xs
xsm
sm
md
lg

กึ่งป่วย-กึ่งมิจฉาชีพ? “องค์ลงยุคใหม่” ไลฟ์สด-ออกทีวี แพทย์ฟัน “ผิดปกติทางจิต”!! [มีคลิป]

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผิดปกติทางจิต-ทำเพื่อผลประโยชน์-กึ่งมิจฉาชีพ!! จิตแพทย์วิเคราะห์ตรง ถ้าตัดเรื่อง “ความเชื่อ” ออก “ปรากฏการณ์ประทับทรง” เข้าข่ายนี้ไม่ผิดแน่ กระทืบสติคนงมงาย เลิกได้ไหมความคิด “ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่” สะท้อนกรณี “องค์จตุคามฯ ลง” ผ่านไลฟ์สด-ออกทีวี ที่เป็นแบบนี้เพราะทัศนคติที่ว่า #ธรรมดาโลกไม่จำ



“องค์ลง” หน้าเปลี่ยน-เหม็นมนุษย์-อยากไลฟ์สด!!

“ก่อนหน้าที่จะรู้ตัวว่ามีองค์จะมาลง ตัวเราจะเย็นและแข็ง ฝืนไม่ได้ ตรงศีรษะ-ท้ายทอยจะปวดมาก เป็นอยู่อย่างนั้น 3 ปี ไปตรวจเช็กร่างกาย หมอก็บอกไม่เป็นอะไร

หลังจากนั้น พอท่านลงมาประทับปุ๊บ เราก็เริ่มมีอาการ “เหม็นสาบมนุษย์” อยู่ด้วยกันกับสามีไม่ได้แล้วค่ะ จะอาเจียน รู้สึกเหมือนมีญาณพิเศษอะไรมาอยู่ อยากกินน้ำสีดำ แล้วก็เริ่มชอบกลิ่นกำยาน”

“หนึ่ง” สาวใหญ่วัย 49 ผู้อ้างตัวว่าเป็น “ร่างประทับองค์แสงสุริยเทพ พระมหาสุริยะ” ซึ่งเป็นภาคหนึ่งของ “องค์จตุคามรามเทพ” ได้บอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ผ่านรายการ “โหนกระแส” ก่อนเริ่มแสดงท่าทีเปลี่ยนไป


เธอทำตาเบิกกว้างขณะพูด เปลี่ยนเสียงเป็นเสียงที่ใหญ่ขึ้น แทนตัวเองว่า “กู” สนทนากับพิธีกร อ้างตัวว่าตัวตนที่ออกเสียงพูดอยู่ขณะนั้น คือองค์เทพที่เข้ามาประทับ ส่งให้คลิปรายการดังกล่าว กลายเป็น Talk of The Town เพียงชั่วข้ามคืน

รวมถึงตัวของหนึ่งเอง ที่ถูกสังคมวิพากษ์หนักถึงขั้นมองว่า เธอลวงโลกหรือมีอาการทางจิต มากกว่าจะเป็นร่างประทับขององค์เทพใดๆ ตามที่ได้อ้างไว้ และดูเหมือนว่าตัวเธอเองก็รับรู้ถึงกระแสต่อต้านตรงนี้เป็นอย่างดี จึงได้อธิบายมุมมองของเธอเอาไว้ ในขณะที่สติทุกอย่างยังไม่มีเรื่องอื่นมาครอบงำเอาไว้อย่างชัดเจนว่า “เข้าใจ” และไม่ได้ต้องการบังคับใครให้เชื่อ

“ต้องมีคนมองว่าเราบ้าอยู่แล้ว ตัวเราเองก็ต้องมอง 2 ด้านนะ ถ้าเราเป็นคนอื่นที่มาดู เวลาเราเป็นแบบนี้ ตอนแรกเรายังรับตัวเองไม่ได้เลย โอ้โห.. เปลี่ยนทั้งเสียง ทั้งหน้า อะไรทุกอย่าง ก็เพิ่งมาได้เห็นหน้าตัวเองตอนท่านไลฟ์สดนี่แหละค่ะเป็นครั้งแรก

ประเด็นที่จู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาใช้เฟซบุ๊กส่วนตัว "แสงสุริยเทพ พระมหาสุริยะ" ไลฟ์สดการประทับทรง แสดงท่าทางองค์ลง ก็เป็นหนึ่งในหัวข้อใหญ่ที่โซเชียลฯ หยิบขึ้นมาตั้งคำถาม เพราะสงสัยกันหนักมากว่า ถ้าเป็นเทพที่มาจากอดีตกาลจริงๆ เหตุใดจึงรู้จักมือถือและไลฟ์สดเป็น


เกี่ยวกับเรื่องนี้ องค์ที่มาลงในรายการตอนนั้น ตอบเอาไว้ให้ผ่านรายการแล้วว่า องค์ท่านไลฟ์สดเป็น และทำทุกอย่างที่มนุษย์ยุคนี้ทำได้ เพราะเรียนรู้ผ่าน “ร่างทรง” คนนี้มาตลอด 15 ปีนั่นเอง

“เอาอย่างนี้แล้วกัน ที่บอกท้าพิสูจน์ให้ทำหน้าแบบกูเนี่ย มึงทำแบบกู 3 ชั่วโมงได้ไหมล่ะ 3 วันก็ได้เอา ในเมื่อเรามาใช้ร่างสังขารนี้ทำพิธี ต้องเรียนรู้ว่ายุคที่เราไม่มีกับยุคนี้ มันต่างกันอย่างไร

จะให้ร่างสังขารนี้โง่ เทพโง่ โดยที่ไม่รู้เรื่อง มันไม่ใช่... กูเป็นของแท้จะกลัวทำไม จะให้กูไปแอบลงในบ้าน ในมุ้งเหรอ ใครจะเห็นบารมีกูล่ะ... เหรียญมี 2 ด้าน มนุษย์นิ้วมือยังไม่เท่ากันเลย จะให้ใครมาเชื่อ นอกเสียจากรอชม ติดตามนะลูกๆ ว่า ต่อไปพ่อมาสร้างบารมีอย่างไร จะเกิดปาฏิหาริย์เช่นไร

ตอนนี้พวกเจ้าลบหลู่ได้ พ่ออนุญาต อยากทำอะไร ทำเลย แต่ต่อไปกาลข้างหน้า กูมาสร้างบุญบารมี แล้วเกิดปาฏิหาริย์ภายในประเทศนี้ ในโลกนี้ ก็ต้องน้อมกราบบาทกู


ทั้งหมดนั้นคือคำพูดของ “หนึ่ง” ในนามร่างประทับ "องค์พระเจ้าศรีธรรมาโศกราช" ผ่านน้ำเสียงที่แก่ลง นัยตาเบิกกว้าง และคิ้วที่เลิ่กสูง ร่างที่ตั้งปณิธานเอาไว้ว่า จะเป็นร่างทรงไปอีก 10 ปี เพื่อ “ใช้ร่างนี้ออกไปบูรณะปฏิสังขรณ์วัด จะสร้างจตุคามฯ แห่งยุคนี้ จะทำให้ครบทุกภาค-ทุกปาง และคนก็ต้องเข้ามาอยู่ในระบบของการถือศีลภาวนาด้วย” เธอประกาศเอาไว้อย่างนั้น ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับปณิธานที่ให้ไว้บนเฟซบุ๊กส่วนตัว

"เรามาทำอะไรที่นี่นะเรา? องค์พ่อจตุคามรามเทวาให้มาทำภารกิจ เพื่อประกาศให้ลูกๆ ของท่านทราบว่า องค์พ่อมีจริงและอยู่ประทับกับร่างสังขารนี้จริง เพื่อจะมาบูรณะวัดและพระพุทธศาสนาให้เจริญงอกงามในด้านศีลธรรมอันดีงามสืบต่อไป ก่อนที่จะเข้ารายการ ขอกราบสักการะบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันก่อนค่ะ ขอประธานอนุญาตทำหน้าที่ก่อนนะคะ ขอให้ได้อานิสงส์แด่ทุกๆ ท่านด้วยเทอญ สาธุรามา #ธรรมดาโลกไม่จำ ยุค 4.0"



ธรรมดา-โลกไม่จำ ผิดธรรมดา-โรคประจำ

“ถ้าให้ให้นิยามจากทางการแพทย์ เรื่อง "การประทับทรง" หรือ "ร่างทรง" โดยตัดเรื่อง “เชื่อ-ไม่เชื่อ” ออกไปก่อน ก็จะถือว่าเป็น “กลุ่มที่มีความผิดปกติทางจิต” ครับ แต่ก็อาจจะไม่ใช่ขั้นรุนแรง ส่วนเรื่องที่คนใกล้ชิดกับกลุ่มเหล่านี้ จะมีความคิดคล้อยตาม อาจะเป็นไปได้ว่า ถ้าเกิดจากการทำเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง เขาอาจจะได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน หรือเป็นเพราะอุปาทานหมู่”

นพ.โยธิน วิเชษฐวิชัย จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาจิตเวชศาสตร์ ประจำโรงพยาบาลสมิติเวช ช่วยวิเคราะห์ภาพรวมของ “ปรากฏการณ์องค์ลง” เอาไว้ให้ทีมข่าว ผู้จัดการ Live ผ่านปลายสาย โดยย้ำว่าไม่ได้ต้องการวินิจฉัยในกรณีใดกรณีหนึ่งเฉพาะเจาะจงลงไป ก่อนแยกแยะให้เห็นถึงความต่างของ “โรคจิต” และ “กลุ่มที่มีความผิดปกติทางจิต” ให้เห็นอย่างชัดเจน

“ในส่วนคนที่มองว่า “ร่างประทับ” มันไม่เป็นความจริง เป็นความคิดที่ "ไม่ปกติ" ก็จะทำให้สามารถพิจารณาอาการออกได้เป็นหลายระดับด้วยกัน ตั้งแต่โรคจิต หลงผิดคิดว่าตัวเองมีพลังอำนาจยิ่งใหญ่



อาการ "โรคจิต" ทางการแพทย์ จะต้องมีอาการ "รับรู้ผิดปกติ" เช่น หูแว่ว, ประสาทหลอน, หลุดโลก, คิดว่าตัวเองเป็นเทวดาสูงส่ง หรือเกี่ยวพันกับบุคคลชั้นสูง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่มี เรียกว่า "อาการหลอน"

และถ้ามีอาการหลอนมากๆ อาจจะคิดว่าตัวเราเหนือกว่าคนอื่น จนถึงขั้นเกิดอาการดูถูกเหยียดหยามว่าคนอื่นต่ำต้อย หรือแสดงความรังเกียจออกมาได้ ไม่อยากให้ใครมาแตะเนื้อต้องตัว

แต่ปัญหาก็คือ สำหรับคนที่เป็นโรคจิต จะมีอาการเหล่านั้นตลอดเวลา จะต้องเป็นตลอดเวลา จะไม่มีบุคลิกเข้าๆ ออกๆ จะไม่เหมือนการประทับทรงเป็นช่วงๆ

ถ้าอาการเหมือนการประทับทรงเป็นช่วงๆ อาจจะเป็นอาการของโรคอย่างอื่น และน่าจะตรงกับอาการ "Dissociative Disorder" มากกว่า คืออาการเปลี่ยนตัวเองเป็นอีกบุคลิกหนึ่ง ซึ่งจะมีอาการเป็นบางเวลา จะมีอาการรู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง

เป็นอาการของคนที่แกล้งเข้าทรงได้ แต่ตัวเองไม่รู้ว่าตัวเองแกล้ง เพราะจิตใต้สำนึกกดการหลอกลวงตัวเอง ว่าตัวเองแกล้งไว้ โดยที่ให้ตัวเองรู้ ซึ่งถืออยู่ในประเภท "Conversion Disorder" อีกที



แต่ถ้าเป็นกรณีที่ว่า จะควบคุมการทรงไม่ได้นะครับ อยู่ดีๆ วันดีคืนดี มันก็โผล่ขึ้นมา จะไม่ใช่ว่าเรียกเข้าทรงแล้ว เข้าได้เดี๋ยวนั้นเลย คือเรียกว่าเข้าทรงแบบเชิญไม่ได้ แต่จู่ๆ พอมาเกิดขึ้นก็แปลงร่างไปอีกคนนึงเลย อาจจะพูดภาษาอียิปต์หรืออะไรก็แล้วแต่ ส่วนถ้าเป็นกรณีที่ถามตอบรู้เรื่อง ยังคุยภาษาไทยอยู่ อาจจะเป็นชนิดที่เปลี่ยนแค่บุคลิกเฉยๆ

แล้วก็อีกประเภทนึงก็คือ กลุ่มอาการเหมือนคนประทับทรง แบบเชิญเข้าร่างได้ จะเป็นประเภท "Malingering Disorder" แกล้งเข้าทรงเพื่อหลอกคนอื่น โดยที่ตัวเองก็รู้ตัว แต่ก็ทำเพื่อให้ได้ผลประโยชน์อะไรบางอย่าง อาจจะเป็นเรื่องของเงินทอง, ได้รับความสนใจจากสังคม, ความเคารพนับถือ ฯลฯ เพราะเป็นคนธรรมดาโลกไม่จำ แต่พอเป็นร่างทรงก็มีคนมากราบไหว้

และบางครั้งก็ทำให้กลุ่มคนในจำพวกนี้ สวมรอยเพื่อรักษาคนด้วย ซึ่งคนกลุ่มนี้เขาก็จะรู้ตัว แต่ทำไปด้วยผลประโยชน์บางอย่าง กึ่งๆ มิจฉาชีพด้วยครับ

อะไรทำให้ “ความเชื่อ” แบบนี้ ยังคงอยู่ในยุค 4.0 ที่ก้าวมาไกลขนาดนี้แล้ว? หลายๆ คน โดยเฉพาะคนที่มองว่า “งมงาย” ต่างตั้งข้อสงสัย ถ้าให้วิเคราะห์ผ่านสายตาของจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ความผิดปกติทางจิตแล้ว นายแพทย์มองว่าสิ่งเหล่านี้ มันฝังรากลึกในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน ยากที่จะถอนออก (ถ้าผู้ถอนไม่พร้อมจะมีสติ)



“เรื่องของ "ความเชื่อ" ที่เกิดขึ้นในสังคมเรา เกิดขึ้นมาเพราะการขาดการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล ยกตัวอย่างเรื่องหวย คิดว่าขอหวยกับอาจารย์คนนั้น ขูดต้นไม้แล้วจะได้เลข อะไรแบบนี้ก็คือความเชื่อ หรือแม้แต่เรื่องความเชื่อที่อิงมากับการศึกษา วรรณคดีที่มีเรื่องเทพเข้ามาเกี่ยวข้อง มันก็ทำให้เด็กรู้สึกว่าสิ่งลี้ลับมันยังมีจริงอยู่

และด้วยความเชื่อในสังคมที่มีมาแบบนี้ ก็ทำให้คนบางกลุ่มที่อาจจะป่วย แต่ไม่ได้ป่วยจนไม่รู้ตัว เขาสามารถใช้ประโยชน์จากตรงนี้ได้มากขึ้น เทียบกับในต่างประเทศแล้ว ถ้าเกิดมีคนออกมาพูดถึงการประทับทรงของตัวเอง ก็คงทำให้คนเฉพาะกลุ่มเท่านั้นที่เชื่อเรื่องนี้ จะไม่ส่งผลกับคนที่มีความแข็งแรงในจิตใจเหมือนคนไทย แต่คนไทย ต่อให้จิตใจแข็งแรง ก็เชื่อเรื่องนี้ได้

ยังไงก็ตาม ทัศนคติที่ว่า "ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่" สำหรับผม ผมไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ ผมมองว่าถ้าเลือกที่จะ "เชื่อ" ก็ไม่ควรปล่อยให้ตัวเองได้รับผลกระทบจากเรื่องที่เชื่อ แต่ถ้าไปข่มขู่คนอื่นว่า ไม่เชื่อเหรอ เดี๋ยวผีมาบีบคอ มันออกแนวข่มขู่ ถ้าไม่เชื่อแล้วโดนลงโทษ ผมก็เลยไม่เห็นด้วย

จะ "เชื่อ-ไม่เชื่อ" ไม่สำคัญเท่ากับ เรื่องที่เชื่อนั้น มีผลกระทบต่อเรายังไง ถ้าจะเชื่อก็ขอให้เชื่อแบบพอสมควร บางคนเชื่อจนเอาตัวเข้าไปเสี่ยง เอาตัวเข้าไปหามิจฉาชีพ ผมว่าหาทางออกทางอื่นก่อนดีกว่า โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า หรือจิตใจไม่เข้มแข็งพอ ถ้าไม่อยากตกเป็นเหยื่อจากการถูกชักจูง เราก็ต้องเผยแพร่ "ชุดความรู้" เหล่านี้ออกไป เพื่อไม่ให้มีใครถูกครอบงำมากไปกว่าเดิม








ข่าวโดย ผู้จัดการ Live
ขอบคุณภาพ: เฟซบุ๊ก "แสงสุริยเทพ พระมหาสุริยะ"


กำลังโหลดความคิดเห็น