในพื้นที่ รวมถึงประชาชนทั่วไปที่จะได้รับข่าวสารด้วย
นี่คงเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งในประวัติศาสตร์ไทย ที่มีเรื่องราวอะไรแบบนี้เกิดขึ้นมา เพราะส่วนใหญ่เราจะพบในต่างประเทศเสียมากกว่า แต่ก็อยากจะให้ทุกคนเป็นกำลังใจให้ทุกฝ่ายครับ ในส่วนของผมคงไม่มีอะไรมาก นอกจากจะบอกว่า ขอแสดงความยินดีกับน้องๆ ด้วยที่อดทนมาจนถึงตอนนี้ และในฐานะนักกู้ภัย ก็ต้องชื่นชมเรื่องการเอาตัวรอดของน้องๆ และโค้ชเลย ต้องบอกว่าเขาเจ๋งมากจริงๆ”
“ชีวิตของทุกคนมีค่าเสมอ จงให้กำลังใจกันเมื่อเกิดภัยพิบัติ” คือบทสรุปที่แฝดผู้พี่ขอฝากเอาไว้ให้คนไทยหลายๆ คน โดยเฉพาะคนที่ยังคงใช้ “อคติ” ตัดสินชีวิตคนอื่นๆ อยู่ เช่นเดียวกับแฝดผู้น้องที่ฝากทิ้งท้ายเอาไว้ว่า อย่างน้อยๆ ถ้าช่วยเหลืออะไรเขาไม่ได้ ขอแค่อย่าซ้ำเติมหรือบั่นทอนกำลังใจกันลงไปก็พอแล้ว “เพราะทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมีลมหายใจอยู่ต่อไป จงให้สิ่งที่เรียกว่า "ความรักและความสามัคคี" แก่กันดีกว่าครับ”
“หน่วยซีล” ไอดอลการกู้ภัยที่เจ๋งที่สุด!! [“ใหญ่” เมื่อครั้งฝึกหลักสูตรกับทางกองทัพเรือ] ใหญ่: ผมชอบความเป็นกองทัพเรืออยู่แล้วครับ แล้วก็ฝึกกับที่นั่นมาโดยตลอด เคยได้เจอพี่ๆ หน่วยซีลตั้งแต่ตอนฝึก และตั้งแต่ตอนไปเป็นทหาร เราก็รู้สึกว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดี ทีมใจถึงใจฯ ของเราเอง ก็พยายามฝึกโดยยึดหลักการมาจากหน่วยซีลมาโดยตลอด ในรูปแบบความอึด ความอดทน และการอยู่กันแบบฉันท์พี่น้อง การเข้าใจและการให้โดยถูกต้อง ยิ่งได้มาทำงานแบบนี้ เรายิ่งรู้สึกว่าเราได้ประโยชน์จากที่เคยฝึกกับเขามากๆ และภาษาที่เขาใช้ กับภาษาที่เราใช้ในทีม เราก็คล้ายกับเขามาก เพราะเรายึดมั่นเหมือนกัน คือเชื่อว่าจะต้องทำให้สำเร็จ เล็ก: ล่าสุดที่มีอบรมแผน ทร.61 ฝึกเผชิญภัยพิบัติที่ภูเก็ต ทีมเราก็เป็นทีมเอกชนทีมเดียว ที่ได้ลงเรืออ่างทอง อ้อมช่องแคบมะละกา 5 วันไปถึงภูเก็ตเพื่อไปฝึก เพราะฉะนั้น ความประทับใจกับทางกองทัพเรือเรามีอยู่แล้ว ยิ่งได้มาร่วมงาน ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติเดียวกับหน่วยซีล ยิ่งทำให้รู้สึกดีครับ เพราะเด็กผู้ชายหลายๆ คนก็มีความใฝ่ฝันกันอยู่แล้วว่า เราอยากร่วมทีมกับหน่วยที่สุดยอดที่สุดในประเทศ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ใช่อย่างเขา แต่เราก็ได้ทำงานกับเขา ได้เดินไปกับเขา ได้เห็น ได้เรียนรู้ไปกับเขา ส่วนใหญ่เขาจะไม่สอนเราเหมือนครูหรอกครับ แต่เขาจะทำให้ดู จะแนะให้เห็นเลยมากกว่า วิธีเดินขึ้นผาแบบไหนที่ถูกต้องเขาก็จะบอก ให้เดินเฉียงตัวนะ อย่าเดินลงหน้า เขาก็จะช่วยแนะทุกอย่าง เราก็ได้เรียนรู้ไปในตัวด้วย มันจะมีคำนึงที่พวกผมใช้กันเสมอเวลาฝึกเลยก็คือ คำว่า "ฮูย่า" (ศัพท์เฉพาะสำหรับหน่วยซีล ใช้เรียกขวัญและกำลังใจ ขานรับภารกิจแสดงความพร้อม) เรื่องหลักการปฏิบัติที่หยิบมาก็คือต้องมีระเบียบ, วินัย, กล้าหาญ, อดทน เพื่อชาติ, ศาสนา, พระมหากษัตริย์ และมวลมนุษยชาติ |
ไม่เคย “รับบริจาค” ไม่หวังพึ่ง “น้ำบ่อหน้า” ใหญ่: เวลาลงพื้นที่ในแต่ละครั้ง เราจะไม่มีการไปหวังพึ่งข้างหน้า ไม่มีการเปิดรับบริจาคอะไรเลยครับ อย่างพอเกิดเคสนี้ขึ้นมา น้องๆ อาสาในพื้นที่ที่เข้าไป 2 วันแรก เขาจะส่งรายงานขอความช่วยเหลือมายังว่า ให้ช่วยเตรียมกำลัง ประกอบไปด้วยชุดนักกู้ภัยที่สูง, ชุดเดินป่า หรือแม้แต่อุปกรณ์ที่ใช้เกี่ยวเวลาขึ้นเขา เราก็เตรียมทุกอย่างที่เรามีไป ของทุกอย่างในทีมใจถึงใจฯ เป็นสิ่งที่ได้จากเงินส่วนตัว จากการลงขันกันทั้งหมดเลยนะครับ อย่างการลงพื้นที่ครั้งนี้ ทุกคนที่ไปก็ลงเงินกันคนละ 1,000 เพื่อเป็นค่าน้ำมัน ค่าข้าว เนื่องจากเราเป็นภาคประชาชน เราก็ต้องใช้วิธีการค่อยๆ สะสมเงิน แล้วก็ไปซื้อสิ่งนั้นมา แม้แต่เรื่องที่พักครั้งนี้ก็ได้ไปพักกันที่ที่ทำการผู้ใหญ่บ้านครับ ท่านให้เราไปพักฟรี แต่เราก็ให้เงินค่าน้ำค่าไฟท่านด้วย จริงๆ เขาจะไม่รับหรอกครับ แต่เราไปหลายวัน เราก็เกรงใจเขา ไป 8-9 วัน แต่ให้เขา 2,000 เองนะ (หัวเราะ) ส่วนสาเหตุที่ไม่เปิดรับบริจาค เพราะปกติแล้วพวกเรามีอาชีพการงานทำกันอยู่แล้ว แต่ที่เรามาทำตรงนี้ เพราะมันเป็นสิ่งที่พวกเราชอบ พวกเรารัก มีความสุขเมื่อเราได้ทำสิ่งที่นอกเหนือจากงานเลี้ยงชีพของตัวเอง เหมือนเป็นการตอบสนองความต้องการของพวกเราเอง เราก็เลยไม่ได้รู้สึกอยากจะได้เงินของใคร เรารู้สึกเสมอว่า ถ้าเลือกจะมาทำตรงนี้แล้ว เราก็ไม่อยากจะมีใครมาครหา และเราก็มองว่าคำว่า "อาสา" มันคือการเสนอตัวมาทำ ดังนั้น เราจะมาเรียกร้องอะไร ถ้าอยากได้อะไรก็ต้องทำเอง มันเหมือนคุณชอบขับรถ off road คุณจะมาบอกคนอื่นได้ไหมว่า คุณอยากซื้อรถเพื่อจะขับเข้าป่า ทุกคนช่วยกันมาบริจาคหน่อย ฉันชอบ มันก็ไม่ใช่ไงครับ แต่ถ้าเรามีรถแล้ว จะเดินทางไปแล้ว จะเอาของไปบริจาคให้เด็กๆ ในชนบท แล้วมาโพสต์บอกคนอื่นๆ ว่า ใครอยากฝากของได้ อันนั้นมันก็อีกเรื่องนึง สิ่งที่เราทำกันอยู่ เราไม่ได้เบี้ยเลี้ยงอะไรจากมัน และเราก็ไม่ได้เปิดเป็นมูลนิธิด้วย พอเราเสร็จงาน ทุกคนก็แยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง พอว่างเสาร์-อาทิตย์ ทุกคนก็มารวมตัวกัน เราแค่มีความสุขกับสิ่งที่เราทำ น้องๆ บางคนในทีมแจ้งมาว่า อยู่ได้แค่อีก 2 วัน ได้อีก 1 วันนะ เราก็โอเคหมด ขอแค่ทุกคนมีน้ำใจมาช่วยเหลือกัน แค่นั้นมันก็จบแล้ว |
ไม่แคร์คำครหา “ทำดีเอาหน้า” ใหญ่: ในฐานะที่ผมเป็นดารา ผมจะมีความรู้สึกอยู่เสมอเรื่องกลัวคนอื่นจะมองว่า ผมจะเข้ามากอบโกยเอาอะไรจากตรงนี้ สร้างภาพ สร้างชื่อเสียงหรือเปล่า แต่ในทีมของผมก็จะให้กำลังใจกันเสมอว่า พวกเราอยู่กันมาตั้ง 4 ปี เสี่ยงตายกันมาก็เยอะ พวกผมทุกคนรู้ว่าพวกพี่ใหญ่คือใคร ทำอะไร เรารู้กันอยู่ในกลุ่มเรากันเองก็พอแล้ว อย่าไปสนใจคนอื่น และทุกวันนี้ ผมก็อยู่กับความสุขตรงนี้แหละครับ และมันก็ทำให้เกิดกำลังใจ แค่นั้นเองครับ เล็ก: มันคงต้องมีอยู่แล้วครับคนที่คิดว่าเราจะเอาหน้าอะไรแบบนั้น แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ ในส่วนที่ผมไลฟ์หน้าถ้ำ ผมก็ไลฟ์สั้นๆ ในกรณีที่เราทำได้ เพื่อเป็นการเก็บ record ในเฟซบุ๊กส่วนตัว เพราะผมมองว่ามันคือการบันทึกเหตุการณ์ที่ดี ที่จะไม่ได้เกิดขึ้นซ้ำอีก คำพูดคนมันผิดเพี้ยนไปได้ แต่ถ้าเราถ่ายไว้ ภาพมันฟ้องด้วยตัวมันเอง ในสภาวะที่ข่าวลือ ข่าวลวง ข่าวหลอกมันถูกปล่อยออกมาเยอะมากขณะนั้น ผมมองว่าในเมื่อคนเขาให้ความมั่นใจเรา ในฐานะที่เราสวมหมวกหลายใบ เป็นดาราด้วย เป็นกู้ภัยด้วย เราก็ใช้สิ่งเหล่านั้นแหละครับบอกให้ประชาชนรู้ว่า สิ่งที่เราได้เจอในความเป็นจริงเป็นยังไง จริงๆ แล้ว งานนี้ทุกคนช่วยกันลุยอย่างสุดแรงหมดแหละครับ ทั้งทหาร ตำรวจ อาสา ฯลฯ แต่แต่ละคนก็มีคนรู้จักไม่เท่ากัน เราไม่ได้จะบอกว่าเราเป็นดาราแล้ว เก่งกว่า ดีกว่า แต่เผอิญจุดที่เรายืนอยู่ตรงนี้ มีคนตามอยู่มากกว่า มันก็ไม่ผิดที่จะพูดแล้วมีคนฟังมากกว่า เลยไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาอิจฉาอะไรกัน |
มองตารู้ใจ สู้ต่อไปด้วย “รอยยิ้ม” เล็ก: ถามว่าเรามีวิธีให้กำลังใจกันยังไงระหว่างคนในทีมเหรอครับ มันไม่มีคำพูดเลยครับ กำลังใจของคนในทีม มันไม่เหมือนเวลาดูในหนังที่หันมาพูดกันว่า "เฮ้ย.. สู้ๆ นะ" เหมือนเรามองตากันแล้วก็รู้ใจ ในเมื่อผมยังเดิน น้องๆ ก็ยังเดิน ทุกคนในทีมจะรู้กันไปโดยปริยาย เราจะไม่มีช็อตดรามาอะไรกันแบบนั้น ทุกคนก็ทำภารกิจด้วยกัน พอเสร็จก็กลับมาประชุม กว่าจะแยกย้ายกันเสร็จก็เที่ยงคืน ตี 1 ตื่นมาอีกที 6 โมงเช้าก็เริ่มเฮฮากันแล้ว เตรียมตัวใส่เสื้อผ้า ชุดยังไม่แห้ง ชุดเหม็นก็ต้องใส่ ชีวิตมันก็เป็นอย่างนี้ แต่ถึงสถานการณ์จะเคร่งเครียดขนาดไหน เราจะพยายามหัวเราะไปกับมันให้ได้ อย่างที่ในหลวง (ร.๙) ได้ตรัสไว้ไงครับว่า ทุกเรื่องมันต้องใส่ความสนุกเข้าไปด้วย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเอาเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว มาทำให้มันน่าตลก เราก็ต้องรู้กาลเทศะ รู้ช่วงเวลา รู้กลุ่มคน ไม่ใช่ไปยืนหัวเราะแถวๆ พ่อแม่ผู้ปกครองน้องๆ ที่กำลังเครียด มันก็ไม่ใช่ เรื่องที่เราแซวกัน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องที่เกิดในเหตุการณ์ เช่น ลื่นก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น, คนเดินข้างหน้าปล่อยมือจากกิ่งไม้ มาฟาดหน้าเพื่อนไม่ดู ฯลฯ ก็จะมีอะไรขำๆ แบบนี้แหละครับที่จะลงในเฟซฯ ใหญ่: ก่อนที่ทุกคนจะมา มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอยู่แล้วครับว่า เราจะต้องมาทำอะไร งานที่เรามามันคืออะไร มันไม่ใช่งานสบาย มันคืองานกู้ภัย ดังนั้น ทุกคนจะมีใจที่พร้อมสู้อยู่แล้ว เพราะเราถูกฝึกมาแบบนี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ทุกคนจะรู้หน้าที่ของแต่ละบุคคล โดยที่เราไม่ต้องมานั่งพูดอะไรกันหน้างานอีก เพราะนี่คือการปฏิบัติการ ลงพื้นที่จริง มันไม่ใช่งานซ้อม คืองานที่จะต้องใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณฝึกมา ต้องหยิบเอาความชำนาญการในตัวแต่ละคนมาใช้ให้เกิดประโยชน์ที่สุด เราไม่สามารถจะมาลองผิดลองถูกกันได้อีกต่อไป |
จุดประกาย “อาสา” เพราะซึมซับ “การให้” เล็ก: ผมเริ่มเป็นกู้ภัยตั้งแต่อายุ 19 แล้วครับ ถามว่าอะไรจุดประกายเราให้มาทางสายนี้ คิดว่ามันน่าจะเริ่มมาจากการมองเห็นพ่อแม่ของตัวเอง แล้วเกิดความสงสัยในสิ่งที่เขาทำ ทำไมเวลาทำกับข้าวต้องทำเผื่อบ้านอื่น ทำไมแม่ต้องเอาของไหว้เจ้าที่ซื้อมาเองตั้งเยอะแยะไปแจกคนอื่น ทำไมไม่เอากลับมากินเองทั้งหมด แต่เราก็ได้เรียนรู้ไปเรื่อยๆ จนเข้าใจว่า อ๋อ..นั่นคือ "การให้" ถ้าจะถามว่าอะไรจุดประกายให้ผมมาเป็นกู้ภัย ผมว่าน่าจะมาจากตรงนี้แหละครับ มาจากการซึมซับของเราตั้งแต่เด็ก บวกกับความที่เราเป็นเด็กผู้ชายที่ชอบการผจญภัย พอได้เห็น ได้เรียนรู้ ได้ไปเจอเหตุการณ์จริง ก็ยิ่งเสพติดความช่วยเหลือ จนเรารู้สึกอยากพัฒนามันไปเรื่อยๆ เรามานั่งคิดกับตัวเองว่า ถ้าเราอยากลงพื้นที่ แต่ไม่มีความรู้ อาจจะทำได้แค่เบื้องต้น ช่วยเป่านกหวีด แต่ถ้ามีความรู้มากกว่านั้น เราก็จะได้เข้าไปช่วยในเรื่องที่ลึกกว่านั้นมากขึ้น ก็เลยเป็นที่มาที่ทำให้เราอยากเข้าอบรม อยากศึกษาทางด้านนี้ไปเรื่อยๆ ถ้าใครอยากมาทางสายนี้ สำคัญที่สุดคือ “ความชอบ” ครับ อย่าทำเพื่อให้ได้ทำ เพราะถ้าเราเริ่มจากความชอบก่อน เดี๋ยวทุกอย่างมันจะมีทางของมันต่อไปได้เองอีกเรื่อยๆ แต่จริงๆ แล้วผมมองว่าคุณชอบอะไร คุณก็ทำเพื่อสังคมได้เหมือนกันนะ ไม่จำเป็นต้องมาเป็นกู้ภัยก็ได้ ถ้าคุณชอบต้นไม้ อยากจะปลูกต้นไม้ให้ประเทศ คุณก็สามารถทำมันได้เลย หรือเดินเจอขยะ เก็บใส่ถังขยะ นั่นก็คือการทำความดี เป็นการช่วยประเทศเหมือนกัน ผมเองไม่เคยมองว่าตัวเองยิ่งใหญ่หรือเป็นผู้นำอะไรทางด้านนี้ ผมแค่มองว่าผมมีความสุขในสิ่งที่ทำ แค่นั้นเอง ใครจะมองยังไงผมไม่รู้ และไม่มีเวลาจะไปอธิบายคนเหล่านั้น แต่ผมอธิบายตัวเองได้แล้วว่า ผมชอบแบบนี้ |
บทเรียนจาก “ลมหายใจสุดท้าย” เล็ก: พอมาทำตรงนี้ มันมีหลายเหตุการณ์ในชีวิตเลยที่ทำให้เรามองหลายๆ อย่างไปในมุมบวก มองอย่างมีความหวังเสมอ อย่างเหตุการณ์ตอนตึกถล่มที่คลอง 6 เราเจอ พี่เชษฐ์ (เชษฐา กำพูชาติ) ตั้งแต่ตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ ช่วง 6 โมงเย็นเราได้คุยกับเขา ส่งสายน้ำเกลือเข้าไปช่วย ได้มองตาเขา วิธีการที่เราช่วย เราจะสกัดหิน เลยยื่นผ้าให้เขาเอาไปปิดหน้า เขาบอกไม่เอา พี่อยากเห็นน้องๆ ช่วยพี่ เราเห็นตั้งแต่อาการเปลี่ยนแปลง ม่านตาเปิด มีการไอเป็นเลือดสีดำ จนถึงวาระสุดท้ายของเขาที่อยู่ต่อหน้า ห่างกันแค่ 2 เมตร เห็นสภาวะที่แตกต่างกันกับเรา เราอยู่ตรงนั้น เราจะออกเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เขาออกไม่ได้ มันเลยทำให้เราเรียนรู้ว่าทุกคนมีความหวัง แม้กระทั่งในเหตุการณ์ที่คับขัน ผมเลยมองว่าความหวังเป็นสิ่งสำคัญในการที่เราจะช่วยเหลือคนน่ะครับ คนอื่นจะคิดยังไงไม่รู้นะ แต่ผมมองในมุมนี้จากที่ผมเคยเจอมาหลายๆ เหตุการณ์ ถึงแม้ว่าครั้งนั้น พี่เชษฐ์จะเสียชีวิต แต่เราก็ยังคงดำเนินการต่อ จนนำร่างเขาออกมาให้ได้ เราก็ทำกันจนจบภารกิจ ตามที่ผมสัญญากับพี่เขาไว้แล้วว่า ผมจะพาพี่ออกมาให้ได้นะ แม้ร่างของเขาจะไม่มีลมหายใจแล้วก็ตาม |
สัมภาษณ์โดย ผู้จัดการ Live
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ขอบคุณภาพ: เฟซบุ๊ก "Alex Marine Junyatanakorn" และ "Fundee Junyatanakron"
https://www.facebook.com/goldrush.somuch