“คุณครูแก้คำผิดให้ลูกแบบนี้ ควรปล่อยผ่านไหมคะ?” คุณแม่ทนไม่ไหว โพสต์ประจานโซเชียลฯ หลังคุณครูประถมแก้การบ้านลูกชุ่ยๆ จากถูกเป็นผิด สอนสะกด “ขี้เกียจ” ให้เป็น “ขี้เกลียด” จนเด็กงง ย้ำชัดนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ปลูกฝังความรู้ผิดๆ ให้เด็ก ทั้งวิชาไทย-อังกฤษ-คณิตฯ เละไปหมด สังคมตั้งคำถามความผิดใคร? ระหว่าง “มหาวิทยาลัย” ที่ให้ครูเหล่านั้นจบมา กับ “โรงเรียน” ที่คัดครูแบบนี้มาสอนเด็ก!!
ผิดมหันต์!! แก้ “ขี้เกียจ” เป็น “ขี้เกลียด”
“เรียกลูกมาถามว่า รู้สึกยังไงที่ครูแก้คำผิดให้ ลูกบอกว่าหนูก็งงๆ เพราะแม่สอนให้หนูสะกดแบบนี้” คุณแม่ท่านหนึ่งโพสต์กระทู้ประจานความงงของคุณครูประถมรายหนึ่ง ที่ตรวจภาษาไทยของลูก นักเรียนชั้น ป.3 จากที่เขียนคำว่า “ขี้เกียจ” ถูกต้องตามที่คุณแม่เคยสอนอยู่แล้ว แต่กลับแก้เป็น “ขี้เกลียด” แบบผิดมหันต์
ถือเป็นโชคดีที่ผู้ปกครองคนดังกล่าว ลุกขึ้นมาเคลียร์สมุดและหนังสือเก่าๆ ของลูก เพื่อจะเก็บไปบริจาค แล้วเผอิญเปิดเจอการตรวจการบ้านแบบผิดๆ แบบนี้เข้า เล่นเอาคุณแม่ที่ใช้ชื่อว่า "Paripan" อึ้งกิมกี่กันไป ไม่คิดว่าคุณครูจะสอนได้ผิดขนาดนี้ และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกของความผิดพลาดที่เกิดขึ้น แต่คุณครูประถมโรงเรียนนี้ย่ำซ้ำรอยความผิดเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเธอคิดว่าอาจไม่สามารถทนเงียบได้อีกต่อไปแล้ว
[ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อข่าว]>
“ปกติเราจะค่อนข้างเข้มงวดการเขียน การอ่าน การออกเสียง ของลูกให้ถูกต้องค่ะ ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ (เท่าที่สติปัญญาจะพอมี) แต่เห็นที่ครูแก้คำผิดมาแล้ว ใจนึงก็อยากจะแจ้งให้โรงเรียนทราบ แต่อีกใจนึงก็คิดว่าจะปล่อยผ่าน เพราะเรียนจบมาแล้ว ปีหน้าก็ไม่ได้เจอครูท่านนี้อีก
ก่อนหน้าก็เจอว่าครูขึ้นกระดานให้เด็กๆ จดผิด ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เกรงว่าแจ้งโรงเรียนแล้วครูจะโดนตำหนิ แต่โรงเรียนก็คิดค่าเทอมแพงพอสมควร น่าจะมีการพัฒนา ตรวจสอบครูผู้สอนกันบ้าง แม่ๆ คิดว่าควรทำอย่างไรดีคะ”
[กระทู้จากคุณแม่ ส่งให้เกิดการแชร์อย่างล้นหลาม]
ไม่ใช่คุณครูเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สอนเด็กแบบผิดๆ แต่คุณแม่รายนี้เจอมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการสอนเด็กๆ ว่า “มะเขือเทศเป็นผัก” ทั้งที่จริงๆ แล้ว “มะเขือเทศเป็นผลไม้” พอโทร.ไปสอบถามคุณครูคนที่สอน กลับไม่มีท่าทีว่าจะขอโทษหรือแก้ไข เพียงแค่ถามกลับมาว่า เธอเป็นผู้ปกครองของนักเรียนคนไหน
คุณแม่คนดังกล่าวจึงเกรงว่าความปรารถนาดีของเธอ อาจสร้างผลลบให้แก่ลูกตัวเอง จึงเลือกที่จะนิ่งเฉยมาจนถึงทุกวันนี้ แม้จะเห็นว่ามีคุณครูจำนวนไม่น้อยที่สอนเด็กๆ แบบผิดๆ ทั้งวิชาภาษาไทย, ภาษาอังกฤษ หรือแม้แต่คณิตศาสตร์
“ครูคณิตศาสตร์ที่ไม่ได้ประจำห้องของลูก แต่เข้ามาสอนแทน ให้โจทย์เด็ก ป.3 ทำ พอเฉลยออกมา คำตอบของครูไม่ตรงกับเด็กๆ ทั้งห้อง ลูกเล่าว่าครูต้องเอาเครื่องคิดเลขออกมากด ถึงได้คำตอบเหมือนเด็กๆ
[ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อข่าว]>
เรื่องพวกนี้ที่เราไม่ได้คุยกับครูหรือโรงเรียน เพราะเรากลัวจะมีปัญหากับตัวลูกเราเอง เกรงว่าจะโดนครูหมั่นไส้เอาได้ เราก็ใช้วิธีสอนลูกและทำความเข้าใจกับลูกใหม่หลายๆ เรื่อง ต้องอาศัยผู้ปกครองกล้าเข้าไปคุยวิชาการกับครู (ตอนลูกคนโตยังเรียนที่นี่ มีผู้ปกครองคนหนึ่งเก่งมาก คอยทักท้วงให้ตลอด) แต่เราไม่ได้เก่งกาจขนาดนั้น ยอมรับว่าความรู้ไม่แน่นพอจะไปเถียงครู
โรงเรียนนี้ ผอ.เน้นรับครูจากมหาวิทยาลัยที่เน้นครูโดยเฉพาะค่ะ (ไม่อยากดรามาเรื่องสถาบัน) เพราะ ผอ.บอกว่าครูจากมหาวิทยาลัยนี้ อยู่นาน ไม่หนีไปสอบบรรจุราชการ โรงเรียนจะได้หมดปัญหาเรื่องสมองไหล”
อย่า “แก้ตัว” โปรด “แก้ไข” ถ้าอยากเป็น “ครูที่ดี”
[ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อข่าว]>
เมื่อเรื่องนี้ถูกแชร์ออกไป ก็มีผู้ปกครองจำนวนมากช่วยกันมาแสดงความคิดเห็น รวมถึงคนในสังคมที่อาจยังไม่มีลูก แต่รู้สึกเดือดร้อนแทนเด็กๆ ที่ต้องมีคุณครูที่สอนแบบผิดๆ แบบนี้ โดยสนับสนุนให้คุณแม่คนนี้ชี้แจงความผิดเหล่านี้ต่อทางโรงเรียนเสีย ดีกว่าปล่อยให้เกิดผลเสียในระยะยาว และบรรทัดต่อจากนี้คือความคิดเห็นบางส่วน ที่ระบายเอาไว้ในประเด็นร้อนประเด็นนี้
"บอกครูไป “ขี้เกลียด” ไม่มีในโลกนี้ค่ะครู นี่ครูเข้าใจผิดมากี่ปีแล้วเนี่ย"
"คำนี้เป็นคำที่ง่ายมากๆ ไม่ควรเขียนผิดอย่างแรง แจ้งโรงเรียนเลยค่ะ เป็นครูจบมาได้ไง “ขี้เกียจ” กับ “เกลียด” ยังเขียนผิด เรารับไม่ได้อะ"
"สำหรับเราไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย หรือเรื่องที่มองข้ามได้ เห็นแล้วยอมรับว่าตกใจ ไม่ได้เวอร์นะคะ แต่ทำไมครูเข้าใจผิดหรือว่าพลาดได้ แม้แต่คำง่ายๆ แค่นี้ มันไม่ใช่คำยาก หรือคำทับศัพท์ที่สะกดยากๆ เลย แจ้งเถอะค่ะ ไม่อย่างนั้น ครูจะสอนเด็กคนอื่นๆ ผิดอีกเช่นกัน"
"เราไม่ใช่แม่คน และไม่ใช่ครูนะคะ แต่เราคิดว่าควรจะบอกค่ะ อาจบอกครั้งแรก แบบเป็นการส่วนตัว เพื่อให้เขาได้รับฟัง ปรับปรุง และไม่ต้องอับอาย ไม่ต้องมีปัญหากับที่ทำงาน แต่ถ้าหากว่ายังไม่มีการปรับปรุง แก้ไข ค่อยไปแจ้งกับทางผู้อำนวยการโรงเรียนอีกทีค่ะ สงสารเด็กๆ ที่ต้องเรียนกับเขาไปผิดๆ จำไปผิดๆ แอบสงสารตัวเขาด้วยที่จำมาผิดๆ จนถึงป่านนี้"
"อดีตครูประจำชั้นลูก เขียน "นะคะ" เป็น "นะค่ะ" ตลอด ครูคนใหม่มาแทน พิมพ์ไลน์ในไลน์กลุ่ม พิมพ์ "จ๊ะ" เป็น "จร่ะ" โรงเรียนรัฐบาล ตรงถนนศรีอยุธยา ในระบบ MEP (Mini English Program)"
"วันก่อน แม่เอามือถือมาให้ช่วยเซฟรูปในกรุ๊ปไลน์ของเพื่อนแม่ ที่แต่ละคนส่วนใหญ่ในกรุ๊ปเป็นครูบาอาจารย์ อ่านที่เขาคุยกันแต่ละคำ แต่ละประโยค แล้วแทบจะเป็นลม ภาษาวิบัติยิ่งกว่าที่เด็กพิมพ์แชตกันอีก แถมแชร์กันแต่เรื่องแต่งเรื่องโม้โกหกลวงโลกทั้งนั้น ยังส่งมากันอยู่ได้ แล้วเอาไปสอนเด็กต่อหรือเปล่าก็ไม่รู้ อย่างเรื่องที่ให้กดรหัสตู้ ATM สลับเลข แล้วตำรวจจะมาช่วยเนี่ย เห็นตั้งแต่สมัยฟอร์เวิร์ดเมลแล้ว ยังเชื่อ ยังแชร์กันอยู่อีก"
[ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อข่าว]>
ในฐานะของอาจารย์คนหนึ่ง ผศ.ดร.บุษบา บัวสมบูรณ์ อาจารย์ประจำคณะศึกษาศาสตร์ สาขาภาษาไทย ม.ศิลปากร มองว่าความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับกรณีนี้ ไม่อาจเหมารวมว่าเป็น “วิกฤตครูไทย” ได้ทั้งหมด หรือถ้าจะโทษมหาวิทยาลัยที่คุณครูเหล่านั้นจบออกมา ก็เป็นการตัดสินที่ตื้นเขินเกินไป เพราะครูที่จบออกมาจากสถาบันเดียวกัน ใช่ว่าทุกคนจะเขียนคำว่า “ขี้เกียจ” ผิดเหมือนๆ กันหมด
“ที่เขียนคำว่า "ขี้เกียจ" เป็น "ขี้เกลียด" นี่ก็น่าตกใจเหมือนกันค่ะ ว่าทำไมคุณครูถึงไม่รู้ ส่วนเรื่องวิชาคณิตศาสตร์ที่ผู้ปกครองบอกว่า คุณครูทำออกมาได้คำตอบผิดจนต้องกดเครื่องคิดเลข อันนั้นส่วนตัวมองว่าอาจจะเป็นปัญหาเรื่องการเอาข้อสอบมาจากที่อื่น คือครูบางคนงานเยอะ ไม่มีเวลาพอ ก็เลยไปเสิร์ชเอาตัวอย่างจากอินเทอร์เน็ต และอาจจะเฉลยเอาไว้ผิด พอเอามาใช้เลยกลายเป็นแบบนั้นค่ะ
ส่วนที่ผู้ปกครองตั้งคำถามเรื่องการคัดครูของทางโรงเรียน ก็ต้องดูค่ะว่าครูคนนี้เขาทำผิดประจำหรือเปล่า ถ้าสอนเด็กแบบผิดๆ บ่อยๆ ก็ต้องมีการนิเทศกันในโรงเรียน ถึงจะช่วยได้ และทางโรงเรียนเมื่อรับเขามาบรรจุแล้ว แสดงว่ามองว่าเขามีความสามารถในระดับนึง และต้องดูแลกันไป ถ้าเขาผิดตรงไหนก็เทรนเพิ่มเติม ดูว่าจะแก้ไขยังไงไม่ให้เสื่อมเสียชื่อเสียงสถาบัน
บุคลากรของโรงเรียนเองก็เหมือนกัน เมื่อผู้ปกครองท้วงติงมาแล้ว ก็ควรน้อมรับไปแก้ไข ถ้าสิ่งที่ผู้ปกครองเรียกร้องไม่ได้มากจนเกินไป และทางโรงเรียนสอนผิดจริงๆ ทางโรงเรียนก็อย่าไป "แก้ตัว" เลย "แก้ไข" ดีกว่าค่ะ อย่างที่เมืองนอก เขาจะมี "สมาคมผู้ปกครอง" เวลามีปัญหาอะไร เขาก็จะร้องเรียนกันเป็นเรื่องเป็นราวเลย
[ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อข่าว]>
หรือถ้าผู้ปกครองไม่กล้าชี้แจงด้วยตัวเอง อาจจะเพราะไม่อยากกล่าวโทษใคร ถ้าเป็นโรงเรียนที่ดี ในเมื่อผู้ปกครองไม่กล้าพูด ก็ต้องแจกแบบสอบถามให้ผู้ปกครองเขาประเมินทุกๆ ปี ผู้บริหารเองก็ต้องไปดูว่าทางโรงเรียนเรา มีข้อผิดพลาดตรงไหนบ้าง
โดยส่วนตัวมองว่า “คนเป็นครู” ยังไงก็ต้องสอนให้ถูกค่ะ แต่ถ้าเกิดพลาดขึ้นมาในเรื่องง่ายๆ เราก็ต้องมาดูว่า เขาพลาดเพราะความไม่รู้จริงๆ หรือพลาดเพราะเหตุสุดวิสัย ดังนั้น ระบบของการนิเทศในโรงเรียนจึงสำคัญมาก
เทียบกับตอนก่อนออกไปเป็นครู อยู่ในช่วงฝึกสอน จะมีอาจารย์มหาวิทยาลัยคอยตรวจแผนการสอนให้ แต่หลังจากนั้น พอถูกบรรจุให้เป็นครูจริงๆ ไปอยู่ในโรงเรียนแล้ว ก็จะไม่มีอาจารย์มาคอยดูแลเหมือนเดิม ดังนั้น หัวหน้างานวิชาการ หัวหน้าหมวดของทางโรงเรียนที่รับ ก็จำเป็นต้องเข้ามาดูแลตรงนี้ด้วย ส่วนตัวครูแต่ละคน ก็ต้องเตรียมความพร้อมในการสอนของตัวเอง
ครูเป็นอาชีพที่ต้องมีจรรยาบรรณ และหนึ่งในนั้นก็จะเรื่องความตั้งใจและทุ่มเทในการสอนลูกศิษย์ และในฐานะที่ครูก็ถือเป็นนักวิชาการด้วยเหมือนกัน จึงจำเป็นต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต เพราะถ้าครูไม่เรียนรู้ ครูก็จะไม่เหลือจิตวิญญาณที่จะถ่ายทอดให้เด็ก และเด็กก็จะไม่เกินแรงบันดาลใจจากการสอนเลย”
ข่าวโดย ผู้จัดการ Live