xs
xsm
sm
md
lg

เจาะ “ถ้ำหลวง” อาถรรพ์ – อันตราย –ขาลุยยังถอย!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ทุกวันนี้ยังสำรวจไม่หมด! เปิด “ถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน” ถ้ำลึกลับจากตำนานความรักที่ผิดหวัง ด้าน ทส.เผย เส้นทางสุดอันตราย แม้แต่คนในพื้นที่ยังหลง หน้าฝนห้ามเข้าเด็ดขาด เจ้าหน้าที่วอนอย่าจุดธูปใกล้ถ้ำ ฟากหน่วยซีลลุยไม่พัก ค้นหาโค้ชและนักเตะวัยเยาว์อีก 13 ชีวิต!!

ลือแรง แม้แต่กลางวันยังไม่มีใครกล้าเข้า!

เรียกได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่บีบหัวใจผู้ติดตามทุกวินาที กับการระดมกำลังเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน เข้าค้นหานักเตะเยาวชนทีม "หมูป่าอะคาเดมีแม่สาย" พร้อมด้วยผู้ฝึกสอน รวมทั้งสิ้น 13 ชีวิต ที่เกิดพลัดหลงเข้าไปใน ถ้ำหลวง ที่อยู่ในเขตวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ใน อ.แม่สาย จ.เชียงราย ตั้งแต่เย็นวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา

แม้จะมีการนำเจ้าหน้าที่ฝีมือระดับพระกาฬอย่าง “หน่วยซีล” เข้ามาเป็นกำลังหลักในการค้นหา แต่ด้วยสภาพทางภูมิศาสตร์ที่สุดแสนจะทรหด ประกอบกับน้ำฝนที่ไหลเข้ามาท่วมขังถ้ำ ทำให้การทำงานยิ่งยากลำบากกว่าเดิม ซึ่งจนขณะนี้พบยังไม่พบผู้สูญหายทั้ง 13 ชีวิต หากจะพบก็เพียงแค่ร่องรอยของพวกเขาเท่านั้น



ทางด้านของความรู้สึกคนที่เฝ้ารอ โดยเฉพาะผู้ปกครองของเหล่าเด็กๆ แน่นอนว่าแต่ละวินาทีที่ผ่านเลยไป เป็นช่วงเวลาที่ทรมานจิตใจอย่างถึงที่สุด หลายครอบครัวต้องอาศัยที่พึ่งทางใจ ด้วยการขอขมาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำพื้นที่ ซึ่งก็คือ ศาลเจ้าแม่นางนอน ให้มาช่วยเปิดทางอีกแรงหนึ่ง จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้หลายต่อหลายคนอยากทำความรู้จักถ้ำแห่งนี้ โดยเฉพาะเรื่องราวลี้ลับว่ามีความเป็นมาอย่างไร

กระทั่งโลกออนไลน์ ได้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Piyavit Srisanyong ออกมาเปิดเผยถึงอาถรรพ์ของ “ถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน” ว่า ภายในถ้ำนั้นมีบรรยากาศชวนขนลุกเป็นอย่างมาก คล้ายกับมีดวงตากำลังจ้องมองอยู่ตลอดเวลา แม้ในยามกลางวันแสกๆ ยังแทบไม่มีชาวบ้านคนไหนกล้าก้าวย่างเข้าไป ตามบรรทัดต่อจากนี้



“ถ้ำอาถรรพ์ ลึกลับ ที่เป็นข่าวขณะนี้ ถ้ำนี้มีความกว้างใหญ่และลึกมาก ข้อมูลจากกองอุทยานว่ามีความยาวประมาณ 10 กิโลเมตร โดยปกติถ้ำนี้ จะไม่ค่อยมีคนเข้าไปข้างใน เพราะดูลึกลับและน่ากลัวมาก ชาวบ้านแถวนี้รู้ดีถึงอาถรรพ์ และความลี้ลับที่อยู่ภายในถ้ำ จึงไม่มีใครย่างกรายเข้ามา แม้จะเป็นในเวลากลางวัน...

ถ้ำนี้มีตำนานเล่าขานถึงความลี้ลับมากมาย ไม่ว่าจะเป็นตำนานของเจ้าแม่ดอยนางนอน หรือ ตำนานเจ้าปู่พญานาค ผู้ดูแลรักษาถ้ำแห่งนี้ การที่จะเข้าไปในถ้ำแห่งนี้(ตามความเชื่อ) ต้องขออนุญาตจากผู้ที่ดูแลถ้ำ และเข้าไปชมด้วยความสงบ ห้ามส่งเสียงดัง และพูดจาในสิ่งที่ไม่ควร...
ถ้ำนี้จะแตกต่างจากทุกถ้ำที่ไปมา...เพราะทุกอณูของถ้ำ เหมือนมีชีวิต และเหมือนกำลังจับตามองผู้ที่เข้ามาทุกฝีก้าว....



ถ้ำนี้ไม่มีใครที่กล้าเข้ามาพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ทั้งๆที่อยู่ในเขตอุทยาน ขุนน้ำนางนอน ซึ่งต่างจากถ้ำที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง กลับได้รับการดูแลอย่างดี #จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้...ตอนนี้ผ่านมา 24 ชั่วโมงแล้ว เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถเข้าไปในถ้ำได้ ตอนนี้ได้ทำพิธีเบิกถ้ำ ตามพิธีกรรมโบราณ คิดว่าอีกไม่นาน จะพบผู้ประสบเหตุทุกคนนะครับ”

นอกจากนี้ ทีมข่าวผู้จัดการ Live ได้สืบค้นตำนานของถ้ำแห่งนี้ต่อ ทำให้ทราบว่า ตำนานของดอยนางนอนนั้น มาจากเรื่องราวความรักที่ไม่สมหวังระหว่างเจ้าหญิงผู้เลอโฉมแห่งเมืองเชียงรุ้งและชายเลี้ยงม้าในวัง ที่พบรักกันและเจ้าหญิงเกิดตั้งพระครรภ์ขึ้นมา ทั้งคู่จึงพากันหนี แต่ในเวลาต่อมาชายหนุ่มถูกทหารที่ติดตามฆ่าตาย ด้วยความเสียใจ เจ้าหญิงจึงใช้ปิ่นปักผมแทงที่พระเศียร ตำแหน่งที่ทอดพระวรกายสิ้นใจเหยียดยาวจากทิศใต้จดทิศเหนือ กลายเป็น “ดอยนางนอน” ส่วนโลหิตที่หลั่งไหลออกมากลายเป็น “แม่น้ำแม่สาย” ดังทุกวันนี้



ส่วนอีกตำนานหนึ่ง ถึงเรื่องราวของเจ้าหญิงเมืองพุกาม ที่ออกตามหาเจ้าชายคนรักผ่านการออกรบ ทำให้อาณาเขตขยายไปเรื่อยๆ จนถึง “เวียงสี่ทวง” ก็ได้พบเจ้าชาย แต่กลับต้องใจสลาย เมื่อเจ้าชายหนีไปกับสาวชาวเมืองนี้ ทำให้เจ้าหญิงตรอมใจ แต่ก่อนจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ได้ตั้งจิตอธิษฐาน ให้พระวรกายกลายเป็น “ดอยนางนอน” น้ำพระเนตรที่ไหลริน กลายเป็น “ขุนน้ำนางนอน” ส่วนไพร่พลของนางก็กลายมาเป็นชนเผ่าหลากชาติพันธุ์บนภูเขาแห่งนี้

ที่กล่าวมานั้น คือความเชื่อและตำนานของสถานที่อันลึกลับแห่งนี้ อย่างไรก็ตาม หากใครที่ต้องการจะขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบริเวณนั้น คงต้องยั้งมือและปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด เนื่องจากมีการขอความร่วมมือประชาชน “ห้าม” จุดธูปเทียนในบริเวณที่ใกล้กับจุดที่กลุ่มเด็กๆ หายไป เพราะคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดการการเผาไหม้ธูปเทียน จะเป็นอันตรายแก่คนที่อยู่ภายในถ้ำได้

“ถ้ำหลวง” อันตรายที่ซ่อนความงาม

แม้จะมีคำบอกเล่าถึงอาถรรพ์หรือตำนานลี้ลับต่างๆ เกี่ยวกับถ้ำปริศนาแห่งนี้มากมาย แต่สำหรับข้อมูลที่เจ้าหน้าที่ได้มีการสำรวจและรวบรวบ ก็ทำให้ทราบว่า แม้แต่ในส่วนข้อเท็จจริงที่จับต้องได้ ก็ยังระบุว่าถ้ำแห่งนี้ยังมีความลึกลับและอันตรายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน แต่ทว่า ในความลึกลับ กลับมีความงดงามของธรรมชาติ ที่ดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวให้กล้าเสี่ยงชีวิตเข้าไปพิสูจน์และเห็นด้วยตาของตนเอง

ข้อมูลจาก สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) ระบุว่า ถ้ำหลวง เป็นถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ มีความยาวกว่า 7 กิโลเมตร นักธรณีวิทยาได้จัดลำดับให้ถ้ำหลวงเป็นถ้ำที่ยาวเป็นอันดับที่ 4 ของประเทศไทย



บริเวณปากถ้ำจะมีความกว้าง แต่เมื่อเดินเข้าไป ก็พบว่าเส้นทางมีความแคบขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งเส้นทางยังคดเคี้ยว บางช่วงเดินง่าย บางช่วงเพดานต่ำจนเดินลำบาก ซึ่งด้านในถ้ำมีห้องโถงหลักมีเพียงห้องเดียว ทำให้การสำรวจของเจ้าหน้าที่สิ้นสุดที่ห้องลับแล เนื่องจากทางที่จะไปโถงอื่นนั้นลำบากมาก

นอกจากนี้ยังพบรอยระดับน้ำ หลุมยุบ และโพรงบริเวณเพดานถ้ำ และการแตกออกของผนัง แต่ยังไม่เคยพบหลักฐานทางโบราณคดีของถ้ำแห่งนี้ เมื่อเดินเข้าไปภายในถ้ำ จะพบกับความงามของ เกล็ดหินสะท้อนแสง หินงอก หินย้อย ธารน้ำและถ้ำลอด

แม้จะมีความสวยงามของหินงอก หินย้อย ให้ผู้ที่หลงใหลในธรรมชาติได้ตื่นตาตื่นใจระหว่างทาง แต่ถึงกระนั้น อันตรายที่ซ่อนอยู่ระหว่างเส้นทางที่ต้องเดินเข้าไป ก็กลายเป็นอุปสรรคให้นักสำรวจล่าถอยและไปไม่ถึงที่หมาย จึงทำให้การสำรวจถ้ำแห่งนี้ ไม่แล้วเสร็จเสียที



ทั้งนี้ ข้อมูลจาก ทส. ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ถ้ำหลวง จะปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมพื้นที่ถ้ำ ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นฤดูฝน เนื่องจากน้ำจะไหลเข้ามาท่วมภายในถ้ำซึ่งจะไม่ปลอดภัย ในช่วงฤดูฝนพื้นที่ถ้ำถูกปิด จำนวนนักท่องเที่ยวที่มา มักจะมาในช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนเมษายน

นอกจากนี้ ทางด้านของรายการ “กล้าลองกล้าลุย” ทางช่อง 7 สี ที่ออกอากาศไปเมื่อวันที่ 1 มี.ค. ที่ผ่านมา ได้มีการเข้าไปสำรวจถ้ำแห่งนี้ ก็ยังระบุว่า “ถ้ำหลวง” มีเส้นทางที่สลับซับซ้อนเกือบ 10 กิโลเมตร แม้แต่คนในพื้นที่ที่ชำนาญเส้นทางก็ยังเคยหลงมาแล้ว

และการจะเข้ามาด้านในถ้ำ ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ หรือไกด์ชาวบ้าน ที่ชำนาญเส้นทางในนำทาง ไม่เช่นนั้นอาจหลงทางได้ ที่สำคัญที่สุด ช่วงหน้าฝนจำเป็นต้องปิดถ้ำ ห้ามเข้ามาอย่างเด็ดขาด เพราะถ้ำเป็นทางผ่านของน้ำ อาจถูกน้ำป่าพัดไปติดอยู่ด้านใน ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก



อีกทั้งทั้งเส้นทางยิ่งเข้าไปด้านในยิ่งแคบขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับพื้นทางเดินที่มีแต่โคลนเละๆ บางช่วงเพดานต่ำจนต้องคลาน ด้วยเส้นทางอันสุดแสนทรหดของถ้ำหลวงนี้เอง จึงมีนักท่องเที่ยวมาเยือนในจำนวนที่ยังไม่มากนัก ธรรมชาติภายในถ้ำจึงไม่ค่อยได้รับผลกระทบ ทำให้เกิดเป็นหินงอก หินย้อยสวยงามอยู่ภายใน และในอนาคต สถานที่แห่งนี้จะมีการเปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวต่อไป

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กลายเป็นอุทาหรณ์ให้แก่นักท่องเที่ยวที่ไม่ชินเส้นทาง ไม่ควรเข้าไปในสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติโดยพลการ โดยเฉพาะถ้ำหลวง ถ้ำที่ได้ชื่อว่าแม้แต่คนในพื้นที่เองก็ยังหลงมาแล้ว ก็ซึ่งได้แต่หวังว่าเจ้าหน้าที่จะค้นหาโค้ชและเด็กๆ ๆทั้ง 13 ชีวิต ที่ติดอยู่ภายในออกมาได้อย่างปลอดภัยในเร็วๆ นี้ ...

ขอบคุณภาพและข้อมูล : เฟซบุ๊ก “Thai NavySEAL” , “แหม่มโพธิ์ดำ2” ,รายการ “กล้าลองกล้าลุย”, เว็บไซต์ “แม่สายบ้านเรา” และ onep.go.th


กำลังโหลดความคิดเห็น