xs
xsm
sm
md
lg

โกนหัว-ละทางโลก-ปิดวาจา “กิ๊ก-มยุริญ” ลมหายใจวันนี้คือธรรมะ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


แล้วก็มาถึงวันที่เจ้าของสมญานาม “แม่ชีแห่งวงการ” ขอตัดทางโลก หยุดการสื่อสารทุกชนิด เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ร่มโพธิสมภาร หลายคนสงสัยว่าเธอจะลาออกจากวงการ เพื่อเข้าสู่ทางธรรมอย่างถาวรเลยหรือเปล่า และอะไรที่ทำให้ผู้หญิงคนนึงตัดสินใจเดินทางไปบวชไกลถึงถิ่นพม่า และนี่คือบทสัมภาษณ์สุดท้ายที่เธอจะให้คำตอบเอาไว้ ก่อน ปิดวาจา ไม่ขอตอบคำถามใครอีกต่อไป บทสัมภาษณ์ที่จะทำให้หลายคนได้มองเห็นมิติตัวตนของเธอ ทั้งด้านมืดและสว่างไปพร้อมๆ กัน
 




 
ขอละทางโลก 7 เดือน


 
[ภาพจากการแสดงเอ็มวีประกอบคีตธรรม “พระปฏาจาราเถรี เรามีความพลัดพรากเป็นธรรมดา”]

“ตอนวัยรุ่น อายุ 19ปี ช่วงเข้าวงการ เป็นช่วงที่เสเพลที่สุด กินเหล้า สูบบุหรี่ และชอบบริหารเสน่ห์ให้ผู้ชายมาหลงรัก รู้สึกสนุก สับรางรถไฟมันมาก แต่ก็ไม่ได้ไปลึกซึ้งอะไร”

ใครจะคิดล่ะว่าผู้หญิงที่กำลังสวมชุดเป็นสตรีในพุทธกาลอยู่ต่อหน้าขณะนี้ จะเคยมีชีวิตในมุมมืดกับเขาเหมือนกัน เพราะเธอคือเจ้าของฉายา  แม่ชีประจำวงการ เป็นคนที่ทุกคนมองเห็นด้านสว่างมาตลอด และเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่เธอจะได้เปิดเผยถึงเรื่องราวในด้านมืดให้ได้รู้จัก และนี่คือบทสัมภาษณ์ที่จะได้รู้จักเธอมากยิ่งขึ้น


สำหรับ กิ๊ก - มยุริญ ผ่องผุดพันธ์ นักแสดงมากฝีมือ เจ้าของฉายาแม่ชีประจำวงการ ได้เปิดเผยกับผู้สัมภาษณ์ว่าเมื่อก่อนเคยเป็นคนที่เจ้าชู้มากคนหนึ่ง แถมทำตัวเสเพล กินเหล้า ติดบุหรี่ ทั้งยังเกือบถูกให้ลองยาด้วย

“ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน เคยไปถ่ายละครที่ต่างจังหวัด กับช่างแต่งหน้า 2 คน จู่ๆเขาก็ยื่นสิ่งหนึ่งแล้วบอกว่า ‘ กิ๊กเหลืออยู่ขาหนึ่ง ลองไหม’ ตอนเขายื่นมา เราก็เปิดดูนะงงมันคืออะไร แล้วพอเห็น (สีหน้าตกใจ) ก็แบบเฮ้ย! พี่นั่นมันอะไรอะ พอเห็นว่าเป็นยาก็เลยปฏิเสธไป ไม่เอา ไม่กิน ไม่เคยรู้เลยว่าช่างแต่งหน้าเขาเสพยาบ้ากัน
มันเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกว่า เออ (ถอนหายใจ) เราก็ยังมีบุญอยู่เนอะ ยังมีจิตสำนึก ไม่อยากให้พ่อแม่เสียใจ ถ้ากินแล้วคงแย่ คืออะไรแย่ๆ กิ๊กไม่เคยลองเลย”


และการที่ได้ตัดสินใจไม่ลองในวันนั้น ทำให้เธอมีวันนี้ วันที่เธอได้ตัดสินใจไปบวชที่ประเทศพม่าเป็นเวลา 7 เดือน เพื่อศึกษาพระธรรม โดย โกนหัว “ปิดวาจา” งดการสื่อสารทุกชนิด ซึ่งกว่าที่เธอจะมีวันนี้ได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ก็ต้องผ่านการค้นหาตัวเองมาหลายครั้ง

“กิ๊กจะบวชติดต่อกันอย่างตั้งใจให้ครบ 7 เดือน ไม่ให้ขาดแม้แต่ 1 วัน จะต้องครบ 7 เดือนเป๊ะ หรือไม่ก็อาจจะเกิน (หัวเราะ) บวช 7 วันก็ผ่านมาหลายรอบแล้ว 7 เดือนยังไม่เคย 7 ปีก็คงจะนานไป ตอนนี้คงยังไม่พร้อม ถ้าไปบวชตอนนี้พ่อแม่คงเป็นทุกข์ การไปบวชครั้งนี้จะต้องปิดวาจา ปิดมือถือไม่ติดต่อสื่อสารกับใครเลย ช่วงเวลาปฏิบัติธรรมก็ไม่พูดกับใคร ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ คือไม่พูด เขียนโน้ตเอา”


 

[เมื่อครั้งไปปฏิบัติธรรมที่พม่า]
 

 
[ทรงผมปัจจุบันของเธอ]

ทางสว่างที่แท้จริงในชีวิตเธอ เริ่มในวัย19 ที่โดนแม่บังคับเข้าไปปฏิบัติธรรมครั้งแรก แต่ขณะนั้นยังไม่ได้รู้สึกลึกซึ้งกับสิ่งที่ปฏิบัติ เพราะไม่ได้มีความตั้งใจจะไปปฏิบัติ จนมาครั้งที่ 2 ในวัย23 เธอมีประสบการณ์จากครั้งแรกว่าการไม่ตั้งใจปฏิบัตินั้นไม่ได้อะไร จึงลองตั้งใจเข้าไปปฏิบัติอีกครั้ง แล้วก็ได้พบว่านี่คือส่วนเติมเต็มในชีวิต เข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมากขึ้น อยากให้ทำ ประพฤติตัวยังไงเพื่อให้พบความสุข ตอนนั้นทำให้เธอเองศรัทธาคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก จนเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิต ให้เธอเข้าสู่ทางธรรมจนถึงทุกวันนี้

ถ้าไม่ได้เจอธรรมะ ชีวิตนี้ก็เหมือนเกิดมาเสียชาติเกิด รู้สึกอย่างงั้นเลยนะ (ยิ้ม)
 
จนถึงวันหนึ่งที่เรารู้สึกว่า ถึงเวลาแล้วล่ะจะพูดยังไงดีล่ะ (นิ่งคิดพักนึง) จริงๆ เรื่องบวชไม่ได้อยู่ในหัวเลยนะพอเราปฏิบัติก้าวหน้าขึ้น เลยทำให้กิเลสลดลง และ รู้สึกว่าการบวชเป็นสิ่งหนึ่งที่น่าลิ้มลอง เพราะตัวเราก็ปฏิบัติธรรมแบบเข้าๆ ออกๆ อย่างนี้ ใช้เวลาปฏิบัติธรรมมาเป็น 10 กว่าปีแล้ว มันเลยรู้สึกว่ามันจะต้องถึงอายุขัยแล้วค่ะ

พออายุมันเริ่มเข้าเลข 4 อะไรในร่างกายก็เสื่อม รู้สึกตอนนี้ร่างกายยังบังคับบัญชาได้ คุณพ่อ-คุณแม่ ยังแข็งแรง มันเลยทำให้รู้สึกว่า เวลาในชีวิตลดลงแล้ว จะประมาทไม่ได้แล้วนะ คงถึงเวลา เพราะไม่รู้จะรอไปถึงเมื่อไหร่ จะรอไปถึงวันที่ตัวเราเองเดินไม่ไหวเหรอ พ่อแม่ป่วย แล้วเราต้องหนีท่านไปบวชเหรอ เราคงหนีไปไม่ได้ เพราะต้องอยู่กับท่าน เลยถือว่าปีนี้ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมค่ะ”


หลายคนตั้งข้อสงสัยว่าการบวชครั้งนี้ของเธอจะเป็นการลาวงการไปเลยหรือไม่ เธอให้คำตอบว่า ไม่ได้บวชตลอดชีวิต แต่ตัดสินใจแล้วว่ายังไงต้องกลับมา เพราะยังเป็นห่วงครอบครัว และคิดว่าการเป็นฆราวาสสามารถดูแลพระพุทธศาสนาได้มากกว่า

“ถ้าเรื่องติดใจในการบวช กิ๊กติดใจแน่นอน แต่ไม่ได้แพลนที่จะบวชนานกว่านั้น เงินที่เตรียมไว้ให้ครอบครัว จะสามารถใช้ในช่วงที่ไม่อยู่ได้ คือเราไปปฏิบัติธรรมจะไม่เอาเงินไปให้เขาเลยก็ได้นะ เขาไม่ได้เรียกร้อง แต่กิ๊กรู้สึกว่า ถ้ายังมีกำลังดูแลศาสนาไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง ไม่ว่าจะทางกำลังกาย กำลังใจกำลังทรัพย์ ถ้าเรายังมีเราต้องดูแล

เราไปอยู่ให้เขาเป็นภาระได้ยังไง เราต้องเอาเงินไปให้เขา ก็จะเตรียมเงินก้อนหนึ่ง เพราะจะไม่อยู่ก็ใช้เงินเยอะนะ ไหนจะค่าประกัน ค่านู่นนี่นั่นที่ต้องเตรียม ซึ่งเงินที่เตรียมไว้ เพียงพอสำหรับการไป 7 เดือนแน่นอน แต่หลังจากนั้น เรื่องจะบวชนานกว่านี้หรือไม่แพลนค่อนข้างมั่นใจว่า จะต้องออกกลับมาทำงาน
ส่วนตัวรู้สึกว่าการที่ได้เป็นฆราวาสยังทำประโยชน์ให้แก่พระพุทธศาสนาในแง่มุมอื่นๆ ได้มากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของปัจจัย เรื่องของการไปบรรยายในสถานที่ต่างๆ ผู้ถูกศรัทธาเขาเชิญไปบรรยาย ก็ต้องพูดตรงๆ เพราะการเป็นดารา (น้ำเสียงจริงจัง) เขาถึงเชิญชวนไป ถ้าเราไม่ได้เป็นดาราไม่ได้มีชื่อเสียง เราก็จะมีโอกาสตรงนี้น้อยลง กิ๊กก็เลยรู้สึกว่า เอ่อเราจะต้องใช้สิ่งที่เรามีให้มีประโยชน์ เพื่อจะดูแลศาสนา แล้วก็เป็นประโยชน์กับผู้อื่นให้มากที่สุด เท่าที่ศักยภาพจะมี”




 
พระนับเงิน = ศาสนาเสื่อม?


หลายคนสงสัยสาเหตุที่เธอไม่ยอมบวชในไทยเป็นเพราะว่า เลิกศรัทธาในตัวพระอาจารย์จากข่าวลบๆ มากมายที่ออกมาหรือเปล่า ซึ่งนักแสดงวัย42 ได้ให้คำตอบว่า ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องพระที่มีข่าวไม่ดีแต่อย่างใด

“ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่มีข่าวไม่ดีของพระออกมา (เน้นคำพูด) เป็นธรรมะจัดสรรค่ะ กิ๊กปฏิบัติกับพระอาจารย์ท่านนี้มานานกว่า 10 ปีแล้ว เป็นสายยุบหนอพองหนอ ซึ่งดั้งเดิมมาจากที่นี่ คำสอนของท่านสอดคล้องกับคำสอนพระพุทธเจ้า รู้สึกว่าสิ่งที่ท่านสอนคือใช่ มีความเข้าใจสำหรับเรา 

ท่านจะถามทุกครั้งหลังปฏิบัติธรรมเสร็จ “ปฏิบัติแล้วได้ประโยชน์อะไร” เป็นสิ่งที่โดนใจมาก สิ่งที่ท่านสอนคือใช่ เพราะการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เราต้องเห็นประโยชน์ และประโยชน์นั้นต้องเอามาใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่คุณไปเจริญสติอยู่ในวัด พอจบคอร์สปุ๊บออกมาคุณก็ขาดสติ อย่างนั้นมันไม่ได้ มีความรู้สึกว่าสิ่งที่ไปประพฤติปฏิบัติมีสารปฏิบัติธรรม คือออกมาก็ได้มาฝึกตัวเองในทุกๆ วัน”

เมื่อถามถึงความคิดเห็นเรื่องบุคคลในผ้าเหลืองว่าทำให้เกิดความเสื่อมหรือไม่นั้น เธอให้ความเห็นว่า ศาสนาไม่เคยเสื่อม แต่เสื่อมที่บุคคลมากกว่า


“ในมุมมองกิ๊ก กิ๊กมองว่าศาสนาไม่เคยเสื่อม คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่เคยเสื่อม ถ้าเราเป็นพุทธศาสนิกชนจริงๆ นะ ที่ไม่ใช่แค่ทะเบียนบ้าน เราได้มีโอกาสลงศึกษาปฏิบัติธรรมะแล้วจะเข้าใจเลยว่าศาสนา หรือคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่เคยเสื่อม และไม่มีวันเสื่อม ถ้าคุณคิดว่า เสื่อมนั่นเพราะคุณยังไม่ได้ลงปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

คนเราทุกคนมีสิทธิ์จะทำผิดพลาดได้ไม่ว่าจะเป็นพระ หรือฆราวาสทุกคนล้วนมีกิเลสของตนเอง ถ้าคุณเป็นฆราวาสไม่ปฏิบัติ คุณเป็นพระไม่ปฏิบัติก็ไม่มีความต่าง จะเป็นกิเลสในวัด หรือในบ้านล้วนแล้วเหมือนกัน (น้ำเสียงจริงจัง)

พระบวชมามีศีล 227ข้อ ตั้ง 227 ข้อ เราเป็นฆราวาสจะไปตัดสินพระว่าพระไม่ดี คนนั้นทำผิดนู่นนี่นั่น พระรับเงินอย่างนั้น พระรับเงินอย่างนี้ เราถือศีล 5 ครบหรือยัง ก่อนไปว่าคนอื่นดูตัวเองก่อนไหม อย่าไปเพ่งโทษคนอื่นเลย เราควรพิจารณาตัวเองก่อน เป็นธรรมชาติของทุกคนที่ยังมีกิเลสค่ะ ทุกคนต้องได้รับผลของการกระทำของตนเองไม่ว่าดี หรือชั่วก็ตาม

เพราะฉะนั้น พระที่มีปัญหานั่นก็เป็นสิ่งที่บ่งชี้ว่าท่านไม่มีโอกาสประพฤติปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าสอนอย่างแท้จริง ทุกคนย่อมทำผิดนะคะ และบอกเลยว่า เรื่องพระทำผิดมันไม่ได้เพิ่งมีในยุคนี้ มีตั้งแต่สมัยพุทธกาลตั้งแต่พระพุทธเจ้ามีชีวิต มันเป็นเรื่องธรรมดา”

และเพื่อชี้แนะประเด็นที่หลายคนวิจารณ์หนักเรื่องของพระรับเงินว่าเป็นแค่โล้นห่มเหลืองเท่านั้น จนมองว่าพระพุทธศาสนาเสื่อมแล้ว เธอมองว่าทุกคนมีกิเลสกันทั้งนั้น สามารถประพฤติผิดได้ และทำอะไรควรดูที่ตัวเราเองก่อน


“เรื่องพระพุทธศาสนาที่ดี และถูกนั้นจะต้องเป็นผู้ที่สามารถปฏิบัติตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าได้ พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้อย่างชัดเจนว่า พระธรรมวินัยนั้นจะเป็นตัวแทนของเหล่าตถาคต ไม่ได้ให้มายึดใคร บุคคล ไม่ต้อง (น้ำเสียงจริงจัง) ให้ยึดคำสอนของท่าน อย่ามองเพ่งโทษคนอื่นก่อนให้มองที่ตัวเราเอง เปรียบเสมือนกับพระพุทธรูปทุกองค์เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า มีไหมองค์ไหนที่เห็น ท่านมองตรงๆ ไม่มีหรอก มีแต่ไม่หลับตาก็หรี่ตาลง นั่นหมายถึงสัญลักษณ์ของการเพ่งมองตัวเอง พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เรามองคนอื่นค่ะ แต่สอนให้เราปรับเปลี่ยนตัวเราเอง เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่เราทำได้”

กิ๊กได้แสดงความเข้าใจให้ฟังถึงเรื่องไปบวชครั้งนี้ว่า ไม่ใช่เป็นการบวชพระ หรือเป็นลัทธิใดๆ เพียงแต่เป็นอุบาสิกาที่เหมือนแสดงความเจตนาจำนง มุ่งมั่นในการปฏิบัติ


“เราไปเป็นเหมือนอุบาสิกาค่ะ ไม่ได้เป็นนักบวชที่มีชื่ออะไร ไม่ได้มีลัทธิ เป็นแค่อุบาสิกาที่ถือศีล 8 ต้องถือข้อพรหมจรรย์ ไม่แต่งกายที่ต้องปราศจากน้ำหอม ไม่นอนเตียงสูง ไม่กินอาหารเย็นเวลาถือศีล”

สิ่งที่แตกต่างระหว่างไทย และพม่า คือด้านการปฏิบัติ ผู้หญิงร่างบางคนนี้ได้เล่าว่า ที่พม่าจะไม่มีพิธีพราหมณ์ใดๆ มีพิธีกรรมแบบเรียบง่าย และวิธีการการสอนที่เป็นแบบโบราณ มีตำราภาษาอังกฤษให้อ่านในทุกๆ วัน

“กิ๊กเคยพาน้องเขยไปบวชที่พม่าถ้าเป็นพระ ก็คือโกนหัว เปลี่ยนยูนิฟอร์ม สวดมนต์นิดหน่อย พิธีก็เสร็จแล้ว คือจะไม่มีการแห่นาคใดๆ แบบบ้านเรา ก็เลยจินตนาการเองว่า แม่ชีก็คงเหมือนกัน สวดๆโกนหัวเปลี่ยนยูนิฟอร์มเสร็จ

การแต่งกายแม่ชีที่นั่นเป็นชุดสีชมพู แต่ยังไม่เคยเห็นและใส่ ไม่ทราบว่าจะมีกี่ชั้น ซึ่งมีแม่ชีได้จัดเตรียมให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สิ่งที่รู้สึกว่าแตกต่างคือการสอน ที่นี่จะสอนแบบวิธีโบราณ กิ๊กรู้สึกปฏิบัติธรรมกับวิปัสสนาจารย์ท่านนี้ รู้สึกว่าคลิกค่ะ (น้ำเสียงจริงจัง และยิ้มออกมา) ท่านจะมีตำราภาษาอังกฤษให้อ่านทุกวัน ตำราเล่มนี้จะเป็นเกี่ยวกับพระพุทธศาสนานี่แหละ เกี่ยวกับการปฏิบัตินอกจากนั้น จะต้องมีการสอบสัมภาษณ์เกี่ยวกับสิ่งที่เราปฏิบัติเป็นภาษาอังกฤษทุกวันท่านจะฟัง แล้วก็จะรู้ว่า ตกหล่นอะไรตรงไหนท่านก็จะให้อ่าน และย้ำว่าคุณพลาดตรงนี้ คุณต้องทำอันนี้อย่างนี้ถึงจะถูกต้อง ทำให้การปฏิบัติก้าวหน้าขึ้น กิ๊กรู้สึกว่าชอบวิธีการสอนของท่านโบราณดี ซ้ำๆ ซากๆ ดี”





รักษาศีล-ห่มขาวทั้งบ้าน


จากสมาชิกทั้งหมด 9 คนในบ้าน ไม่ใช่แค่ กิ๊กนักแสดงสาวคนนี้คนเดียวเท่านั้น ที่เข้าสู่ทางธรรมแม้แต่หลานของเธอเองก็ยังมีชื่อเล่นที่เกี่ยวข้อกับหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา น้องพุทธ, น้องธรรม, น้องบุญ, น้องศีล และน้องพอ

“บ้านกิ๊กไม่ได้ธรรมะจ๋านะคะ คุณพ่อนี่ไม่ได้ชอบปฏิบัติธรรมเลย คุณแม่ก็โดนบังคับ ล่าสุดสามารถลากคุณแม่ไปปฏิบัติธรรมยาวถึง 34 วันได้ รู้สึกมีความสุขมาก พอออกมาจากการปฏิบัติธรรม เขากลับมาพูดกับกิ๊กเองว่าเข้าใจแล้วทำไมต้อง 1 เดือน กว่าจะมาถึงวันนี้มันไม่ใช่เรื่องง่าย มันต้องใช้เวลาในการพูด ไม่ใช่แค่เขาทำคนเดียวนะ คือตลอดเวลาที่กิ๊กได้ปฏิบัติธรรม ก็มักนำเรื่องต่างๆ ที่เจอมาเล่าให้เขาฟัง จนวันหนึ่งสิ่งที่เราพูด ทำให้เขาได้ไปปฏิบัติเอง

 
[ภาพคุณแม่ และน้องสาวกำลังไปวิปัสสนากรรมฐานที่ประเทศอินโดนีเซีย]

นอกจากคุณแม่ ก็มีหลาน 5 คน ชื่อพุทธจักร ชื่อเล่นว่าน้องพุทธ , ธรรมจักร ชื่อเล่นว่าน้องธรรม,น้องบารมี ชื่อเล่นว่า บุญ, น้องศรัทธา ชื่อเล่นว่าชื่อศีล เป็นชื่อที่กิ๊กขอตั้งเอง ขอมีหลานชื่อศีลหน่อย และสุดท้ายก็ชื่อว่า น้องภาวนา ชื่อเล่นว่า พอ ทั้ง 5 คนก็เป็นไปตามชื่อนะคะ แสดงออกถึงความเป็นครอบครัวธรรมะอย่างชัดเจน ตอนนี้คนโต 2 คน คือ น้องพุทธ กับ น้องธรรม ก็ได้เข้าไปปฏิบัติธรรมกับกิ๊กหลายๆ ครั้ง พ่อแม่เขาก็สนับสนุน ไปมาครั้งแรกอาจจะโวย ว่าไม่ไปแล้วอย่างนู้นอย่างนี้ กิ๊กก็แบบอะตามใจ ไม่ไปอีก 3 เดือนค่อยส่งไปใหม่ ตอนนี้เลยเคยชินแล้วค่ะ

 
['กิ๊ก' และ 'หลาน' ]

และถ้ามองย้อนกลับไปกิ๊กไม่เสียดายสิ่งที่กิ๊กทำเลยนะ ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วดีทั้งนั้น มันเป็นบทเรียนที่สำคัญในชีวิต
กิ๊กมองว่าอุปสรรคหรือคำติฉินนินทา หรือคำผิดพลาดในชีวิต คือครูที่ประเสริฐ และยิ่งใหญ่เพราะ ไม่มีใครประสบความสำเร็จโดยไม่เคยผิดพลาด ทุกคนต้องเคยล้ม ทุกคนต้องเคยพลาด แต่ถ้าเกิดว่าสำหรับผู้ที่มีปัญญาแล้ว การเคยล้มการเคยพลาดมานั้น คือสิ่งที่ประเสริฐ และล้ำค่ามาก”

ก่อนจบการสนทนา เธอได้ทิ้งท้ายด้วยการแนะนำวิธีการหลุดพ้นจากความทุกข์ที่ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิต

“ไม่มีวิธีการใดนะคะ นอกจากวิธีการของพระพุทธเจ้า อย่างแรกเลย คือการรักษาศีล 5 มีโอกาสก็สวดมนต์เข้าวัดปฏิบัติธรรมบ้าง อย่าเห็นพระพุทธศาสนา เป็นแค่พิธีกรรม

สมมุติว่าทุกข์มากตอนนี้นะ (น้ำเสียงจริงจัง) เราต้องมาวิเคราะห์ตัวเอง เช็กเลยว่าศีลแต่ละข้อฉันผิดพลาดอะไร ผิดแล้วไม่ทำแล้ว ตั้งใจรักษาศีล ทำไมถึงพยายามพูดให้ทุกคนรักษาศีล5 เพราะถ้าทุกคนไม่รักษา ทุกคนก็จะมีอกุศลกรรมที่จะเกิดขึ้น เลยอยากให้ทุกคนรักษาเพราะศีล5 จะเป็นเครื่องเกราะป้องกันทำให้เราได้พบเจอ แต่คนดีๆ ความไม่ดีเข้ามากล้ำกรายเราไม่ได้ แล้วก็ไม่มีใครช่วยเราได้ ทุกคนต้องช่วยตัวเราเอง เหมือนกับคำพูดที่ว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"

สิ่งที่กิ๊กยึดมั่นมาตลอดคือ ยึดหลักพระพุทธเจ้า 3 ข้อ
1. งดเว้นจากการทำความชั่วทั้งปวง คือการรักษาศีล5
2.ทำความดีให้ถึงพร้อม คือ ทำดี คิดดี พูดดี ตามที่มีโอกาสในทุกลมหายใจ ทำดีไม่มีวันหยุด และสุดท้ายทำจิตใจให้ผ่องแพ้ว คือการภาวนา ก็จะชวนคนไปวิปัสสนากรรมฐาน เป็นแนวคิดที่จะเดินตามรอยพระพุทธเจ้า เพราะเดินตามแล้วมีความสุขค่ะ”
 








ยอมรับจากใจ “เล่นละคร” กระตุ้นกิเลสจริง!

[ดาราสาวขณะอยู่ในกองละคร]
ถ้าถามว่าการแสดงมันไปกระตุ้นกิเลสไหม กิ๊กมองว่าทำให้เห็นกิเลส ความโลภความโกรธ ได้ชัดเจนมากนะ เวลากรี๊ดทุกเรื่อง เหนื่อยมาก เหนื่อยจริงๆ (ย้ำคำพูดว่าเหนื่อยจริงๆ) และก็ไม่มีความสุขนะคะ เล่นละครตัวร้ายใช้พลังงานเยอะมาก
กิ๊กเลยรู้สึกว่า จะเป็นนางร้ายในชีวิตจริงเพื่ออะไร ไม่มีประโยชน์ มันเหนื่อย อยากได้อยากมี อยากเป็น ไอ้คำว่าอยากนี่สร้างแต่ความทุกข์

แต่พอเวลาได้เล่นบทที่ได้เป็นคุณแม่ใจดี ใจพระขึ้นมา ธรรมะธัมโม มีความสุขมาก รู้สึกว่าตอนนี้กิเลส ไม่ถูกกระตุ้นออกมา แต่มันดีนะคะ มันเป็นข้อดีมากที่ทำให้พี่ได้เห็นความต่างของการทำงานของกิเลสในรูปแบบต่างๆ ในตัวละครที่ได้สวมบทบาทไป สำหรับการปรับสมดุล กิ๊กรู้แค่ว่ามันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เดี๋ยวก็ดับไป มันเป็นแค่ช่วงเวลานั้นที่เกิดขึ้น กิ๊กเคารพทุกบทบาทที่ได้รับ พอได้ยินเสียงคัต กิ๊กก็เลิก และวางการเป็นตัวละครคนนั้นไป หยุดคิดเรื่องต่างๆ จะไม่มานั่งคิดนั่งเสียดายว่า เฮ้ย! ฉากเมื่อกี้ไม่น่าเลย น่าจะเล่นดีกว่านี้ มันผ่านมาแล้ว ถ้าไม่ดีก็คิดว่าเดี๋ยวแก้ตัวใหม่
 

 







ชาตินี้ขอเป็นโสด

กิ๊กไม่คิดจะมีครอบครัวแล้วค่ะ กิ๊กคงอยากมีความรักมาหลายชาติแล้ว ชาตินี้อาจจะเบื่อ เลยขอไม่มีดีกว่า

กิ๊กรู้สึกว่าอยู่อย่างนี้ก็มีความสุขดี มีความสุขกับการมีกัลยาณมิตร มีเพื่อนดีๆ รอบตัว มีหลาน มีน้อง คือไม่ได้รู้สึกขาดความรัก ไม่ใช่การมีครอบครัวไม่ดีนะ แต่กลับมองว่าการที่มีครอบครัวไม่ใช่เรื่องง่าย ความรักเป็นเรื่องธรรมชาตินะคะ รักหนึ่งก็ทุกข์หนึ่ง รัก 10 ก็ทุกข์ 10 รัก 100 ก็ทุกข์ 100 รัก 1,000 ก็ทุกข์ 1,000

ถ้านี่คือความรักแบบโลภๆ รักแบบที่มีกิเลส ก็คือรักด้วยความหลง รักแบบว่า เธอเป็นของฉัน ฉันเป็นของเธอ ลูกฉัน หลานฉัน สามีฉัน มีคำว่าของฉัน เมื่อไหร่ก็ตามที่รักนั้นมีคำว่าของฉันเมื่อไหร่ ทุกข์แน่นอน และเมื่อมีทุกข์ อย่าหนี ให้ยอมรับ เผชิญอย่างผู้กล้าหาญ มีสติ และอยู่กับมันให้ได้

 








น้อมรับฉายา “แม่ชีแห่งวงการ”




กิ๊กรู้สึกว่าได้รับเกียรติที่ได้เป็นแม่ชีในวงการบันเทิง แต่ว่าคำเกียรตินี้ได้รับมา เพื่อที่จะเป็นกำลังใจในการทำความดีต่อไป ถึงแม้จะได้รับเกียรตินี้ก็ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องยึดมั่นว่า เป็นแม่ชีของวงการบันเทิงนะ เราน้อมรับและขอบคุณการให้เกียรตินั้น และรู้สึกว่านี่คืออีกหนึ่งกำลังใจในการที่จะลุกมามุ่งมั่นเดินทางทำความดีต่อไป


สำหรับการแนะนำคนในวงการบันเทิงให้ใช้ธรรมะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ก็แนะนำหลายๆ คน เช่น ชาคริต (ชาคริต-แย้มนาม, พี่ธงธง (ธงธง-มกจ๊ก), น้องพิม (พิมพ์มาดา-บริรักษ์ศุภกร) ส่วนใหญ่จะเป็นคนใกล้ชิดค่ะ ทุกคนจะมีจุดหักเหในชีวิต เมื่อหลายปีที่แล้ว ชาคริตเป็นคนขอไปเอง เขาได้เข้าไปกรรมฐานกับกิ๊ก ซึ่งตอนนั้นมีปัญหาเรื่องความรัก พี่ธงธงก็หลายปีมากแล้วเช่นกัน พี่สาวเสีย เขาได้เข้าไปปฏิบัติ หลังจากนั้นเขาก็ได้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เป็นแนวแบบนักปฏิบัติธรรมจริงๆ ทำบุญทุกวัน ตื่นมาทำกับข้าวเอง ตอนนี้เขาก็ยังเข้าคอร์สกรรมฐานอยู่ค่ะ ส่วนน้องพิม คือเรื่องการป่วยของน้อง ซึ่งกิ๊กก็ได้นำธรรมะเข้าไปอ่านให้ฟังตอนป่วย ช่วยให้น้องมีที่ยึดมั่น มีกำลังใจมากขึ้นค่ะ






สัมภาษณ์โดย ผู้จัดการ Live
เรื่อง : ภูริฉัตร ปริยเมธานัยน์
ภาพ :  วชิร สายจำปา
ขอบคุณภาพ:แฟนเพจ Kik mayurin
IG :unn_manoch


กำลังโหลดความคิดเห็น