xs
xsm
sm
md
lg

ชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต!? “โทษประหาร” ในไทยยังไม่ไร้ค่า!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 
สังคมฮือฮา! กฎหมายไทยยังคงศักดิ์สิทธิ์ หลังกรมราชทัณฑ์ประหารชีวิตนักโทษรายแรกในรอบ 9 ปี คดีฆ่าชิงทรัพย์โหดเหี้ยมทารุณ ล่าสุด สังคมออนไลน์แตกออกเป็นสองเสียง 'โทษประหารดีที่สุด' นักสิทธิค้าน 'มนุษย์ทุกคนไม่ควรถูกฆ่า' ด้านทนายความชื่อดังไขข้อสงสัย โทษประหาร ช่วยอาชญากรรมลดลงจริงหรือ!?

เหยื่อ VS ฆาตกร ใครสมควรถูก “พรากชีวิต” ?

ดราม่าเดือด! หลัง 'กรมราชทัณฑ์' ประหารชีวิตนักโทษโหดรายแรกในรอบ 9 ปี จากคดีฆ่าชิงทรัพย์แทงเหยื่อ 24 แผล นับเป็นรายที่ 7 ของประเทศไทยที่ถูกฉีดสารพิษ! ขณะที่สังคมตั้งคำถามถึงวิธีการดังกล่าวขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนหรือไม่!?

'เกิดผล แก้วเกิด' ทนายความชื่อดังหยิบประเด็นดังกล่าววิเคราะห์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยพูดถึงกรณีการประหารชีวิตที่เกิดขึ้นว่า ส่งผลโดยตรงกับปฏิญญาสากลที่ได้ลงนามว่าด้วยสิทธิมนุษยชนที่ว่า หากไม่มีการประหารนักโทษภายใน 10 ปี นับตั้งแต่การประหารครั้งสุดท้ายในเดือนสิงหาคม ปี 2552 ให้ยกเลิกโทษประหารชีวิตไปโดยปริยาย!

ทว่า จากกรณีล่าสุดถือเป็นนักโทษประหารในรอบ 9 ปี นั่นหมายความว่าประเทศไทยยังคงมีการบังคับใช้โทษประหารตลอดไป จนกว่าจะมีการแก้ไขกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นไปโดยอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติของไทยเอง

ย้อนไปในวันเกิดเหตุคดีฆาตกรรมโหด เกิดขึ้นที่บริเวณสวนสาธารณะสมเด็จพระศรีนครินทร์ 95 จ.ตรัง เหยื่อวัย 17 ปี ถูก 2 วัยรุ่นโหดใช้มีดปลายแหลมกระหน่ำแทงจนล้มลงจมกองเลือด จากนั้นได้ล้วงเอากระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์มือถือหลบหนีไป ถือเป็นคดีฆาตกรรมโหดเหี้ยมสะเทือนขวัญคนไทยทั้งประเทศ

จากการตรวจสอบข้อมูลของทีมข่าว ผู้จัดการ Live พบว่า นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 จนถึงปัจจุบัน มีการบังคับโทษประหารชีวิตมาแล้ว จำนวน 325 ราย โดยแบ่งเป็นการใช้อาวุธปืนยิง จำนวน 319 ราย รายสุดท้ายเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2546

โดยการฉีดยาสารพิษ จำนวน 6 ราย ครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2546 และครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2552 ดังนั้นนักโทษรายนี้จึงถือเป็นนักโทษเด็ดขาดรายแรกในรอบ 9 ปีที่ผ่านมา

พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์
 
หลังจากแถลงการณ์จากกรมราชทัณฑ์ถูกเผยแพร่สู่สาธารณะได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือดในสังคมออนไลน์ โดยการแสดงความคิดเห็นแตกออกเป็นสองประเด็นด้วยกัน ทั้งกลุ่มคนที่เห็นด้วยและกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยจากเหตุผลที่ว่าขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน อีกทั้งยังมีความเสี่ยงในการตัดสินประหารชีวิตในกรณีที่ผู้ถูกประหารไม่ได้มีกระทำความผิดจริง

“ต้องถามว่าคดีอาชญากรรมตั้งแต่ปี 52 จนถึงปี 61 เหยื่อที่ไม่มีโอกาสร้องขอชีวิตต้องสังเวยมาแล้วกี่ร้อยศพ และคดีอาชญากรรมที่ ฆาตกร ออกจากคุกไปเดินเล่นในทุ่งลาเวนเดอร์กี่พันคน แต่ผ่านมา 10 ปี ประหารแค่คนเดียว ต้องถามกลับอีกว่าเอามาใช้ช้าไปหรือเปล่า”

“ประเทศไทยจะมีโทษประหารหรือไม่ มันไม่สำคัญเท่ามีขบวนการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพมากแค่ไหน ถ้าคุกยังมีไว้ขังคนจน ไอ้โทษประหารที่เพิ่มขึ้นมามันก็คือโทษที่เอาไว้ใช้กับคนจนเท่านั้นแหละ”

“ไม่เห็นด้วยกับโทษประหาร เพราะไม่คิดเผื่อกรณีแพะรับบาป ตัดสินผิดพลาด พยานเท็จ หลักฐานเท็จ ความไม่โปร่งใสในขบวนการสอบสวน ความไม่แน่นอนในวัตถุและบุคคล

และไม่มีใครรับผิดชอบกับคนที่ถูกสั่งประหารโดยไม่ได้ผิดจริง แต่ถ้าโทษหนักสุดคือจำคุกตลอดชีวิต ยังมีโอกาสที่จะรื้อคดีได้ มีโอกาสได้รับการพิจารณาใหม่ ความยุติธรรมยังถูกรักษาเอาไว้ได้”

“ผมยืนยันว่าเราควรยกเลิกโทษประหาร แค่เผื่อไว้เท่านั้นว่า กระบวนการยุติธรรมเราดำเนินการโดยมนุษย์ที่มีจุดผิดพลาดได้ อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสให้กับความเป็นไปได้น้อยนิดที่จะมีการตัดสินผิดพลาด เพราะการประหาร กระบวนการมันย้อนกลับไม่ได้”
 
สอดคล้องกับด้านประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม 'สุรพงษ์ กองจันทึก' แสดงจุดยืนคัดค้านการตัดสินประหารชีวิตนักโทษเป็นวิธีการที่ล้าหลังและเป็นการทารุณที่โหดร้ายเช่นเดียวกัน โดยได้ออกมาแถลงการณ์ถึงรัฐบาลที่ตัดสินใจผิดพลาดในการยุติการพักการประหารชีวิต


 
“การที่กรมราชทัณฑ์กล่าวอ้างว่าสหรัฐอเมริกาและจีนยังเป็นประเทศที่มีการบังคับใช้โทษประหารชีวิต เป็นสิ่งที่น่าอับอาย ด้วยเหตุผลเป็นการปกป้องสังคมและพลเมืองส่วนใหญ่ให้พ้นจากการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมมากกว่าเน้นสิทธิเสรีภาพของปัจเจกบุคคลที่กระทำผิดกฎหมายนั้น เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น

เนื่องด้วยการลงโทษด้วยการจำคุกตลอดชีวิตที่ไทยดำเนินมาเกือบ 9 ปี ก็เป็นการแยกบุคคลที่กระทำความผิดออกมาเพื่อปกป้องสังคมและให้พลเมืองพ้นจากการเป็นเหยื่ออาชญากรรม ตลอดจนเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลนั้นอยู่แล้ว

ขอให้รัฐบาลเปลี่ยนแนวคิดว่าการประหารชีวิตจะเป็นการปกป้องสังคม เพราะการประหารชีวิตแม้กระทำโดยรัฐ ก็เป็นการฆ่าผู้อื่นโดยการทารุณโหดร้ายและละเมิดศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับที่กระทำโดยอาชญากรเช่นกัน”

“โทษประหาร” ช่วย “อาชญากรรม” ลดลง!?

“ผมไม่คิดว่าเป็นการทำเพื่อต่ออายุหรอก เพราะว่ากระทรวงยุติธรรมเองก็ได้รณรงค์เรื่องไม่ประหารมาตั้งนานแล้ว คงไม่ใช่ว่าอยู่ๆ มาทำเพื่อต่ออายุไปอีก 10 ปี คงเป็นเรื่องของกฎหมายที่คนมองว่าเกินเยียวยามากกว่า ผมเชื่อว่าคงไม่ใช่เรื่องดรามา แต่มันเป็นเรื่องของความโหดเหี้ยมของผู้กระทำความผิดที่ไม่สำนึกเลยมากกว่า”

'รณณรงค์ แก้วเพ็ชร์' ทนายความชื่อดัง เจ้าของเฟซบุ๊กแฟนเพจ 'ทนายคู่ใจ' ให้ความเห็นกับทีมข่าว ผู้จัดการ Live หลังเกิดกระแสดรามาในสังคมออนไลน์ถึงประเด็นการยืดอายุการลงนามในปฏิญญาสากล ว่าด้วย สิทธิมนุษยชน ให้ยกเลิกโทษประหารชีวิตโดยปริยาย หากไม่มีการประหารนักโทษภายใน 10 ปี นับแต่การประหารชีวิตครั้งสุดท้าย

โดยทนายความชื่อดังไขข้อสงสัยของสังคมที่ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับการใช้บทลงโทษ ด้วยวิธีการประหารแก่นักโทษ ว่าสามารถช่วยลดการเกิดปัญหาอาชญากรรมและช่วยป้องกันสังคม และพลเมืองส่วนใหญ่ให้พ้นจากการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมได้หรือไม่ ซึ่งชัดเจนว่าบทลงโทษสูงสุดไม่อาจทำให้ผู้ก่อคดีรู้สึกเกรงกลัวต่อกฎหมายแต่อย่างใด

“ผมขออธิบายเป็นข้อกฎหมายตัวหนึ่ง พระราชบัญญัติเกี่ยวกับยาเสพติด ผู้ค้า ผู้ครอบครองเพื่อค้า ระวางโทษประหารชีวิตอยู่แล้ว ทุกวันนี้คดีขึ้นสู่ศาลมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เห็นว่าจะทำให้คนร้ายเกรงกลัวต่อกฎหมายเลย


 
ผมเลยไม่ค่อยเชื่อว่าการประหารชีวิต มันจะทำให้คดีเหล่านี้มันลดลงได้ ซึ่งผมไม่ได้นับผลวิจัยของต่างประเทศหรือจากประเทศไทยที่ว่า คนไม่ได้เกรงกลัวกฎหมายจากโทษประหารชีวิตเลย ในรอบ9ปีไม่มีการประหารเลย ส่วนใหญ่เป็นการชะลอเพื่อรอดูว่าจะมีการลดโทษอย่างไรบ้าง

อย่างที่ผมบอกต้องย้อนกลับไปถามว่าถ้ามีโทษประหารแล้ว คนจะก่อเหตุน้อยลงหรือเปล่า ในเมื่อมันมีผลวิจัยยืนยันว่ามันไม่เกี่ยวกับการก่อเหตุ แต่มันเป็นเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย มันเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการจับกุมผู้ต้องหา ไม่เกี่ยวกับเรื่องโทษเลย”

ขณะที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมต่อประเด็นข้างต้นนี้ มีทั้งกลุ่มคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยให้เหตุผลในแง่มุมของหลักสิทธิมนุษยชนว่าเป็นการใช้อำนาจความเป็นมนุษย์ในการตัดสินพรากชีวิตผู้อื่น ด้านทนายความได้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นหลักที่สังคมแคลงใจ

“ต้องอธิบายก่อนว่าบริบทของหลักสิทธิมนุษยชน มันเป็นเรื่องสากลที่ทุกคนยอมรับกันทั่วโลก มันอยู่ในสหประชาชาติด้วย ประเด็นที่คนมองก็คือเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าคนที่เราตัดสินประหารเป็นผู้กระทำความผิดอย่างแท้จริง ไม่ใช่แพะ นี่คือประเด็นที่เราตระหนักที่สุดในเรื่องของการประหารชีวิต

 
ประเด็นต่อมาก็คือ เรามีสิทธิ์ที่จะพรากชีวิตของมนุษย์ด้วยกันเองหรือไม่ มนุษย์ด้วยกันเองมีสิทธิ์ตัดสินใจที่จะพรากชีวิตของมนุษย์ด้วยกันเองหรือเปล่า นี่คือหลักสิทธิมนุษยชนที่มีการพูดถึงก่อนจะมีการยกเลิกโทษประหารชีวิต เพราะมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน ไม่มีสิทธิ์ที่จะฆ่ากันเอง นี่คือคำว่า 'หลักสิทธิมนุษยชน'

ขณะที่ในแง่กฎหมายเรื่องบทลงโทษประหารชีวิตสำหรับผู้กระทำความผิด ต้องดูว่าบทลงโทษมันขัดต่อเรื่องสิทธิมนุษยชนด้วยหรือไม่ ในเมื่อหลักสิทธิมนุษยชนก็คือ มนุษย์ด้วยกันไม่ควรมีสิทธิ์ฆ่าผู้อื่น”

อย่างไรก็ดี ในฐานะนักกฎหมาย ได้กล่าวทิ้งท้ายถึงกรณีที่เกิดขึ้นว่าอาจอยู่ในกระแสความสนใจของคนส่วนมากในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ทั้งนี้อาจไม่ได้ส่งผลต่อความรู้สึกเกรงกลัวต่อการกระทำความผิดทางอาญาได้ ทว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนรู้สึกเกรงกลัวความผิดได้นั้น อาจไม่ใช่วิธีการประหาร แต่เป็นการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังเสียมากกว่า

“ผมว่ามันก็คงเป็นกระแสอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ว่ามันคงไม่ส่งผลให้คนรู้สึกว่ากระทำความผิดทางอาญาน้อยลงเลย เพราะสิ่งที่จะทำให้คนกลัวการกระทำความผิดทางอาญา ไม่ใช่การตัดสินโทษประหาร แต่เป็นเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังอย่างเท่าเทียมกันโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ”



ข่าวโดย ทีมข่าวผู้จัดการ Live


กำลังโหลดความคิดเห็น