ตบหน้า-สับเละ!! ย้อนคำพูดคนทรงเจ้าเด็กไม่หายใจแล้ว กูรูซัดคำพูดเชื่อไม่ได้ ฟันธงนี่คืออาการทางจิตชอบมโนภาพ
ร่างทรงระบุ 13 ชีวิตได้ตายแล้ว?
[ร่างทรงปู่พิฆเนศ]
“เด็กคนหนึ่งกำลังทุกข์ทรมาน อยากกลับบ้าน ข้างในมืด กำลังจะหมดลมหายใจแล้ว" นี่คือคำพูดของคนที่แต่งกายชุดสีน้ำตาล พร้อมลูกประคำ อ้างว่าเป็นร่างทรงปู่พิฆเนศ ได้พูดถึงเด็กทั้ง 13 คนที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง ซึ่งร่างทรงนี้ได้ไปลงพื้นที่ และไปพบกับญาติน้องๆ ที่ติดอยู่ในถ้ำด้วยตัวเอง ทำให้บรรดาญาติผู้ปกครองตื่นตระหนก และใจเสียเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น
เห็นได้ชัดว่าคำพูดของคนที่แอบอ้างว่าเป็นร่างปู่พิฆเนศนั้น ไม่เป็นความจริง และเชื่อถือไม่ได้ เพราะปัจจุบันน้องๆทั้ง 13 คนปลอดภัย และกำลังได้รับความช่วยเหลือให้ออกมา รวมทั้งเมื่อเห็นคลิปที่หน่วยซีลแชร์ออกมาเห็นชัดว่าเด็กๆไม่เห็นจะทรมานเหมือนที่ร่างทรงแอบอ้าง
[ภาพน้องๆ ทั้ง13คน]
นอกจากนี้ยังมีหมอปลาย - ณวรชา พินิจโภคากร หมอดูที่แอบอ้างว่าเห็นญาณน้องๆ ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก'หมอปลาย ณวรชา' โดยมีข้อความแนะนำให้ผู้ปกครองของเด็ก ที่มีชื่อขึ้นต้นด้วย ด ,บ ลักษณะผอมหน้ายาวผมสั้นคล้ายทรง skin head ไปจุดธูป 9 ดอกที่ศาล ขอให้สิ่งลี้ลับให้อโหสิกรรม และให้กลับออกมาแบบตัวเป็นๆอาการครบ 32 จนกลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์
หลังจากที่มีการแชร์ และวิจารณ์หนักถึงเรื่องราวร่างทรงในโซเชียลฯทางด้าน ใหญ่-ฝันดี จรรยาธร ดาราที่ลงไปช่วยเหลือในพื้นที่จริง ก็เคยได้ออกมาLiveผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Fundee Junyatanakron" เอาไว้ตั้งแต่ช่วงที่ยังไม่เจอตัวน้องๆเช่นกัน
[ใหญ่-ฝันดี]
“มีหลายคนส่งมาหาผมเยอะมาก เรื่องร่างทรง บอกว่าถ้าเป็นพี่ใหญ่ไปเจอในสถานการณ์แบบนี้ พี่ใหญ่จะทำยังไง ผมก็ตอบไม่ได้นะครับ อาจจะกระโดดถีบอย่างเดียว (หัวเราะ)คือผมมีความเชื่อถือในเรื่องพวกนี้พอสมควรนะ แต่บางสิ่งบางอย่างมันก็ไม่สมควรจะพูดหรือเปล่า หรือว่ายังไง มันไม่ใช่เรื่องจริงๆ"
ตอนนี้ผู้ปกครองเขาต้องการกำลังใจ ทุกคนที่ยืนอยู่ตรงปากถ้ำ หรือเจ้าหน้าที่ทุกคนอยากจะเข้าไปช่วยเหลืออยู่แล้ว ด้วยความสามารถและอุปกรณ์ที่มีอยู่ แต่ถ้าคุณจะไปแบบนี้ ผมคิดว่าองค์พ่อพระพิฆเนศคงจะไม่เห็นดีเห็นงามในสิ่งที่คุณทำแน่นอน ผมคิดว่าสิ่งที่คุณไปพูดไม่ใช่แน่นอน ผมคิดว่าสิ่งที่คุณพูดมันคือผี คือมาร คือซาตาน ที่ไปทำให้จิตใจของคนที่กำลังมีความหวังอยู่ รู้สึกแย่ลงไป”
ทั้งนี้ใหญ่ ได้บอกว่าทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างต้องการกำลังใจ และอยากจะเข้าไปช่วยเหลือน้องๆ ไม่ควรเข้ามาสร้างความวุ่นวาย และทำให้สถานการณ์หลายๆอย่างแย่ลง
“เราต้องให้กำลังใจและทำในสิ่งที่ถูกต้องกันมากกว่า เราต้องใช้หลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างในจิตวิทยาเข้าไปช่วย ถ้าผมอยู่ตรงหน้างาน แล้วไปเห็นอะไรแบบนี้ ผมจะเข้าไปจัดการให้ ไม่ได้ลบหลู่นะครับ เพราะผมนับถืออยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นแบบนี้ มันไม่ใช่ ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าเทพเทวดาแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่สมควรทั้งสิ้น”
กูรูฟังธง!สิ่งเหล่านี้คือการมโน
“เป็นความเข้าใจผิดโดยเกิดจากใช้การอุปาทานของตัวเองเป็นตัวตั้งทั้งนั้น ฟันธงว่าคนที่เป็นร่างทรงที่ถ้ำนั้นมีอาการทางจิตอยู่”
ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์ นักวิชาการศาสนวิทยาและปรัชญา ช่วยวิเคราห์ภาพรวมสิ่งที่เกิดขึ้น ให้ทีมข่าวผู้จัดการLive ผ่านปลายสาย โดนฟันธงว่า สิ่งที่คนทรงเจ้าพูดนั้นไม่จริงหรอก เพราปัจจุบันก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่าน้องทั้ง13คนยังมีชีวิตอยู่ สิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องที่นึกคิดขึ้นมาเอง
“มันก็แล้วแต่ว่าใครรู้สึก หรือรับรู้สัญญาณมาอย่างไร เขาก็ว่ามาอย่างนั้น มันเป็นความเชื่อของเขา
คนที่ไปร้องห่มร้องไห้ ไปที่พื้นที่นั้นมีอยู่คนเดียวเลย ซึ่งเป็นอาการที่เล่นใหญ่ ดูเป็นการแสดงความรู้สึก และการแสดงออกที่มากเกินไป จะโทษร่างทรงเยอะแยะเพราะคนเดียวไม่ได้ พระหรือคนอื่นๆก็ไปเหมือนกัน”
[ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์]
หลายคนสงสัยว่าสิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงเรื่องราวอะไรบ้าง ดร.ศิลป์ชัยได้บอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงความเชื่อที่มีอยู่ของคนไทยมาช้านาน รวมถึงวัฒนธรรมไทย ระเบียบพิธีกรรม ราชพิธี ซึ่งรัฐบาลก็เอื้อสิ่งเหล่านี้อยู่ คงเป็นเรื่องยากถ้าหากจะให้สิ่งเหล่านี้หายไป
“ปรากฏการณ์ทั้งหมดนี้มันเป็นสิ่งที่สะท้อนสภาวะการพึ่งพาในความเชื่อในเชิงศาสนา และไสยศาสตร์ของคนไทยเป็นปกติ เพราะเวลาคนที่พึ่งพาอะไรไม่ได้ พอถึงยามเข้าตาจนเนี่ยมันก็ต้องเอาทุกทาง ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่คนไทยจะนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ยิ่งในเวลาที่คับขันมีความเป็นความตาย ทั้งเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องดังในระดับชาติมาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว ยิ่งต้องพึ่งพาใหญ่เลย แล้วจะมีบุคคลฝ่ายต่างๆออกมามีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นร่างทรง,หมอไสยศาสตร์ ,หมอดู,พระ หรือเกอิอาจารย์ ดังนั้นคนไทยพึ่งพิงสิ่งเหล่านี้อยู่แล้วในชีวิตของเขาอยู่แล้ว และคงเลิกไม่ได้”
เพื่อให้ได้เห็นข้อมูลในหลายๆด้านทีมข่าวจึงได้ติดต่อไปยังเพจ 'FuckGhost ฟักโกสต์ สมาคมต่อต้านสิ่งงมงาย'
ซึ่งแอดมินเพจได้แสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของการมโน ไม่มีคนไหนมีญาณทิพย์จริงๆ
“ร่างทรงเป็นการมโน มโนจากความรู้สึกของเขาว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้นว่าจะเป็นอย่างนี้ คือเขารับทราบข้อมูลโดยที่ตัวเองอาจจะแบบว่าไม่ได้อยู่ในพื้นที่อะไร อาจจะมาจากหลักการคือน้ำท่วม เด็กเข้าไปติดหลายวัน มโนภาพมันก็ออกมาว่าไม่น่าจะรอด”
เมื่อถามถึงเหตุการณ์ที่มีร่างทรงออกมาพูดแบบนี้สะท้อนให้เห็นอะไรออกมาบ้าง แอดมินคนเดิมได้บอกว่า การที่เขาออกมาแบบนี้ ทำให้คนนั้นเริ่มไม่เชื่อในตัวร่างทรงมากขึ้น เพราะปัจจุบันภาพลักษณ์ของร่างทรงมีแต่สิ่งที่ไม่ดีออกมา
“ถ้าเป็นเมื่อก่อน พอพูดออกไป ก็อาจจะดูแล้วน่าเชื่อถือ แต่ตอนนี้สังคมยิ่งตีหน้าเรื่องของร่างทรงอยู่ พอพูดปุ๊ป แทนที่คนจะฟัง กลับเป็นว่าเป็นสิ่งที่ต่อต้านอัตโนมัติเลย
ร่างทรงไม่ได้มีญาณวิเศษ หรืออะไรไปมากกว่าชาวบ้านเลย แค่มโนขึ้นมา เพราะมันก็ปรากฏออกมาแล้วว่า คำพูดนั้นมันไม่จริงอย่างที่กล่าวอ้าง ตามสื่อ ตามข่าว ตอนนี้เด็กๆ ก็ปลอดภัยดี มันเป็นปัญหายาวนานมากสำหรับความเชื่อ ที่ทำให้คนเกิดความงมงาย หวาดกลัว เกิดความวิตกด้วย มันอาจจริงบ้าง และไม่จริงบ้าง คือมันทำให้เจ้าหน้าที่ทำงานลำบากจากการที่ประกาศสิ่งเหล่านั้นออกไปด้วย”
นอกจากนี้แหล่งข่าวคนเดิมได้ทิ้งท้ายด้วยว่าปัญหาเหล่านี้มีมานาน อยากให้มีกฎหมายสามารถเอาผิดกับคนกลุ่มนี้ได้ เพราะปัจจุบันมีร่างทรงออกมาปรากฏในสังคมเยอะ
“ไม่ใช่แค่กรณีของร่างทรงอย่างเดียว แต่มีกรณีของพระหลายรูปที่เข้ามาพัวพัน เข้ามาทำพิธีการด้วยก็ไม่ต่างอะไรจากร่างทรง แค่ใส่จีวรพระ พูดเหมือนกัน แต่ไม่มีกล้าว่า อยากขอความร่วมมือไม่ว่าจะเป็นสื่อ หรือประชาชน ต้องออกมาช่วยกัน แสดงความคิดเห็นด้วยกับกรณีที่ออกมาพูดแบบนี้ ถ้าไม่ช่วยกันก็คงไม่หยุดหรอก เขาก็พูดในเฟซบุ๊ก หรือพูดผ่านสื่อลอยๆขึ้นมาอีก เพราะคงไม่มีกฏหมายอะไรที่จะไปจำกัดสิทธิในการแสดงความคิดเห็นของเขาได้”
ขอบคุณภาพ: เฟซบุ๊ก “Fundee Junyatanakron”