ถามว่า ในประวัติศาสตร์ของทีมเชลซีนั้นใครคือ กองหน้าที่เป็นที่รักที่สุดของทีมเสมอมา แน่ละว่า มีนักเตะมากมายที่เป็นที่รักของเขา ทีมอาทิ ดิดิเยร์ ดร็อกบา, จิอันลูก้า วิอัลลี่, จิมมี่ ฟล็อย ฮัลเซลเบงค์ หรือกระทั่ง ไอเดอร์ กุ๊ดยอห์นเซ่น แต่คงไม่มีใครที่เรียกว่า แฟนเชลซีรักมากเท่ากับ “จิอันฟรังโก้ โซล่า” อีกแล้ว
"ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่แฟนยกย่องและยังพูดถึงผมไม่เสื่อมคลาย มันเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมที่สุดของผมในชีวิตการค้าแข้ง ผมไม่เสียดายที่ไม่ได้ติดทีมชาติไปบอลโลก แต่ได้มาอยู่กับในหนึ่งสโมสรที่ดีที่สุดในโลก และมีแฟนบอลที่ดีที่สุดแบบนี้ คุณจะปฏิเสธไปทำไมกันจริงไหม?"
ย้อนเวลากลับไปในช่วงที่เชลซีเป็นหนึ่งในทีมมากสีสันของลีค (แม้จะยังไม่รวยมีเงินถุงเงินถังแบบยุคปัจจุบันนี้ก็ตาม) “จิอันลูก้า วิอัลลี่” ได้คว้าตัวนักเตะชาวอิตาลี เพื่อนร่วมชาติเข้ามาร่วมทีม นั้นคือ “จิอันฟรังโก้ โซล่า” ที่สร้างชื่อในฐานะกองหน้าคลาสสิกจากอิตาลี
แม้ว่าในระดับชาติ เขาจะอยู่ใต้ร่มเงาของ “โรเบอร์โต้ บาจโจ” หรือ “อเลสซานโดร เดลปิเอโร่” มาตลอดก็ตาม แต่ความสามารถของเขาเป็นที่ประจักษ์แก่คนทั่วไปเสมอมา ในฐานะนักเตะที่ดีสุดของทีม
"อิตาลีเต็มไปด้วยนักเตะแนวรุกชั้นยอดอย่าง โรแบร์โต้ บาจโจ และ อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ ซึ่งต่างก็ทำผลงานได้ดีในบทบาทเดียวกับผม การแย่งตำแหน่งชุดนั้นมันเข้มข้นมาก"
โซล่าย้ายเข้ามาร่วมทีมเชลซีและกลายเป็นพี่ใหญ่ของทีม ที่อยู่ช่วยเหลือทีมมาตลอดเวลา แม้เขาจะไม่ใช่กองหน้าจอมถล่มประตู แต่เขาเป็นสุดยอดเทคนิค และสุภาพบุรุษลูกหนังที่แฟนบอลทุกทีมต่างรักใคร่เสมอมา
"ผมคิดว่า ผมทำประตูได้น้อยนะในช่วงที่อยู่กับเชลซี"
โซล่ากล่าวถึงสถิติประตู 59 ประตู ในการเล่นกับเชลซีในลีกถึง 229 นัด
"ผมมักคิดถึงทีมเสมอมา อาจจะเป็นเพราะ ผมมักจะลงมาค่อยช่วยเหลือบรรดากองหน้าคนอื่นของทีมมากกว่า ผมสนุกกับทีมมาก แต่ผมรู้ว่าตนเองโชคดีมาก ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมในยุคก่อนหน้านี้ เพราะเราเป็นทีมที่เต็มไปด้วยสปิริตและทุกอย่างก็ยอดเยี่ยม แม้ว่าเราจะไม่ได้แชมป์ลีก แต่เราก็สนุกในเกมฟุตบอลของเรา และผมก็ยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีม"
โซล่าอยู่ค้าแข้งกับทีม 7 ปี กระทั่งปี 2003 เขาตัดสินใจจะที่ไม่ต่อสัญญากับทีมด้วยเหตุผลว่า อยากกลับไปค้าแข้งในอิตาลีกับทีมรักของเขาอย่าง “กายารี่” หลังโลดแล่นกับทีมเชลซีมานาน ซึ่งทำให้แฟนเชลซีเสียใจและเรียกร้องให้เขาอยู่ต่อ ซึ่งตัวเขาซาบซึ้งในน้ำใจของแฟนบอลมาก แต่เขายื่นยันว่าจะกลับบ้านหลังจบฤดูกาล 2003 ซึ่งทำให้แฟนบอลเคารพการตัดสินใจและยกย่องเขาเป็นตำนานของทีม
ทว่า หลังโซล่ากลับไปนั้น เชลซีก็ได้เข้าสู่ยุคใหม่ ยุคของเศรษฐีรัสเซียนามว่า “โรมัน อบราโมวิช” ผู้มาพร้อมกับเงินมหาศาลที่ใช้ซื้อนักเตะจำนวนมากมาเสริมทีม เพื่อพาทีมให้เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีคให้ได้ และแน่นอนว่า สิ่งที่โรมัน อบราโมวิชทำก็คือ การซื้อตัวโซล่ากลับมาจากกายารี่นั่นเอง
"เชลซีติดต่อมาที่กายารี่แล้วบอกว่า เขาอยากได้ตัวผมคืน ผมตกใจมากที่เขากล้ายื่นข้อเสนอในราคา 10 ล้านปอนด์เพื่อซื้อผมกลับ แฟนบอลเชลซีต้องการตัวผมกลับไป ผมเองก็รู้สึกตกใจที่พวกเขารักผมขนาดนี้ ผมชั่งใจแล้วตัดสินใจอยู่กับกายารี่ต่อ
เนื่องจากผมเซ็นสัญญากับทีมไปแล้ว ผมไม่อยากให้แฟนบอลกายารี่ผิดหวัง แต่ผมก็รู้สึกดีใจที่เชลซีให้ค่ากับผมอย่างมากเช่นนี้ ผมขออวยพรให้พวกเขาและสโมสรโชคดี และผมจะรักพวกเขาตลอดไป"
แม้จะไม่ได้ตัวกลับมา แต่แฟนเชลซีก็ยกย่องโซล่าอย่างสูงค่า ด้วยการยกเลิกเบอร์เสื้อ “เบอร์ 25” ของเขาไป และให้การต้อนรับเขาอย่างดีด้วยเสียงปรบมือดังสนั่น เมื่อครั้งเขาคุมทีมเวสต์แฮมมาเจอกับทีม ซึ่งทำเอาเจ้าตัวประทับใจไม่รู้ลืม
แม้ว่าชีวิตการคุมทีมของโซล่าจะไม่ได้งดงามเท่ากับการค้าแข้ง แต่กระนั้นเอง เขาคือโคตรจอมพลังร่างเล็ก ที่ทุกคนจะไม่มีวันลืมไปตลอดว่า ได้สร้างสีสันอะไรเอาไว้กับวงการนี้บ้าง
มันเป็นหนึ่งในความฝันของผมหลังจากผ่านประสบการณ์ดีๆ มาทั่วโลก ผมปรารถนาจะแขวนสตั๊ดกับกายารี่ ซึ่งเคยหยิบยื่นโอกาสให้ผมตอนยังเป็นวัยรุ่น แล้วนั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมจึงปฏิเสธเงินก้อนโตที่เชลซียื่นมา" โซล่ากล่าวทิ้งท้าย