เปิดวอร์! พระสงฆ์-คนทรงเจ้า หลังร่างทรง 4.0 แสดงอิทธิฤทธิ์เกลื่อนเมือง! 'พระมหาไพรวัลย์' ย้ำชัด ร่างทรง 4G อ้างอิงวรรณคดีไทย เลอะเทอะ-เละเทะ-มั่วซั่ว! ทีมร่างทรงซัดกลับ 'ถึงเป็นร่างทรงก็ไม่ขอบิณฑบาตข้าวใครกิน' สังคมวิจารณ์หนักหากินกับความเชื่อ นับวันยิ่งแย่ไทยแลนด์!
ร่างทรง 4G “ช่วยคน-คลายทุกข์-หายป่วย” !?
“ขอถามไปถึงพระมหาไพรวัลย์ บอกว่าท่านเป็นพระ ท่านมาถามว่าร่างทรงเป็นมิจฉาชีพ ร่างทรงอยู่ในตำหนัก ไม่เคยออกไปนอกตำหนัก ไม่เคยเดินออกไปขอข้าวใครกิน ไม่เคยออกบิณฑบาตตอนเช้า จะเอาอะไรมาวัดว่าองค์ลงจริง ไม่จริง
อย่างที่พูด พระก็เหมือนกัน ทั่วประเทศไทยพระมีเป็นแสนรูป มีจริงสัก 50 รูปไหม ศีล 227 ข้อ ครบทุกองค์ไหม พระมหาเองท่านกัดร่างทรง อย่างพระพูดว่าร่างทรงเป็นมิจฉาชีพ ฉันเคยไหมที่ไปขอข้าวใครกินข้างทาง ฉันเคยถวายสังฆทานมาวนไหม ร่างทรงดีๆ เขามี เขาทำสาธารณประโยชน์ให้วัด ให้ทุกอย่าง”
เปิดศึกวลีเดือด! 'บอย คลองหนึ่ง' ร่างทรงพระพิฆเนศ เจ้าของตำหนักเทวาลัยบรมครู หลังออกรายการต่างคนต่างคิด ฉะกันมันระหว่าง 'พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ' พระนักเทศน์-นักคิดแห่งวัดสร้อยทอง จากกรณีดรามาสะท้านเมืองร่างทรงยุค 4G มีจริงหรือแค่มิจฉาชีพ!?
โดยฉากฟาดฟันอีกตอนหนึ่งที่ถือได้ว่าดุเดือดจนถูกพูดถึงอย่างมากในขณะนี้ คือช่วงที่ผู้ดำเนินรายการถามร่างทรงของพระแม่อุมาว่าเกิดวันที่เท่าไหร่ ซึ่งหญิงร่างทรงได้บอกว่าตัวเองเข้ามาวงการนี้ได้ไม่นาน แต่ยืนยันว่านับถือพระแม่อุมามานาน
ขณะที่ บอย คลองหนึ่ง พูดเสริมว่า ถ้าใครต้องการพิสูจน์ด้วยการถามว่าร่างทรงเกิดวันไหน ก็ต้องกดทะเบียนราษฎร์สมัยร่างทรงนั้น เพราะตนเป็นร่างทรงพระพิฆเนศก็ยังไม่รู้วันเกิดพระพิฆเนศ
แต่ที่เป็นร่างทรงได้นั้นเพราะความเชื่อและความนับถือ ไม่เคยแหกตาใคร ไม่เคยทำผิดศีล อยู่บ้านแล้วคนศรัทธามาหาเอง ไม่เคยไปชักจูงหรือโน้มน้าวให้ใครเข้ามา ฝั่งหมอปลาสวนกลับ 'เอาเวลาไปหาเห็บหมาดีกว่า'
หลังจากรายการออกอากาศเพียงไม่นาน ได้เกิดกระแสวิจารณ์ไปทั่วสังคมออนไลน์ โดยความเห็นแยกออกเป็นสองฝ่าย ทั้งกลุ่มผู้ที่มีความเชื่อเคารพศรัทธา และกลุ่มที่คิดว่าพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นร่างทรงเป็นเพียงการอุตริขึ้นมาเท่านั้น
“ยึดอาชีพหลอกลวงชาวบ้าน ก็คือมิจฉาชีพ ซึ่งตำรวจต้องจับ แต่เนื่องจากตำรวจไม่จับ เขาจึงอาจคิดว่าเป็นอาชีพให้ความหวัง คนมีความทุกข์ ตามหาของหาย ตามหาเลขเด็ด คนเชื่อก็เชื่อเป็นจริงเป็นจัง
คนไม่เชื่อก็ว่าหลอกลวง พวกเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง บางคนก็ไปกราบไหว้ก็ด้วยความหวัง จะปล่อยปละละเลยก็ไม่ได้ จะห้ามก็ไม่ฟัง กลายเป็นปัญหาโลกแตกที่แก้ไม่ได้”
“คนพวกนี้มักหากินกับคนที่สภาพจิตใจอ่อนแอหรือขาดที่พึ่ง ลองคิดดูว่าต่อให้ไม่เรียกรับเงินเลย แต่ให้บนว่าจะค้าขายดี หรือขายที่-ขายบ้านได้ พอขายได้จริงๆ ก็คิดว่าเป็นเพราะร่างทรง จึงต้องมาแก้บน เอาเงินทองมาถวายกัน”
“พระปลอมก็เยอะมากๆ ทั้งเรี่ยไร-เสพยา-กินเหล้า-ยักยอกทรัพย์-เสพเมถุนสีกา ร่างทรงปลอมแหกตาก็เยอะทุกสาย ล้วนมีทั้งจริง ทั้งดี ทั้งเก๊ อย่าเหมารวม อย่ายกตนข่มท่าน”
#ดึงสติ “ความเชื่อ” ต้องมาพร้อม “ปัญญา”
“การอ้างความเป็นเทพ-เป็นร่างทรงกับการไปบิณฑบาตขอข้าวของพระ มันเป็นการเชื่อมโยงที่มั่วซั่วไปหมด มันก็เหมือนกับพยายามปกป้องตัวเอง โดยที่ไม่สนใจเหตุผล อาตมาว่ามันเป็นการไม่เคารพศาสนา เพราะคนบิณฑบาต ไม่ใช่แค่พระอย่างเดียว พระพุทธเจ้าก็บิณฑบาต”
'พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ' พระนักเทศน์-นักคิด แห่งวัดสร้อยทอง ให้ความเห็นกับทีมข่าว ผู้จัดการ Live หลังเกิดกระแสดรามาร้อนในสังคมออนไลน์ สืบเนื่องจากคลิปฯ บอย คลองหนึ่ง ร่างทรงพระพิฆเนศ เจ้าของตำหนักเทวาลัยบรมครู ได้มีการพูดเปรียบเทียบการบิณฑบาตของพระสงฆ์ว่าเป็นการขอข้าวกิน
ซึ่งพระมหาไพรวัลย์ได้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อ-ความศรัทธาต่อร่างทรงที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้ด้วยว่า การบูชาร่างทรงถือว่ามีมานานด้วยความเชื่อด้านการรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยผ่านการบูชาสิ่งลี้ลับ
“ประเด็นเรื่องร่างทรง ต้องยอมรับอย่างหนึ่ง ด้วยความที่คนไทยนับถือศาสนายุคบรรพกาล มีการเคารพผีปู่-ผีย่า กันมา คนสมัยก่อนเขาจะทำพิธีกรรมอะไรก็ตาม จะพยายามสื่อสารกับคนในยุคก่อน ซึ่งวิธีการสื่อสารที่ง่ายที่สุดก็คือ ผ่านร่างทรง ทีนี้ร่างทรงจึงมาเกี่ยวเนื่องด้วยวัฒนธรรมหลายอย่างด้วย
เช่น รักษาโรคบางอย่างที่เชื่อว่ามาจากอำนาจของสิ่งลี้ลับ เขาจะใช้ร่างทรงในการรักษา ในสมัยก่อนมันมีแค่นี้ แต่ในปัจจุบัน ร่างทรงมันถูกทำให้เลอะเทอะ เละเทะ ไปหมด ทรงกันไปเรื่อย เช่น ทรงตัวละครในวรรณคดี ทรงเจ้าบ้าง อ้างเชื้อพระวงศ์ อันนี้มันเลอะเทอะ มันเลยทำให้ดูเหมือนว่าร่างทรงเดี๋ยวนี้ มันกลายเป็นเรื่องตลกไปเลย
ซึ่งการที่เขามาตั้งคำถามถึงประเด็นพวกนี้ แทนที่เขาจะรับฟังเหตุผลว่า ข้อเท็จจริงของสิ่งที่นำเสนอ อย่างแรกอาจจะมาจากคนที่เขาเชื่อสนิทใจจริงๆ สอง เขาตั้งใจเป็นมิจฉาชีพเลย อาศัยการเป็นร่างทรงในการหลอกลวง หรือสุดท้าย มีอาการทางจิต เช่น อาการหูแว่ว
จริงๆ มันมีงานวิจัยรองรับนะ ซึ่งแทนที่เขาจะรับฟังข้อมูลพวกนี้ แต่กลับไม่ฟัง และพยายามจะปกป้องพวกตัวเอง ปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง ก็เลยพยายามแย้งไปทั่ว อาตมามองแล้วมันไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ไม่ได้พยายามที่จะรับฟังเหตุผล หรือโต้แย้งอย่างคนที่มีสติปัญญา”
ขณะที่ความคิดเห็นในสังคมมีข้อถกเถียงขึ้นว่า ไม่เพียงแต่ร่างทรงเท่านั้นที่มีการอวดอุตริ หรือหลอกลวงประชาชน ซึ่งวงการสงฆ์เองก็ได้มีพระบางจำนวนที่แสดงอภินิหารไปในทางไสยศาสตร์ด้วยเช่นเดียวกัน!
เพื่อยืนยันคำตอบของเรื่องนี้ พระมหาไพรวัลย์ อธิบายว่าพฤติกรรมดังกล่าวไม่ใช่พระพุทธศาสนาที่แท้จริง เพราะพระพุทธเจ้าปฏิเสธเรื่องของไสยศาสตร์ทั้งหมด อีกทั้งยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า ความเชื่อ-ความศรัทธาต้องมาพร้อมสติปัญญา
“ถ้าเขาอ้างโดยนำไปเปรียบเทียบกับพระพวกนั้น อาตมาไม่แย้งเลยนะ เพราะมันก็มีพระบางพวกที่อวดอุตริ แต่ว่ามันไม่ใช่ว่าพระพุทธศาสนายอมรับพฤติกรรมของพระพวกนั้นนะ จะมาอ้างว่านั่นคือศาสนาหรือคือพระทั้งหมดก็ไม่ได้
เพราะพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าเองก็ปฏิเสธเรื่องของไสยศาสตร์ทั้งหมด การอ้างตัวเป็นหมอผีมีเวทมนตร์ การห้ามให้พระประกอบพิธีกรรมพวกนี้ ถ้าเอาเรื่องนี้มาอ้างก็ไม่เป็นผลอยู่ดี เพราะมันไม่ใช่หลักการทางพระพุทธศาสนา
ส่วนกรณีที่เกิดขึ้น อาตมาคิดว่าดีนะ อยากให้คนลุกขึ้นมาตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้กันมากๆ แต่อาตมาคิดว่าคนในสังคมส่วนมาก ไม่เชื่อหรอก เขามองเป็นเรื่องขำขันด้วยซ้ำ อาตมาก็อยากฝากว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ โดยศรัทธาความเชื่อ ไม่ว่าคุณจะเชื่ออะไร อย่างแรกต้องใช้ปัญญาในการพิจารณาสิ่งที่คุณเชื่อด้วย
ต่อมาคือปัญญาที่จะรับฟังคนอื่น สุดท้ายแล้วความเชื่อพวกนี้มันก็จะยังอยู่ แต่อาตมามองว่ามันก็จะปลุกคนที่มีทั้งความเชื่อและความไม่เชื่ออยู่ได้เยอะ ให้เขาได้พิจารณาจากปรากฏการณ์ จากพฤติกรรม จากคำพูดของร่างทรง แล้วให้เขาเกิดการตั้งคำถามกันเองว่าสุดท้ายแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นความจริงมันคืออะไร”
ข่าวโดย ทีมข่าวผู้จัดการ Live
ภาพจาก FB: เหยื่อการตลาด ทาสโปรโมชั่น