“ถ้าผมแพ้คดี ถูกฟ้องให้จ่ายค่าเสียหาย(หลักล้าน) และเจ็บเองอยู่คนเดียว แสดงว่ากระบวนการยุติธรรมไทย ยังไม่แข็งแรงพอ” พลเมืองดีผู้เดือดร้อนจากการโพสต์ปกป้อง “พื้นที่คุ้มครองทางทะเล” เปิดใจผ่านปลายสายหลังถูก “บริษัทนำเที่ยวรายใหญ่” ฟ้องฐานทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ทั้งยังพลิกกลับคำที่เคยรับสารภาพ จาก “พลเมืองดี” วันนั้น จึงกลายเป็น “จำเลย” ในวันนี้ และหวังให้ความยุติธรรมมีจริง เพื่อผลักให้ “คนดี” ในสังคมนี้ ไม่กลัวที่จะออกมางัดข้อกับคนผิด โดยมีเคสนี้เป็นกรณีตัวอย่าง!!
ถูกฟ้อง-เสี่ยงคุก เพราะเป็น “พลเมืองดี”?
[ล่าสุด ถูกหมายศาลแจ้งสั่งฟ้อง]
“จะเป็นยังไง ถ้าคนคนนึงจะต้องติดคุก เพราะเขาแค่อยากดูแลธรรมชาติ?”
มันคือคำถามที่ ก้าน-ปฐมพร รุยันต์ ช่างภาพอิสระรายหนึ่ง ถามเอาไว้ ผ่านเฟซบุ๊ก "Patomporn Ruyun" ที่โพสต์ลงในกลุ่มนักดำน้ำ “Thailand Underwater Photography”
คำถามที่มาจากความรู้สึกจริงๆ ของ “พลเมืองดี” คนหนึ่ง ซึ่งเคยสร้างประวัติศาสตร์การเอาผิด “ไกด์นำเที่ยวมือบอน” ผู้ใช้ปะการังทุบหอยเม่น เพื่อล่อปลามาถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยวที่ “เกาะเฮ จ.ภูเก็ต” ซึ่งเป็นเขตรักษาพืชพันธุ์สัตว์น้ำ และพื้นที่คุ้มครองตาม พ.ร.บ.การประมง 2490 ได้สำเร็จ จนกลายเป็นข่าวแชร์กันให้ครึกโครมเมื่อเดือน มี.ค.ปีที่แล้ว
[ย้อนรอยกลับไปเหตุการณ์เมื่อเดือน มี.ค.ปีที่แล้ว วันที่เจอไกด์ทำลายธรรมชาติ]
แต่ทว่า คล้อยหลังจากนั้นเพียง 5 เดือน ก็มีหมายศาลสั่งฟ้องข้อหา “หมิ่นประมาทเพื่อการโฆษณา” กลับมายังตัวเขา พร้อมเงินประกันตัวที่เรียกสูงถึง 50,000 บาท จนเป็นเหตุให้คนที่มีเจตนาดีต่อสิ่งแวดล้อมคนนี้ ต้องกลับมาโพสต์บอกเล่าเรื่องราวของตัวเองเพื่อขอความช่วยเหลือผ่านโซเชียลฯ และเป็นเหตุให้เรื่องราวระหว่าง “ฝั่งคนรักธรรมชาติ” กับ “ฝั่งหากินกับธรรมชาติ” กลายเป็นประเด็นที่สังคมต้องจับตามองอีกครั้งหนึ่ง
โชคดีที่ท้ายที่สุดแล้ว ก้านหาทางออกเรื่องเงินประกันได้สำเร็จ โดยตัดสินใจใช้สิทธิ "ประกันภัยอิสรภาพหลังกระทำความผิด" ทำให้ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเต็มจำนวน คือจ่ายแค่ 10,000 บาท แลกกับลายเซ็นผู้ค้ำประกันอีก 3 คนแทน ความรู้สึกหนักๆ ที่ผลักให้เขาลุกขึ้นมาโพสต์ขอเงินสนับสนุนเรื่องนี้จึงลดลงไปเรื่องนึง เพราะตอนนี้เขาได้เงินสมทบทุนจากโซเชียลฯ แล้ว 7,800 บาท และเงินส่วนที่ยังขาด เขาบอกว่าสามารถรับผิดชอบไหว
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีเรื่องใหญ่อีกเรื่อง ที่ทำให้เขาเครียดยิ่งไปกว่านั้น คือเรื่องการตกเป็น “จำเลย” และถูกฟ้องร้องในครั้งนี้ จากประเด็นที่แทบหามูลความจริงไม่เจอ อย่างที่เขาได้เปิดใจบอกเล่าเรื่องราวหนักๆ ในครั้งนี้แก่ ทีมข่าว ผู้จัดการ Live ผ่านปลายสาย
[นักท่องเที่ยวจีน 2 ราย ที่ถูกพาไปถ่ายรูป เกาะปะการัง]
“ตอนแรกคิดว่าน่าจะจบเรื่อง เพราะคนที่ทำลายธรรมชาติก็ถูกดำเนินคดีไป แต่ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น เขาถึงได้ตัดสินใจฟ้องผมด้วยเนื้อความที่แตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง คือทางบริษัทกลับมาพลิกคำ อ้างว่าพนักงานคนที่ถูกดำเนินคดี ไม่ใช่พนักงานประจำของเขา แต่เป็นฟรีแลนซ์
และฟ้องร้องผมข้อหาหมิ่นประมาท จากภาพซุ้มดำน้ำที่ผมถ่ายไว้เป็นหลักฐาน และโพสต์ลงโซเชียลฯ ไปในตอนนั้น พอดีภาพมันไปติดโลโก้บริษัทด้วย เขาเลยบอกว่าผมทำให้คนเข้าใจว่า พนักงานคนนั้นเป็นคนของเขา และสร้างความเสียหายให้แบรนด์ของเขา
แต่ตามหลักการแล้ว ผมมองว่าไม่ว่าจะเป็นพนักงานอิสระหรือประจำ แต่ถ้าขึ้นชื่อว่าทำงานกับทางบริษัท เข้ามาทำงานภายใต้สังกัดของเขาแล้ว เขาก็ต้องรับผิดชอบพฤติกรรมของพนักงาน ถ้ามีใครทำความผิดระหว่างปฏิบัติงาน บริษัทที่จ้างเขามาก็ควรจะต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย”
[ไกด์ไร้สำนึก ที่หยิบปะการัง ไปทุบหอยเม่น]
ย้อนกลับไปพูดถึงความผิดแบบคาหนังคาเขาที่พลเมืองดีอย่าง “ก้าน” เห็นมากับตาและถ่ายรูปเก็บหลักฐานมากับมือ ก็คือพฤติกรรมของไกด์ดำน้ำคนหนึ่ง ซึ่งจับมือนักท่องเที่ยวชาวจีน 2 คน พาไปเกาะและยืนเหยียบปะการัง เพื่อถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึก แถมยังหยิบ “ปะการัง” ที่เกาะกลุ่มกันอยู่ มาทุบ “หอยเม่น” ให้แตก เพื่อล่อปลาออกมากินเนื้อ นักท่องเที่ยวจะได้ถ่ายรูปปลาเหล่านั้นได้อย่างใจ
และเพื่อหยุดวงจรทำร้ายธรรมชาติแบบนั้น ก้านจึงร้องเรียนเรื่องถึงกระทรวง โพสต์ลงโซเชียลฯ จนได้ผลออกมาอย่างที่เห็น จนเหตุการณ์นั้นกลายเป็นข่าวใหญ่ในช่วงนั้น และถ้าใครลองเสิร์ชข้อมูลข่าวย้อนหลังดู ก็จะพบกับบริษัทนำเที่ยวที่ชื่อ “นนทศักดิ์ มารีน” เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง จนกลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างอยู่พักใหญ่ๆ เลยทีเดียว
“ตอนที่ผมทำไป ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องถูกฟ้องเลย เพราะมันทำให้บริษัททัวร์ของเขาเสียชื่อเสียง 2 ครั้งเลยนะ ครั้งแรก เขาเสียชื่อเสียงจากการกระทำของไกด์ และครั้งที่ 2 เขามาเสียชื่อเสียงซ้ำจากการส่งฟ้องผมอีกรอบนึง แถมครั้งนี้ยังเป็นเรื่องใหญ่มากๆ ด้วย เพราะฉะนั้น มีแต่เสียกับเสียจริงๆ ครับ
สำหรับเคสนี้ ผมก็อยากมั่นใจเหมือนกันครับว่า ผมสามารถรอดจากเหตุการณ์หรือชนะคดีนี้ได้ เพราะถ้าผมแพ้ ผมจะโดนคดีแพ่งควบด้วย ซึ่งทางบริษัทสามารถจะเรียกค่าเสียหายจากผมเท่าไหร่ก็ได้ อาจจะเป็นหลักล้าน ผมก็จะเจ็บเองอยู่คนเดียว และยังแสดงว่ากระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย หรือข้อกฎหมาย มันน่าจะยังไม่แข็งแรงพอ
[สภาพหอยเม่นที่ถูกทุบ เพื่อล่อให้ปลาออกมาว่ายวน โชว์นักท่องเที่ยว]
ยังไงก็ตาม ผมอยากให้เคสนี้เป็นเคสตัวอย่างด้วยครับว่า ถ้าคนที่ทำถูกดำเนินคดีและเป็นข่าวขึ้นมาได้ ทัวร์อื่นๆ ก็จะไม่กล้าทำ เพราะจะกลัวถูกแฉ จากนั้นพลเมืองดีก็จะมีพลังมากขึ้นในการที่จะปกป้องธรรมชาติ คือคนทำผิดจะไม่กล้าทำผิดอีกต่อไป เพราะกลัวจะเสื่อมเสียชื่อเสียง, คนที่เป็นหูเป็นตา ก็จะช่วยให้เขามีความกล้าที่จะร้องเรียนมากขึ้นด้วย”
ไม่ต้องกลัวข้อกล่าวหา กฎหมายคุ้มครอง “คนหวังดี”
[นี่หรือคือ ฝีมือของคนที่เรียกว่า "ไกด์-นำเที่ยว"]
“ประเด็นมันก็คือ สิ่งที่คุณปฐมพรทำ เขาทำโดยสุจริตใช่ไหม ถ้าเขาทำโดยสุจริต ย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายอยู่แล้วครับ”
เกิดผล แก้วเกิด ทนายความอิสระชื่อดัง ผู้ติดตามประเด็นข่าวร้อนในเรื่องนี้อยู่ ช่วยคอนเฟิร์มให้ “พลเมืองดี” ที่กลายเป็น “จำเลย” ได้เบาใจว่า สุดท้ายแล้วคนทำดี จะต้องได้ดี โดยบอกผ่านทีมข่าวที่ต่อสายตรงไปหา ระบุชัดว่ามี “ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329 (3)” ที่คุ้มครองเอาไว้ชัดเจน
“กฎหมายระบุว่า ผู้ใดกระทำการโดยสุจริต ติชมโดยสุจริต เพื่อปกป้องครรลองของวิถีประชาชนโดยสุจริต เขาย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายอยู่แล้วครับ เพราะกฎหมายบัญญัติเอาไว้เลยว่า การกระทำดังกล่าว ไม่เป็นความผิดทางอาญา ไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทแน่นอนครับ”
[รายละเอียดจากคดีเก่ามีครบ หลักฐานการยอมรับความผิดของไกด์ ซึ่งเป็นพนักงานบริษัท]
ส่วนเรื่องที่หลายคนตั้งข้อสงสัย ว่าถ้าหากโจทก์ยื่นเรื่องเท็จต่อศาลแล้ว เหตุใดศาลจึงรับเรื่องมาพิจารณาต่อ ทั้งที่ข้อมูลเรื่องไกด์รายนั้น เป็นพนักงานของบริษัท ได้รับการยอมรับเอาไว้แล้วตั้งแต่คดีความเมื่อครั้งที่แล้ว เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทนายความชื่อดังรายเดิมได้แต่บอกเอาไว้ว่า ทุกอย่างเป็นเพียงขั้นตอนปกติของกระบวนการยุติธรรมเท่านั้นเอง
“ทางศาลยังไม่ได้ไต่สวนด้วยซ้ำ ตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นว่าศาลรับพิจารณาคดีหรือไม่รับ แต่ศาลรับไต่สวนมูลฟ้อง และตัวจำเลยต้องไปต่อสู้ เมื่อตัวจำเลยแสดงพยานหลักฐาน หรือข้อความที่เป็นสุจริตได้ว่า เป็นการติชมตามความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งอื่นใดตามวิสัยของประชาชนย่อมกระทำได้
ถ้าเขาพิสูจน์ต่อศาลได้ว่าเขาไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้ง แต่ติชมเพื่อปกป้องผลประโยชน์ทรัพยากรทางทะเลของประเทศชาติ ศาลย่อมไม่ประทับฟ้องครับ ย่อมยกฟ้องแน่นอน แต่ในเบื้องต้น เขาแค่ยื่นคำร้องเข้าไป ศาลเองก็ยังไม่ได้บอกว่าผิดหรือถูก จึงต้องมาพิสูจน์ตัวเองก่อนครับ”
[ส่วนหนึ่งของ เกาะเฮ]
ส่วนเรื่องที่กรณีตัวอย่างกรณีนี้ อาจทำให้ “พลเมืองดี” อีกหลายๆ คนเกิดอาการฝ่อ ไม่กล้าลุกขึ้นมาแสดงพลังอะไรอีกต่อไป เพราะไม่อยากได้รับความเดือดร้อน ไม่อยากถูกฟ้องอย่างที่เกิดกับเคสนี้นั้น ในฐานะคนที่เห็นคดีความมามากมายแล้ว ทนายเกิดผลบอกได้คำเดียวว่า การขู่ฟ้องเหล่านี้เป็นเพียงการเดินเกมอย่างหนึ่งของคนจนแต้มเท่านั้นเอง อาจไม่ได้น่ากลัวหรือน่าวิตกกังวลอย่างที่คิด
“มันไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกครับ และเคสนี้ก็ไม่ใช่เคสแรก บริษัทใหญ่ๆ เขาก็ฟ้องแบบนี้กันประจำครับ ฟ้องปิดปากของประชาชน แต่ถ้าประชาชนต่อสู้และศาลก็ไม่สั่งฟ้อง ก็มีบ่อยไปนะครับ มันเป็นเรื่องปกติ ถ้าคนที่ฟ้องเขากลัวเขาเสียหายมากกว่านี้ เพื่อปกป้องตัวเองในทางเทคนิค เป็นเรื่องธรรมดา แต่โดยหลักการแล้ว ศาลก็จะพิจารณาให้ความเป็นธรรมกับจำเลยอยู่แล้ว
[ภาพซุ้มดำน้ำ หนึ่งในภาพต้นเหตุที่ทำให้ถูกฟ้องร้อง (เพราะต้นฉบับที่เผยแพร่ในโซเชียลฯ ในครั้งนั้น ไม่ได้เซ็นเซอร์โลโก้แบรนด์]
โดยที่ผ่านมา อย่างที่เหมืองทองอัคราฯ ก็เคยฟ้องชาวบ้าน ฟ้องทุกคนที่ออกมาต่อสู้เรียกร้อง สุดท้ายแล้วก็ถอนฟ้อง ไม่มีการดำเนินคดีอะไรกัน ก็มีออกเยอะแยะไป มันเป็นเรื่องของการรักษาผลประโยชน์ของเขา ที่เขามองว่าตัวเองเสียหายครับ แต่ศาลก็ย่อมต้องให้ความยุติธรรมอยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลใจไป
ในเมื่อเราตั้งใจที่จะทำความดี มันย่อมมีอุปสรรค มีคนขัดขวางการทำความดี แต่ถ้าเราหวั่นไหวหรือหวั่นกลัวสิ่งเหล่านี้ มันก็จะทำให้คนอื่นๆ ไม่กล้าทำดี ในเมื่อเราตั้งใจจะทำความดีแล้ว ก็ขอให้เป็นตัวอย่างที่ดีตลอดไป ไม่ต้องถอย ไม่งั้นจะกลายเป็นว่าโจร คนร้าย หรือคนชั่ว จะเป็นใหญ่ในแผ่นดินไป
จากกรณีนี้ จะมองว่ามันเป็นการบั่นทอนกำลังใจคนทำดีได้หรือเปล่า มันก็แน่นอนแหละครับ ที่คนทำดีก็ต้องสูญเสียกำลังใจเป็นธรรมดา แต่ความเป็นจริงก็จะเป็นประจักษ์พยาน พิสูจน์ว่าเราเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้ปกป้องประโยชน์ของประเทศชาติ ผมก็เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ก็คงไม่ทอดทิ้งกันอยู่แล้วล่ะครับ”
[ก้าน-ปฐมพร พลเมืองดีตัวอย่างจากเคสนี้ กับคุณแม่ เมื่อครั้งไปเท่ี่ยวเกาะเฮด้วยกัน]
ข่าวโดย ผู้จัดการ Live
ขอบคุณภาพ: เฟซบุ๊ก “Patomporn Ruyun”