หนุ่มน้อยร่างสูง ที่ถูกค้นพบพรสวรรค์ช้ากว่าเด็กหนุ่มรุ่นเดียวกัน เขาถูกพาไปร่วมทีมยักษ์ใหญ่อย่าง “อาหยักซ์ อัมซเตอร์ดัมซ์” ภายใต้การคุมทีมของ “หลุยส์ ฟาน กาล” ด้วยวัยที่เริ่มจะโตเกินไปแล้ว คือราวๆ ตอนอายุ 20 ปี
แม้จะถูกดึงตัวไปร่วมทีมใหญ่ระดับประเทศ แต่ฝีมือของเขาในตอนนั้นยังเป็นได้แค่ตัวสำรองในทีมสำรองอีกที จนกระทั่งฟานกาลมอบโอกาสให้เขาได้ขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่ในที่สุด แล้วฝีมือและผลของความมานะบากบั่นที่สะสมมาก็ผลิดอกออกผลของมัน
“Edvin van der Sar” ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม กับทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทีมหนึ่งในยุโรปอย่าง “อาหยักซ์” แต่เส้นทางความสำเร็จในฐานะนักเตะของเขาไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เขาได้รับโอกาสสำคัญมากมาย
ในปี 1999 “เอ็ดวิน” เป็นที่จับตามองจากหลายๆ สโมสรชื่อดังในยุโรป ผู้รักษาประตูร่างสูงชาวดัตช์ที่ความสูงไร่เรี่ยกับผู้รักษาประตูชื่อดังชาวเดนมาร์คอีกคน ที่กำลังโด่งดังในอังกฤษอย่าง “ปีเตอร์ ชไมเคิล” ทั้งทักษะและความนิ่งและภาวะความเป็นผู้นำ ขาดก็แต่แค่ความหัวร้อนเท่านั้น ที่ดูแล้วเอ็ดวินยังดูห่างชั้นกับปีเตอร์อยู่หลายช่วงตัว
หนึ่งในดีลสำคัญที่เกิดขึ้นตอนนั้น มีดีลจาก “ลิเวอร์พูล” รวมอยู่ด้วย เอ็ดวินเกือบได้ตกล่องปล่องชิ้นกับลิเวอร์พูลไปแล้ว ถ้าตอนนั้นไม่มีข้อเสนอจาก “ยูเวนตุส” ยื่นเข้ามาเสียก่อน สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจย้ายไปร่วมทีมยักษ์ใหญ่แห่งอิตาลีอย่าง “ยูเว่ฯ” แทน
“ผมน่าจะได้ตัวเอ็ดวินมาตั้งแต่ปี 1999”
“เซอร์ อเล็กเฟอร์กูสัน” เคยให้สัมภาษณ์ไว้ครั้งหนึ่ง ที่เขาพลาดการคว้าตัวเอ็ดวินไปอย่างน่าเสียดาย เพราะความเห็นไม่ตรงกับบอร์ดในตอนนั้น ก่อนที่ป๋าจะเดินตามความมุ่งหมายของตัวเอง ด้วยการคว้าตัวเอ็ดวินมาร่วมทีมในที่สุดตอนปี 2005 ขณะนั้นเอ็ดวิน อายุอานามก็ปาเข้าไปถึง 35 แล้ว
ในครั้งนั้นผู้รักษาประตูที่อายุเท่าๆ นี้ก็ถือว่าก้ำกึ่งๆ กับการแก่เกินแกง กับแก่ประสบการณ์ แต่ตอนนั้นไม่ว่าใครก็ไม่อาจดูแคลนการตัดสินใจของเฟอร์กูสันได้
“เฟอร์กี้” ส่งข้อความไปที่โทรศัพท์ส่วนตัวของเอ็ดวินเป็นข้อความเสียง เอ็ดวินเพิ่งมาทราบเอาภายหลัง ตอนที่เขาเช็กมือถือ ในข้อความนั้นเฟอร์กี้บอกว่า เขาอยากให้เอ็ดวินมาร่วมทีมและช่วยดูแลแนวรับของทีม เขามั่นใจว่าไม่ว่าสถานการณ์จะกดดันแค่ไหน แต่เอ็ดวินจะสามารถเป็นผู้นำให้ทุกคนได้แน่นอน
สิ่งที่เซอร์อเล็กซ์บอกไว้ในวอยซ์เมลของเอ็ดวินในวันนั้น ได้รับการพิสูจน์ตลอดระยะเวลา 6 ปี ที่ “โอลด์แทรฟฟอร์ด” ของเขาแล้วว่า ป๋าพูดไม่ผิดสักนิดเดียว
เกมหนึ่งที่เป็นไฮไลต์สำคัญในชีวิตการเป็นนักเตะของเอ็ดวิน มันเกิดขึ้นในปี 2008 เมื่อ “ยูไนเต็ด” ฝ่าฟันไปถึงรอบชิงชนะเลิศ และต้องมาพบกับทีมร่วมลีกอย่าง “เชลซี” สกอร์รวมในเวลาจบลงที่ 1 ประตูต่อ 1 และพวกเขาต้องตัดสินแชมป์กันด้วยจุดโทษ
เอ็ดวินรำลึกความหลังถึงแมตช์แห่งประวัติศาสตร์เกมนั้นว่า
“ผมจำได้ว่า ก่อนแข่งเกมนั้น ผมดูวิดีโอการยิงจุดโทษของเชลซีเยอะมาก เอาเป็นว่าผมสามารถแจกแจงวิธีการยิงทั้ง 40 แบบของ “แฟรงก์ แลมพาร์ด” ได้เลย ผมจดบันทึกไว้มากมายเกี่ยวกับการยิงของ “อเนลก้า” ที่เขามักจะยิงไปทางขวาของผู้รักษาประตูเสมอ
แต่ถึงกระนั้น ผมก็ทราบดีว่า ทางด้านเชลซีเอง ก็ทำการบ้านเกี่ยวกับการเซฟของผมมามากเช่นกัน พวกเขารู้ดีว่าผมมักจะพุ่งตัวไปทางขวา เพราะงั้นผมคิดว่าพวกเขาคงได้รับคำสั่งมาให้ยิงไปทางซ้ายกัน พวกเขาส่วนใหญ่ทำเช่นนั้นจริงๆ แต่ผมคิดว่า “อเนลก้า” จะเลือกยิงด้านอื่น และโชคดีมากที่มันไม่เกิดขึ้น
ตอนที่ผมปัดจุดโทษของเขาได้ ตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนว่า ตัวเองถูกตัดขาดออกจากโลกไปชั่วขณะหนึ่ง ผมจำได้ว่าไม่เคยมีความสุขเท่านี้มาก่อน จนกระทั่งเพื่อนร่วมทีมวิ่งเข้ามาหาผม ผมจึงรู้ตัวว่า ตอนนั้นเราเป็น “แชมป์ยูฟ่าแชมป์เปียนลีก” แล้ว ความสำเร็จนั้นถือเป็นไฮไลต์ที่สุดในชีวิตการค้าแข้งของผมเลย”
รางวัล Man Of The Match ในเกมนั้นจะตกเป็นของใครไม่ได้นอกจากผู้รักษาประตูร่างสูง แต่ไม่เคยมีวี่แววของความเก้งก้างให้เห็นเลยคนนี้
เอ็ดวินที่โมงยามที่ประสบความสำเร็จอย่างสวยงามกับ “ยูไนเต็ด” ด้วยแชมป์ลีก 4 สมัยและแชมป์ถ้วยหูใหญ่อีก 1 ใบ ในวัย 41 ปีของผู้รักษาประตู เอ็ดวินคิดว่ามันคงมาถึงจุดที่ต้องบอกลา “สตั๊ดคู่เก่าและถุงมือคู่ใจ” เสียที
ในปี 2012 เขากลับไปรับตำแหน่ง “Marketing Director" ที่ AFC Ajax ก่อนจะเลื่อนตำแหน่งสู่การเป็น CEO ของสโมสรในปี 2016
นี่คือเด็กหนุ่มที่เริ่มต้นอาชีพในสโมสรแห่งหนึ่งด้วยตำแหน่งผู้รักษาประตูจากทีมสำรอง.. 26 ปีให้หลังเขาคือหนึ่งในผู้กุมอำนาจคนสำคัญของสโมสร
นี่คือหนึ่งในผู้รักษาประตูที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งยุคคนหนึ่ง
ชายที่ถ่อมตัวอยู่เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในระดับไหน
ชายผู้เป็น “Man Of The MatchW ทั้งตอนเป็นนักเตะ และแม้แต่ตอนที่ไม่ได้เป็นแล้วก็ตาม
นี่คือ “Edwin van der Sar”