“ผมติดทีมชาติไทยตลอดชีวิต”
บางคนอาจมองว่าเขาบ้า แน่นอนหละที่ใครจะมองเขาแบบนั้น ทั้งการแต่งกาย ทั้งสิ่งที่เขาทำ คนบ้าอะไรจะตระเวนไปทั่ว เชียร์ไทยแล้วได้อะไร?
ตรงข้างอัฒจันทร์แห่งการแข่งขัน ไม่ว่าการชิงชัยที่เกิดขึ้นในสนามผลจะเป็นอย่างไร แต่เสียงที่จะแตะโสตสัมผัสนักกีฬาให้ฮึกเหิมอยู่เสมอคือเสียงเชียร์ และผู้นำเสียงนั้นคือชายรูปร่างหน้าตาแปลกประหลาด แต่งตัวประหลาดที่ชื่อว่า “ไทยแลนด์ คำทอง” หรือ “ดักแด้ คำทอง” นักแสดงตลกผู้ผันตัวเองมาติดตามเชียร์นักกีฬาทีมชาติไทยทุกประเภท
ก่อนหน้าที่เขาจะเข้าสู่วงการตลก ดักแด้มีความไฝ่ฝันที่จะเป็นนักกีฬาทีมชาติ เขาเกาะติดสนามวอลเล่ย์บอล เฝ้ามองดูนักกีฬาฝึกซ้อมอย่างชื่นชม ด้วยหวังว่าจะมีโอกาสได้ติดธงไตรรงค์บนหน้าอกสักครั้งในชีวิต แน่นอนว่าเรื่องที่เขาจะได้เป็นนักกีฬานั้นมันไม่ได้เกิดขึ้น
แต่ปัจจุบันเขาทำให้ตัวเขาได้เข้าไปอยู่ในสนามแข่งราวกับเป็นผู้เล่นหรือนักกีฬาอีกคนที่ทีมชาติไทยจำเป็นต้องมี มีคนเห็นแววการเป็นนักเอนเตอร์เทนที่ข้างสนามของเขา นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นยอดนักเชียร์ทีมชาติ
“ตอนตระเวนเชียร์ตามต่างจังหวัดยังไม่เท่าไหร่ แต่ตอนไปต่างประเทศนี่แหละที่ลำบากครับ”
“ไปต่างประเทศ ถ้าไม่ได้เนียนๆ ไปนอนโรงแรมกับนักกีฬา ก็ต้องแอบไปขอนอนกับพวกพี่ๆ นักข่าว บางทีนอนตามวัดไทยก็ดีนะครับ เพราะจะหมดห่วงเรื่องของกิน บางครั้งนอนโรงแรม ผมมักหยิบกล้วย หยิบผลไม้ในโรงแรมใส่กระเป๋า คนอาจมองว่าไม่เหมาะสม แต่ผมเลือกที่จะทำเพื่อความอยู่รอด ผมต้องใช้แรงเชียร์พี่ๆ นักกีฬาทั้งวัน และผมต้องไม่ทนหิว”
ครั้งหนึ่งเขาเคยเกือบตายเนื่องจากโหมแรงกายที่มีทั้งหมดในการเชียร์กีฬาจนป่วยหนักต้องเข้าโรงพยาบาล แต่เขาไม่เคยคิดจะหยุด เมื่อหายป่วย เขากลับมาลุยอีกครั้ง
“ผมเชียร์ทีมชาติตามปกติ แต่หันมาดูแลสุขภาพตัวเองมากขึ้น ออกกำลังกายบ้างเพื่อให้มันมีภูมิคุ้มกัน”
สิ่งที่ทำให้ไทยแลนด์ คำทองยังคงเดินหน้าติดตามเชียร์ทีมชาติไทยกับกีฬาทุกประเภท ไม่เว้นแม้แต่กีฬาคนพิการ ไม่ใช่เรื่องของผลแพ้ชนะ เขามองว่านักกีฬาควรได้รับพลังใจในการแข่งขัน เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาหันมาเจอกองเชียร์ อย่างน้อยพวกเขาก็ยังได้คลายความกดดันจากเกมการแข่งขันบ้าง
“ผมไม่ได้หวังอะไรจากผลแพ้ชนะในกีฬา เวลามีคนถามว่าทำแล้วได้อะไร ผมตอบได้เลยว่าใจรัก พี่น้องในวงการกีฬาก็ต้อนรับผม ทุกคนดูแลผม วินมอเตอร์ไซค์ คนขี้เมา คนไทยที่เดินสวนกันกับผม พวกเขารู้จักผม เข้ามาขอถ่ายรูป พูดคุยทักทาย แสดงความมีน้ำใจ ผมอยู่ได้ด้วยสิ่งเหล่านี้”
เขาบอกว่าเมื่อก่อนเคยคิดว่าการติดทีมชาติแล้วได้ติดธงที่หน้าอกคือความภาคภูมิใจที่สุด แต่ปัจจุบันนี้เขาได้ติดธงไตรรงค์ทั่วทั้งตัว
“นักกีฬาอาจมีวันร่วงโรยจากเกมการแข่งขัน หมดรุ่นนี้รุ่นใหม่ก็ติดทีมขึ้นมา แต่สำหรับกองเชียร์อย่างผมถ้ายังไม่ตาย ผมก็ยังได้ติดทีมชาติตลอดชีวิต”
นี่แหละ ไทยแลนด์ คำทอง จอมพลังเชียร์ไทยที่มอบทั้งแรงกายแรงใจ รวมถึงชื่อของเขาที่อุทิศให้ทีมชาติไทยทั้งหมด