xs
xsm
sm
md
lg

นักสู้ตัวจิ๋ว “น้องโอม” ดูแลแม่ป่วย “เอสแอลอี-ไขสันหลังติดเชื้อ-อัมพาต”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 
ฮีโร่นักสู้ตัวจิ๋ว วัย 11 ปี “น้องโอม-วรภพ นวลนิศาชล” ดูแลแม่ป่วยหลายโรครุมเร้า “เอสแอลอี-ไขสันหลังติดเชื้อ-ถุงน้ำทับเส้นประสาท-อัมพาต” ทั้งทีตัวเองก็ป่วยหนัก “ไตอักเสบเฉียบพลัน-เอสแอลอี-โปรตีนรั่ว” เปิดใจ “ไม่รู้ใครจะไปก่อนกัน แต่จะดูแลแม่ให้ดีที่สุด” เปรย ความฝันอยากเป็นหมอ แม้ไม่มี “พ่อ” ไม่เป็นไร แค่มี “แม่” ก็มีความสุขแล้ว

หลายโรครุมเร้า “แม่-ลูก” นักสู้ชีวิต!

“โรคเอสแอลอี-ไขสันหลังติดเชื้อ-ถุงน้ำทับเส้นประสาทที่ไขสันหลัง-หัวไหล่ตายทั้งสองข้าง” คุณแม่ 'วรัญญา นวลนิศาชล' วัย 34 ปี แม่ของน้องโอมผู้ถูกหลายโรคคุกคาม เริ่มตั้งแต่โรคเอสแอลอีเมื่อ 10 ปีก่อน นำไปสู่การติดเชื้อไขสันหลัง ป่วยติดเตียงถึงขั้นเป็นอัมพาต ส่งผลให้มีอาการชาตั้งแต่หน้าอกไปจนถึงปลายเท้า ต่อให้ยุงกัดหรือโดนมีดบาดใดๆ ก็ไม่รู้สึก

ขณะที่ภาวะปวดเกร็งสร้างความทรมานอยู่ภายในร่างกาย และไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ซ้ำ สามียังตีจากไปเมื่อรู้ว่าป่วย ซึ่งทุกๆ วัน น้องโอมต้องตื่นแต่เช้าเพื่อดูแลแม่ หุงหาอาหาร ทำกับข้าว ล้างหน้า เช็ดตัว เก็บกวาดบ้าน นี่คือสิ่งแรกที่ทำหลังจากที่ลืมตาตื่น ก่อนเดินทางไปโรงเรียน 'โพธิ์ทะเลสามัคคี' ในแต่ละวัน

“ตื่นนอนตั้งแต่ ตี 5 เอาน้ำมาให้แม่แปรงฟัน หุงข้าว ล้างหน้า ทำกับข้าว หุงข้าว เตรียมของไว้ให้แม่ กวาดบ้านถูบ้าน เทฉี่ แล้วถึงไปโรงเรียน เลิกเรียนบ่าย3 โมงครึ่ง ขี่จักรยานกลับบ้าน

นำเอาถ้วยชามที่แม่กินเสร็จแล้วเอาไปล้าง กวาดบ้านถูบ้าน เทฉี่ สวนทวารให้แม่ เช็ดตัว ทำแผล กินข้าว อาบน้ำนอนกัน ประมาณ 2-3 ทุ่มครับ” น้องโอมบอกเล่ากิจวัตรประจำวันที่ทำเพื่อแม่

น้องโอมเล่าต่อว่าเขาเริ่มทำกับข้าวเป็นตั้งแต่อายุ 8-9 ขวบ ซึ่งแม่เป็นคนสอนให้ทำไข่เจียว ไข่ดาว ต้มยำแกง ส้มตำได้หลายอย่าง แม้เหนื่อยบ้างจากกิจวัตรประจำวันที่ทำแต่ยังสู้ไม่หวั่น
แม่น้องโอมตอนยังไม่ป่วย

 
“แม่เป็นเอสแอลอีมานาน 10 กว่าปีแล้ว ตอนแรกเป็นโรคสะเก็ดเงินก่อน มารักษาเจอว่าเป็นเอสแอลอี จนอายุ 30 ปี เริ่มปวดหัว มีไข้ ไปหาหมอ ไม่ดีขึ้น หมอเจาะไขสันหลัง เจาะเที่ยวแรกยังหาสาเหตุไม่ได้ เจาะอีกครั้ง เจาะเช้า เย็นก็เดินไม่ได้ เราไม่รู้ว่ามันเกิดจากสภาวะอะไร แต่เราติดเชื้อง่ายอยู่แล้ว”

'วรัญญา นวลนิศาชล' แม่น้องโอม เล่าสาเหตุของการเดินไม่ได้ ซึ่งทุกวันนี้แม่น้องโอมยังต้องเทียวเข้า-ออกโรงพยาบาลเป็นระยะๆ ถึงเดือนละ 4 ครั้ง เนื่องจากขาก็บวมอย่างไม่มีสาเหตุ บางทีก็ปวดท้องจนทนไม่ไหว

หลังจากการเจาะไขสันหลังกับรพ.แห่งหนึ่งในพื้นที่ จนเกิดอาการเดินไม่ได้ตามมา แม่น้องโอมได้เข้ารักษาที่ รพ.รามาธิบดี ทำให้พบว่าเธอมีภาวะติดเชื้อที่ไขสันหลัง และมีถุงน้ำทับเส้นประสาทที่ไขสันหลังด้วย จึงต้องรักษาด้วยการผ่าตัด

โชคดีที่การผ่าตัดครั้งนั้นได้รับการช่วยเหลือจากมูลนิธิรามาธิบดีและมูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชนนี หาไม่แล้ว ประกันสังคมทุพพลภาพที่เธอได้รับเดือนละ 3,000 กว่าบาท คงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเธอต้องจ้างรถรับส่งไปรพ. รวมถึงจ้างคนเดินเอกสารและรับยาแทบจะไม่เพียงพอแล้ว

“อาการไม่สบาย 3 วันดี 4 วันไข้ เดี๋ยวไปหาหมอ เดี๋ยวดึกๆ ดื่นๆ ก็ต้องเรียกกู้ชีพมาเอาไป เพราะรถชาวบ้านไปไม่ได้ ลำบาก ต้องมีคนอุ้ม” มาณี ยวงเงิน อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) เล่าสภาพอาการป่วยของแม่น้องโอม

“ทุกวันนี้มีน้าคอยช่วย ไปเฝ้าที่ รพ. หรือบางทีก็มีป้าแถวบ้านเอากับข้าวมาให้ แต่ถ้าเวลากลางคืนที่รู้สึกปวดจนทนไม่ได้ เราต้องเรียกน้องที่ อบต.มาอุ้มเพื่อขึ้นรถไป รพ. ซึ่งบางทีน้องโอมก็ไม่ได้นอน บางทีน้องก็ต้องหยุดเรียน เราไม่มีใคร สามีทิ้งไปตั้งแต่ตอนป่วย เรามีกันแค่นี้”

ผู้ป่วยในพระบรมราชานุเคราะห์ “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ”

ลำพังคุณแม่ที่ป่วย-ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ลูกชายอย่างน้องโอมวัย 11 ขวบ ต้องดูแลทุกอย่างในครอบครัว ทั้งต้องรับผิดชอบการเรียนและดูแลแม่ที่ป่วยหนัก ใครจะคิดว่าน้องโอมต้องมาป่วยตามแม่ไปอีกคน

โชคดีที่น้องโอมได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทรงรับไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์

“โรคที่รุมเร้าน้องโอมมีทั้งไตอักเสบเฉียบพลัน เอสแอลอี และโปรตีนรั่ว แต่เอสแอลอีที่น้องเป็นจะอันตรายกว่าที่แม่เป็น เพราะน้องเป็นที่ไต อาการจะกำเริบง่ายกว่า โชคดีที่น้องได้เป็นคนไข้ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทำให้ครอบครัวซึ่งไม่ได้มีรายได้อยู่แล้ว ไม่ต้องแบกรับภาระตรงนี้เพิ่มขึ้นอีก

น้องโอมก็ได้เป็นคนไข้ของพระราชินี ณ ตอนนี้ เวลาจะไปหาหมอ ทหารก็มารับ ทหารรับก็ไปอยู่หลายวัน กว่าเขาจะมาส่ง ก็ขาดโรงเรียน บางทีถ้าตรงกับแม่เขา ก็ไปกับแม่เขา จ้างรถไป เหมารถไป ครั้งละ 3 พันบาท และจ้างคนเดินยาเดินเรื่องอีก 300 บาท” ซิ๊วฮวย สัมฤทธิ์ น้าแม่น้องโอมฉายภาพเวลาแม่ลูกคู่นี้ต้องไปหาหมอ


ผิวลอกจากอาการป่วย
 
อย่างที่ทราบว่าผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับไตจะมีอาการกำเริบง่ายกว่าผู้ที่เป็นเอสแอลอี แต่ไม่ได้ถูกระบุว่าเป็นบริเวณไหน มันเกิดการติดเชื้อได้ตลอดเวลา จึงทำให้แต่ละวันน้องโอมต้องกินยาในปริมาณที่เยอะมาก

“เรากังวล เวลาเขาเป็น หน้าแดง บวมมาก อยู่ดีๆ คลื่นไส้ เวียนหัว ปวดหัว โดนแดดมากๆ ก็ปวดหัว เราเองทำอะไรไม่ได้เลย ลูกจะกินอะไร ก็ทำไม่ได้ ลูกต้องกินข้ามต้มไหม ก็ทำไม่ได้ ก็ต้องให้ลูกต้มข้าวต้มเอง เราต้องดูเรื่องการกินของลูก แม้แต่ขนมกรุบกรอบที่กินไม่ได้ก็ไม่ให้กิน” แม่น้องโอมพูดด้วยความสงสารลูก

ขณะที่ 'กิตติคุณ ยิ้มเจริญ' ครูประจำชั้นน้องโอมตอนอยู่ ป.4 บอกเล่าเรื่องราวของหนูน้อยสู้ชีวิตคนนี้ให้ฟังว่า น้องโอมเป็นเด็กเรียนดี มีความตั้งใจ และเคยประกวดคัดลายมือจนได้รางวัลมาแล้ว แต่เพราะอาการเจ็บป่วยที่ต้องรักษาตัวอยู่บ่อยครั้ง จึงทำให้ผลการเรียนตกลงไปเพราะปัญหาสุขภาพ

“น้องโอมเริ่มป่วยตั้งแต่ 2-3 ปีที่แล้ว ก็จะมีปัญหาเรื่องสุขภาพครับ อาการที่เห็นคือหน้าบวม ตัวบวมมากกว่าเด็กปกติ มีอาการซึม ส่วนเรื่องอาหารแกก็จะกินไม่ค่อยได้

ส่วนหนึ่งที่ผมทราบมา คือ แกต้องไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯ บางครั้งแกต้องนอนที่ รพ. บางครั้งไปอยู่คนเดียวเป็นอาทิตย์ ทำให้แกเรียนไม่ค่อยทันเพื่อน แต่ทางโรงเรียนมีวิธีแก้ไข คือ มีการจับกลุ่มในโรงเรียนติวให้ หลังเลิกเรียนบ้าง ก่อนชั่วโมงเรียนบ้าง เด็กอ่อนวิชาอะไรก็จะมาช่วยกันติวครับ

ผลการเรียนค่อนข้างดีนะครับ อันดับต้นๆ ของห้อง แต่จะมาดรอปตอนช่วงที่แกป่วยบ่อยๆ การเรียนไม่สม่ำเสมอก็จะมีปัญหาเรื่องนี้ครับ เดิมทีแกเป็นคนเรียนดี แกเคยประกวดคัดลายมือและได้รางวัลด้วยนะครับ”
ปั่นจักรยานจากบ้านไปเรียน
ถ้าหนูตาย..ฝากดูแลแม่ด้วย

“หนูรู้สึกเสียใจ ทำไมแม่ต้องเป็นแบบนี้ ทำไมแม่ถึงเดินไม่ได้ อยากให้แม่เดินได้ อยากให้แม่หาย และอยากให้หนูหาย ถ้าแม่กับหนูหายดี ก็อยากทำความดีและอยากมีความสุข อยากเป็นหมอตามที่ใฝ่ฝันไว้”

ความฝันที่อยากเป็นหมอถูกเล่าผ่านดวงตาของเด็กชายวัย 11 ขวบ หลังจบคำถามว่าหากแม่และน้องโอมหายจากอาการเจ็บป่วยแล้วนั้น สิ่งแรกทีน้องโอมตั้งใจอยากทำคือ การทำความดีและอยากมีความสุข

“คิดถึงพ่อครับ แต่ไม่มีพ่อแล้ว มีแค่แม่ก็พอใจแล้ว แม่ก็เป็นได้ทั้งพ่อและแม่ ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เพราะไม่รู้จะอยู่กับแม่ไปอีกนานหรือเปล่า อยากบอกว่าหนูจะรักแม่ต่อไป จะทำอย่างนี้ให้กับแม่ต่อไปเท่าที่หนูจะทำได้ ทำให้ดีที่สุดในชีวิต” น้องโอมสะท้อนความรักที่มีต่อแม่

การที่น้องโอมและแม่ต่างอยู่ในภาวะที่โรครุมเร้าทั้งคู่ ไม่มีใครรู้ว่าใครจะไปก่อนกัน ทำให้น้องโอมอดห่วงแม่ไม่ได้ จนถึงขั้นเคยพูดกับทีมงานรายการ-นักข่าวที่มาลงพื้นที่ว่า “ฝากช่วยดูแลแม่ผมด้วย”

“เวลานักข่าวมา น้องโอมพูดว่า พี่ครับ ถ้าผมตาย พี่ช่วยดูแลแม่ผมด้วยนะครับ ผมห่วงแม่ เขาเคยบอกกับนักข่าวที่มา หรือบอกกับหน่วยงานของบิณฑ์ บันลือฤทธิ์ เขาไม่รู้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหน” มาณี ยวงเงิน อาสาสมัครประจำหมู่บ้าน (อสม.)

ด้านแม่น้องโอม ยอมรับว่า เคยคิดว่าตัวเองนั้นเป็นตัวถ่วงของลูกหรือไม่ เพราะแค่ทำหน้าที่แม่ให้ดีที่สุด ยังไม่สามารถทำได้ เคยท้อถึงขนาดคิดอยากฆ่าตัวตาย

 
“เมื่อก่อนเคยไปรับไปส่งลูก เคยไปทำงาน ตอนไม่ได้ทำงานก็อยากใช้เวลากับลูก แต่ก่อนเราออกไปทำงานตั้งแต่ตี 3 กว่าจะถึงบ้าน 3 ทุ่ม บางทีลูกยังรออยู่เลย วันหยุดเราก็พาลูกไปกินอะไรที่เขาไม่เคยกิน พาไปเดินห้างบ้าง พาเขาไปเที่ยวบ้าง แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น กลับกลายเป็นว่าเขาต้องมาดูแลเรา

เราทำหน้าที่แม่ไม่ได้ เรามีอาชีพเป็นแม่ เป็นแม่คน แต่เราทำหน้าที่นี้ในชีวิตนี้ไม่ได้ เราคิดว่าเราเป็นตัวถ่วงของลูก แทนที่เขาจะได้ไปเรียน ไปเล่นกับเพื่อน แทนที่เขาจะได้ใช้ชีวิตประจำวันเหมือนเด็กคนอื่นๆ ทั่วไป แต่เราทำอะไรให้เขาไม่ได้เลย

มันลำบากมากนะ การเป็นผู้ป่วยติดเตียงก็พอทน แต่โรคภัยมารุมเร้า มันเหมือนมีอะไรไม่รู้มาประดังเรา มันท้อมาก เคยคิดฆ่าตัวตาย บางทีลูกพูด ถ้าแม่ตาย แล้วหนูจะอยู่กับใคร แรงใจคืออยากอยู่กับลูก เราก็ไม่รู้ว่าเราสองคนใครจะไปก่อน ทำให้ดีที่สุดในวันนี้ที่เรายังมีชีวิตอยู่ ทำได้แค่ไหนก็ทำ ทำไม่ไหวก็ไม่ต้องทำ”

หากท่านใดอยากให้กำลังใจหรือช่วยเหลือน้องโอมและแม่ สามารถโอนเงินไปได้ที่ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาบางระจัน สิงห์บุรี ชื่อบัญชี นางสาววรัญญา นวลนิศาชล เลขที่บัญชี 406-172-707-1

ติดตามรับชมรายการ “ฅนจริง ใจไม่ท้อ” ได้ ทุกวันเสาร์ เวลา 09.00-10.00 น. ทางสถานีโทรทัศน์ NEWS1




กำลังโหลดความคิดเห็น