“ละครก็คือละคร อย่าอินเกิน!” สังคมออนไลน์ซัดกลับ “นักวิชาการ” จ้องจับผิดละครพีเรียดอิงประวัติศาสตร์ “บุพเพสันนิวาส” ติงเครื่องแต่งกายผิดยุค 200 ปี-คำศัพท์โบราณ-ฉากบางฉากไม่สมจริง ล่าสุด ทีมละครชี้แจง “น้อมรับคำติ แต่ทำดีที่สุดแล้ว” ทีมข่าวเปิดใจ “นักวิชาการประวัติศาสตร์” เผย คิดต่างไม่ใช่ศัตรู มุมมองคนดูไม่มีถูก-ผิด!
ดูละครเพื่อ “อรรถรส” หรือ “ความถูกต้อง” !?
แม้กระแสละคร 'บุพเพสันนิวาส' จะสร้างปรากฏการณ์เชิงบวกให้กับสังคมไทย ในแง่การสวมใส่ชุดไทย-แห่เที่ยววัดเก่าอยุธยา-ใช้ภาษาโบราณ-สนใจประวัติศาสตร์ จนหลายคนยกให้เป็นละครแห่งชาติ..ติดอันดับหนึ่งเทรนด์โลก!
ทว่า ได้มีกระแสตีกลับจากบางส่วนที่วิพากษ์วิจารณ์ความไม่สมจริงของละครอิงประวัติศาสตร์เรื่องนี้ด้วยเช่นกัน โดยนักวิชาการประวัติศาสตร์ได้มีการทวงติงถึงข้อเท็จจริง ทั้งในเรื่องเครื่องแต่งกายต่างชาติที่ผิดยุคไปกว่า 200 ปี, ฉากป้อมเพชรที่แท้จริงแล้วน่าจะทรุดโทรมมากกว่าความสวยงามที่เห็นในละคร
หรือการใช้ภาษาผิด เช่น คำว่า 'เว็จ' ซึ่งในละครให้ความหมายไว้ว่า 'ส้วม' ขณะที่เฟซบุ๊กแฟนเพจคณะอักษรศาสตร์ สาขาวิชาภาษาเอเชียใต้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายไว้ว่าคำว่า 'เว็จ' นั่นหมายถึง 'อุจจาระ' ต่างหาก
รวมถึงความไม่สมจริงของตัวละครนำแต่ละคนที่มีฟันสวยสะอาด ต่างกับข้าทาสบริวารที่มีลักษณะฟันสีดำ และข้อถกเถียงเกี่ยวกับ 'คอนสแตนติน ฟอลคอน' ที่บางตำราบันทึกไว้ว่าเป็นผู้คดโกง ขณะที่ตำราอีกส่วนว่าไว้ว่าเป็นผู้พัฒนาบ้านเมืองไทย
นี่จึงกลายเป็นกระแสวิจารณ์การสวนกลับที่ถูกพูดถึงอย่างหนักในสังคมออนไลน์ ผ่านมุมมองของนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ ค้านกระแสความนิยมของละครพีเรียดน้ำดีบุพเพสันนิวาสอย่างที่เห็น!
แม้กระแสแง่ลบจะมีให้เห็นอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ละครออนแอร์ได้ไม่นาน ทว่า ยังมีอีกฝั่งความคิดเห็นจากสายตาของผู้ชมละครที่มองว่าในแง่ของละครอิงประวัติศาสตร์ ถือเป็นเรื่องของการสอดแทรกความรู้-การตีความทางประวัติศาสตร์ คู่ความความบันเทิงเพลิดเพลิน
“ละครบุพเพสันนิวาส เป็นมหรสพอิงประวัติศาสตร์ ต้องแต่งเติม ต้องมีจินตนาการ สำคัญอย่างยิ่งคือต้องให้คนดูตื่นเต้นสนใจ แล้วไปค้นคว้าต่อ ละครไม่ใช่การอ้างอิงเข้มงวด แต่ละคร หนัง มหรสพ เขาทำเพื่อให้คนบันเทิง
บุพเพสันนิวาส ทวิภพ แอตแลนติส คลีโอพัตรา ดาวินชี่โค้ด เทวาซาตาน ฯลฯ ใครจะไปทำให้สมจริงได้ทั้งหมด ขอแค่ให้คนในโลกหรือในท้องถิ่นได้หันกลับมาสนใจ แล้วค้นคว้าต่อ ก็ได้ประโยชน์สุดแสนแล้ว
มาช่วยกันทำให้คนรุ่นใหม่ๆ สนใจประวัติศาสตร์บ้านเรากันก่อนเถิด อย่าขัดขากันเองเลย แล้วเมื่อไหร่วิชาประวัติศาสตร์ โบราณคดีบ้านเรามันเป็นที่น่าถกเถียง นั่นแหละจะดีมาก เราจะได้ช่วยกันหาวิธีสร้างปูมประวัติศาสตร์ร่วมกัน...” - นิติพงษ์ ห่อนาค ศิลปินและนักแต่งเพลงชื่อดังให้ความเห็นเกี่ยวกับละครบุพเพสันนิที่ถูกท้วงติงจากนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์
มุมมองคนดู ไม่มี “ผิด-ถูก”
อย่างที่เห็นว่าข้อถกเถียงระหว่างผู้ชมละครเพื่อความบันเทิงกับผู้ชมละครเพื่อความถูกต้องในแง่ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ กลายเป็นเรื่องราวการดีเบทที่เกิดขึ้นอย่างร้อนระอุและยังหาบทสรุปไม่ได้ในสังคมไทย
ทีมข่าว ผู้จัดการ Live ได้ติดต่อโดยตรงไปยัง 'ผศ.พิพัฒน์ กระแจะจันทร์' นักวิชาการสาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขณะนี้กำลังศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกสาขาประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดี ที่ SOAS, University of London
โดยมีการเปิดมุมมองและวิเคราะห์ถึงประเด็นที่สังคมต่างให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้ หลังจากรับชมละครอิงประวัติศาสตร์เรื่องบุพเพสันนิวาสผ่านภาพใหญ่ในสายตาของนักวิชาการสาขาประวัติศาสตร์ได้วิเคราะห์ประเด็นกลุ่มผู้ชมละครออกเป็นสองส่วนด้วยกัน
“จริงๆ ประเด็นนี้ถือเป็นข้อถกเถียงใหญ่พอควรในต่างประเทศ โดยเฉพาะ เช่น อังกฤษ ซึ่งมีการทำนิยาย ละคร ภาพยนตร์ หรือละครเวทีกันมากในต่างประเทศ เขาแบ่งคนที่ดูละครออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ ด้วยกัน
กลุ่มแรก Pedant คือ พวกที่จับผิดในรายละเอียดแล้วเอามาวิพากษ์วิจารณ์ เช่น คำถามว่าเสื้อผ้านี้ถูกยุคสมัยไหม ฉากนี้ถูกต้องไหม ตรงตามประวัติศาสตร์ไหม เป็นการดูเพื่อเป็นอาหารสมอง
กลุ่มที่สอง Swooner คือ กลุ่มคนที่ดูแล้วไม่ใส่ใจกับความถูกต้อง แต่สนใจที่ความสวยงามของเสื้อผ้า ฉาก และสนุกกับเรื่องราวมากกว่าจะไปสนใจรายละเอียดแบบนั้น เรียกง่ายๆ ว่าเป็นการดูเพื่อความบันเทิง
ทั้งสองกลุ่มนั้น ไม่มีใครผิด ใครถูก หรือดีกว่ากัน แต่ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ต่างๆ ที่มีมา และเป้าหมายของการชมละครเสียมากกว่า ปัญหาจริงๆ ผมว่ามันอยู่ที่คนในสังคมคิดว่าฝ่ายหนึ่งถูก ฝ่ายหนึ่งผิด เราวนหรือจมปรักกับวิธีคิดแบบนี้มานานมาก เราไม่ได้เปิดใจว่าต่างฝ่ายต่างก็มีมุมมองของตัวเองและควรเคารพซึ่งกันและกัน”
ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ อ.พิพัฒน์ ยังพูดถึงกระแสคอละครสวนกลับนักวิชาการถึงการจ้องจับผิดบทละครอิงประวัติศาสตร์ที่สร้างมาเพื่อความสนุกและความบันเทิง โดยเผยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่ข้อผิดพลาดของทีมผู้จัดละคร
แต่อาจเป็นความผิดพลาดของการการพัฒนาองค์ความรู้ทางวิชาประวัติศาสตร์ของสังคมไทยเสียมากกว่า
“ละครอิงประวัติศาสตร์ ไม่ว่าในรูปแบบของนิยาย ภาพยนตร์ ละครเวที สิ่งที่ต้องการคือการจำลองชีวิตของคนในยุคสมัยนั้น ละครเรื่องนี้เคลมตัวเองว่าเป็นละครอิงประวัติศาสตร์อยู่แล้วละ ฉะนั้น สิ่งที่กำลังทำคือการย้อนยุคกลับไป สิ่งสำคัญคือคุณต้องพยายามทำให้มันเกิดความสมจริงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เท่าที่หลักฐานมี
ถ้าเราสามารถจำลองความเหมือนจริงได้มากน้อยแค่ไหน มันก็มีประโยชน์ทั้งเชิงเศรษฐกิจและวิชาการ ยิ่งคุณทำโปรดักชั่นดีเท่าไหร่ มันยิ่งสนับสนุนธุรกิจและความรู้ทางด้านอื่นๆ ได้พร้อมกัน
ฉะนั้น ความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ มันอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับคนทั่วๆ ไป แต่ในสายตาของนักวิชาการ มองว่าในเมื่อทำออกมา สังคมก็จะจดจำสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง คนในสังคมอาจมีบางคนจำอะไรที่ผิดไปบ้าง
แต่เรื่องนี้จริงๆ อาจไม่ใช่ความผิดพลาดของผู้จัดละครหรอก แต่อาจเป็นความผิดของการพัฒนาองค์ความรู้ทางประวัติศาสตร์ในไทยหรือเปล่าที่เราไม่ได้ให้ความสำคัญมากพอกับประวัติศาสตร์วัฒนธรรม หรือประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องเครื่องแต่งกาย ผมไม่อยากใช้คำว่า 'ผิด' แค่เรายังมีความรู้กับมันไม่มากพอมากกว่า”
“คิดต่าง” ไม่ใช่ “ศัตรู” ดูละครย้อนดูตัวเรา!
สิ่งหนึ่งที่นักวิจารณ์ละครหรือผู้มีความสนใจทางด้านประวัติศาสตร์ตั้งคำถามเกี่ยวกับละครอิงประวัติศาสตร์เรื่องนี้ คือ การมีตัวตนอยู่จริงทางประวัติศาสตร์โดยการถ่ายทอดผ่านละครแล้วนั้นจะมีความถูกต้องตามเท็จจริงเพียงใด
'ผศ.พิพัฒน์ กระแจะจันทร์' นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ เผยว่า ต้องแยกระหว่างความเป็นนิยายและการอิงประวัติศาสตร์ออกจากกัน โดยเฉพาะในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ยังมีการถกเถียงกันอยู่ในหลายจุด ซึ่งเป็นไปได้ว่ายังไม่ใช่เรื่องจริงทางประวัติศาสตร์ทั้งหมด แต่มีการใส่สีสันและการตีความเข้าไปผ่านความอิสระในรูปแบบนิยาย
“เท่าที่ดูละครบุพเพสันนิวาสเกือบครบทุกตอนแล้ว ผมคิดว่าเราต้องแยกกันระหว่างซีกหนึ่งที่เป็นนิยาย และอีกซีกหนึ่งที่อิงประวัติศาสตร์ ตัวละครมีหลายตัวที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ ซึ่งทำให้คนดูอินกับเรื่องราวที่นำเสนอออกมา ในขณะเดียวกันก็มีตัวละครที่ไม่มีตัวตนจริงๆ เช่น การะเกดเอง หรือคนใช้ทั้งหลาย
ผมว่ามันอาจจะเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของละครอิงประวัติศาสตร์ว่ามีบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริง ก็ทำให้เราอินกับละครมากขึ้น ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เราได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่าความรู้นั้นยอกย้อน เพราะความรู้ทางประวัติศาสตร์นั้นเป็นสิ่งที่ส่วนหนึ่งเกิดจากกระบวนการสร้างขึ้น ความรู้ที่คนในปัจจุบันรู้เป็นผลมาจากการตีความจากหลักฐานเท่าที่เราเหลืออยู่ในปัจจุบัน หรือความยอกย้อนนั้นเกิดขึ้นจากอำนาจของวาทกรรมหลักของประวัติศาสตร์ชาติ
เช่น มีอยู่ตอนหนึ่งที่เกศสุรางค์พูดว่า อยุธยาเป็นเมืองหลวงแห่งที่สองของไทย วิธีคิดแบบนี้ได้มาจากประวัติศาสตร์ชาติที่จัดวางราชธานีของไทยเริ่มต้นที่สมัยสุโขทัย ทำไมไม่เป็นอาณาจักรอื่น เช่น ล้านนา”
สำหรับปรากฏการณ์ละครบุพเพสันนิวาสที่ปลุกกระแสป๊อปคัลเจอร์ชั่วข้ามคืน จนหลายคนตั้งข้อสงสัยกันว่านี่อาจเป็นเพียงกระแสนิยมของละครไทยที่เกิดขึ้นเพียงช่วงสั้นๆ หรือไม่
ในสายตาของนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์มองว่าแม้กระแสสนใจอาจเกิดขึ้นอย่างฉาบฉวย แต่ถือว่าเป็นเรื่องดีที่นำไปสู่การพัฒนาองค์ความรู้ทางประวัติศาสตร์
“ผมว่าสังคมไทยมันก็ฉาบฉวยมาตลอดนะ จริงๆ ก็ทุกสังคมดีกว่ามันมีความฉาบฉวยอยู่แล้ว พอมันมีกระแสขึ้นมาเราก็อยากสนใจในเรื่องนั้นๆ ปัญหามันอยู่ที่ว่า สื่อ ต่างหากที่เป็นผู้ชี้นำสังคม ผมว่าประโยชน์อย่างที่สุดหลังจากที่มีกระแส มันจะนำไปสู่เรื่องของการพัฒนาองค์ความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์อย่างยั้งยืน
สิ่งนี้ผมว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่ารัฐบาลหรือสังคมจะตอบสนองตามกระแส คือการตั้งคำถามต่อตัวเราเองยังไงในเรื่องของการที่เราอยู่ในกระแสของการสนใจประวัติศาสตร์อย่างมากขึ้นผิดหูผิดตา เราเองต้องตระหนักรู้ต่อกระแสสังคมที่มันเกิดขึ้นด้วย
อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าสีสันและความน่าสนใจของละครเรื่องนี้ คือ ให้เกศสุรางค์เป็นผู้เล่าเรื่องประวัติศาสตร์โบราณคดีในโลกสมัยใหม่โดยวางอยู่ในฉากสมัยอยุธยา ทำให้เรื่องนี้สอดแทรกความรู้ทางประวัติศาสตร์เข้าไปให้คนในปัจจุบันได้เข้าใจประวัติศาสตร์มากขึ้น นับเป็นความดีของละครเรื่องนี้”
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ยังกล่าวทิ้งท้ายถึงปรากฏการณ์ผู้ชมละครทั้งกลุ่มคนที่ดูเพื่อความบันเทิง และดูเพื่อหาข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์อีกด้วยว่า ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดหรือถูก เพียงแต่ขึ้นอยู่กับว่าเป้าหมายการรับชมละครของแต่ละคนเป็นเช่นไร ทั้งยังบอกอีกว่าการคิดต่างสำหรับการดูละคร..ไม่ใช่ศัตรูเสมอไป!
“ผมว่าเข้าใจมุมมองซึ่งกันและกัน ดูละครและย้อนดูตัวเรา อาจต้องย้อนดูสังคมด้วยว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้นในสังคมของเรา เราเปิดกว้างทางความรู้ ความคิด และคนหลายๆ กลุ่มมาแชร์ความคิดเห็น มันอาจทำให้ละครสนุกขึ้นก็ได้ ผมเชื่อว่าคนที่มีความคิดแตกต่างกันในเรื่องการดูละคร ไม่ใช่ศัตรูกันเสมอไป
แต่มีปรากฏการณ์หนึ่งที่ผมว่าน่าสนใจในสังคมไทยในตอนนี้ คือ เมื่อมีกลุ่มคนดู Pedant ออกมาวิจารณ์ จะมีพวก Swooner บอกว่าละครก็คือละคร ใช่ ไม่ผิดเลย และการดูละครด้วยสายตาแบบ Pedant ก็ไม่ผิดเลยเช่นกัน
สำหรับผมแล้ว การพยายามปิดกั้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทั้งในการหาความสุขและความรู้นั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่ มันจะดีกว่าไหมถ้าเรามีทั้งความสุขกับความรู้ร่วมกันจากละครเรื่องเดียวกัน”
ข่าวโดย ทีมข่าวผู้จัดการ Live