ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ยังมีคนที่รักและทุ่มให้กับศิลปินไอดอลได้มากขนาดนี้ รวมเหลายแสน (สาหัส) ที่หมดไป! แต่บอกเลยจิ๊บๆ เพราะถ้าได้ชอบจนคลั่ง ขนาดนี้แล้ว ให้เปย์จนหมดหน้าตัก เขาก็ยังไหว ขอแค่ได้สนับสนุนตระกูล 48 ที่เขารักและชื่นชอบก็เพียงพอ
ระดับความคลั่ง! เปิดคลัง “ของสะสม”รวมหลักแสน
ในชั่วโมงนี้ ไม่ว่าจะไปตามเว็บไหน เพจดังๆ หรือแม้กระทั่งหน้าทวิตเตอร์ หน้าเฟซบุ๊ก ต่างก็มีกระแสถึงชื่อวงไอดอลเกิร์ลกรุ๊ปกลุ่มหนึ่งที่ชื่อ “BNK48” อย่างแน่นอน“แอบมองเธออยู่นะจ๊ะ” ฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมือง กับเพลง “คุกกี้เสี่ยงทาย” หรือ Koisuru Fortune Cookie
วงสุดฮอตที่มีต้นแบบเป็นนักร้องกลุ่มไอดอลสาวอย่าง “AKB48” ซึ่งเป็นวงไอดอลที่โด่งดังมากของประเทศญี่ปุ่น ที่มีจำนวนสมาชิกถึง 2-3 ร้อยคน ! ด้วยความน่ารักสดใส และเสน่ห์ความเป็นธรรมชาติของ ไอดอลตระกูล 48 กรุ๊ป ก็พากันขโมยหัวใจเหล่าโอตะ ให้หลงใหลจนถอนตัว ไม่ขึ้นกันเลยทีเดียว
ตี๋-มินา วงศ์ชนะพิบูลย์ หนุ่มเซอร์ผมยาวรูปร่างสันทัด อาชีพ Graphic Design ที่บินไปญี่ปุ่นเป็นว่าเล่น เพื่อไปติดตามไอดอล ที่เขาชื่นชอบอย่างใกล้ชิด ชนิดที่ว่าทุ่มทั้งกายและใจให้กับวงไอดอลสาวเหล่านี้ได้ออกมาพูดถึง ของสะสมต่างๆของวง AKB48 วงแม่ของ BNK48 ที่เขามีไว้ในครอบครอง
“ถ้าถามถึงของสะสมต่างๆ ที่มีก็เกือบ “ดาวน์เฟอร์รารี่ได้” ส่วนมากหมดไปกับบัตรเลือกตั้ง บัตรจับมือ โฟโต้บุ๊กพร้อมลายเซ็น รวมถึงบัตรคอนเสิร์ตต่างๆ เพราะคอนเสิร์ต เหล่านี้ปีๆ นึงมีประมาณ 6-7 งาน ซึ่งผมไปเกือบหมด”
“บัตรจับมือ” นั้นคือบัตรที่ทำให้แฟนคลับ สามารถได้เข้าใกล้ชิดกับไอดอลที่ตนเองชื่นชอบ ซึ่งลิมิตในความคลั่งไคล้นั้น มีหลายระดับ ของทางประเทศญี่ปุ่นสามารถต่อแถวเพื่อจับมือศิลปินที่ชื่นชอบได้คนละ 3 วินาที แตกต่างจากบ้านเราที่ได้ถึง 8 วินาที
ตี๋ได้พูดถึงเรื่องการไปต่อแถวเพื่อจับมือ กับแฟนคลับที่เขาชื่นชอบว่าเป็นสิ่งที่แฟนคลับทุกคนใฝ่ฝันและใจจดจ่อให้งานนี้เกิดขึ้น “เวลามีงานครั้งหนึ่ง ผมก็ต่อแถวอยู่หลายรอบนะ แต่ละรอบก็รอเป็น2-3ชั่วโมง ผมก็ต่อวนไปทั้งวัน (หัวเราะเขินๆ)” เชื่อแล้วว่าเป็นโอตะที่ไม่ธรรมดาจริงๆ
ชอบจนถึงขั้นคลั่งขนาดนี้ แน่นอนว่าคงต้องมีของสะสมมากมา ไม่รอช้าเปิด 5 อันดับของสะสมหายากฉบับโอตะพันธุ์แท้ ที่ใครเห็นเป็นต้องร้องอยากได้มาครอบครอง โดยไล่จากราคาต่ำสุดใน 5 อันดับ ไปจนถึงสูงสุดเป็นอันดับ 1
เริ่มกันที่ อันดับที่ 5 คือ “รูปพร้อมลายเซ็นของวง HKT48” หลากหลายเกรด ราคาอยู่ที่ 30,000 เยน, อันดับที่ 4 เป็น “รูปโปสเตอร์พร้อมลายเซ็นสมาชิกวง AKB48” ที่สุ่มได้จากการไปงานจับมือที่ประเทศญี่ปุ่น ราคาอยู่ที่ราวๆ 100,000 เยน
อันดับที่ 3 เป็น “รูปสมาชิกคนหนึ่งในวงสมัยเข้ามาออดิชั่นใหม่ๆ พร้อมลายเซ็น” ราคา 150,000 เยน ส่วน อันดับที่ 2 คือ "เสื้อพร้อมลายเซ็นสมาชิกครบทุกคนของ AKB48” ราคาอยู่ที่ 200,000 เยน
และอันดับที่ 1 คือ “โฟโต้บุ๊กเดี่ยว พร้อมลายเซ็น ของสมาชิกวง NMB48” โดยการได้มานั้นต้องไปต่อแถวเพื่อซื้อโฟโต้บุ๊กนี้ ในวันแรกที่วางขายแล้วศิลปินเจ้าของโฟโต้บุ๊กจะออกมาเซ็นชื่อให้กับผู้โชคดีเพียงแค่ 200 คน เท่านั้นซึ่ง ณ เวลานี้หายากมาก
ขณะนี้ ราคาโฟโต้บุ๊กเซตนี้ก็พุ่งทยานไปถึง 300,000 เยนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มูลค่ารวมของ 5 ชิ้นราคาตกอยู่ที่ราวๆ 780,000 เยน คิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ 200,000 กว่าบาท
เพียงแค่เผยของสะสมที่แพงที่สุด 5 อันดับของเขา ก็สามารถการันตีความคลั่งไคล้ของพ่อหนุ่มฟรีแลนซ์ได้อย่างชัดเจนเท่านั้นยังไม่พอ เพราะเมื่อเดือนมกราคม ที่ผ่านมาได้มีการเปิดจองโฟโต้บุ๊กของวง BNK48 เพื่อให้เหล่าแฟนคลับได้สะสมและจับจอง
ทั้งนี้ ในแต่ละเซตความพิเศษของมัน คือมีการสุ่มรูปเดี่ยวของสมาชิกในวงอีกด้วยทำให้ตี๋ก็เป็น 1 ในอีกหลายพันคน ที่สั่งโฟโต้บุ๊กชุดนี้เพราะอยากสะสมรูปเดี่ยวของของทุกครบให้ครบทั้งเซต
“ต้องบอกก่อนว่าก่อนหน้านี้เคยมีให้สั่งโฟโต้บุ๊กไปแล้ว 1 เซต ซึ่งเซตนั้นผมสั่งมาประมาณ 100 ชุด แต่ได้คนซ้ำเยอะมาก พอมาถึงเซตใหม่นี้ ผมเลยลองสั่งมาแค่ 50 เซตเพื่อดูก่อนว่าจะได้รูปสมาชิกในวงซ้ำมากน้อยแค่ไหน ถ้าได้คนที่ซ้ำเยอะก็ไม่ได้เสียหายอะไร เพราะเราสามารถนำรูปที่ซ้ำไปแลกกับคนอื่น หรือขายให้กับคนที่ต้องการได้”
ไม่ใช่แค่สุ่มรูปที่จะได้จากการสั่งโฟโต้บุ๊กเท่านั้น แต่รูปของบางคนในสมาชิก BNK48 ราคารูปในตลาดนักสะสมสูงถึง “หลักหมื่น” หากศิลปินคนไหนเป็นที่ชื่นชอบหรือมีแฟนคลับเยอะ จะทำให้รูปเดี่ยวของศิลปินคนนั้นทำออกมาน้อยลง และทำบรรดาแฟนคลับสั่งโฟโต้บุ๊กเยอะขึ้น เพื่อตามล่าหารูปเดี่ยวของศิลปินในดวงใจ
“ตอนนี้รูปเดี่ยวของสมาชิกBNK48 ที่ผมมีของคนที่หายากๆก็คือ “อร” (พัศชนันท์ เจียจิรโชติ หรือฉายา อรอุ๋ง) และ “กระเต็น” (เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ หรือฉายา ลูกพี่) ถือว่าพอใจอยู่ ครับเพราะค่อนข้างหายาก แต่ในอนาคตผมก็คงจะตามเก็บเรื่อยๆ จนกว่าจะได้สมาชิกครบทุกคน”
จุดเริ่มต้นความเป็น “โอตะ” ที่แท้ทรู
“จุดเริ่มต้นมาจากเมื่อสมัย 6-7 ปีที่แล้วตอนนั้นวงไอดอลเริ่มดัง แล้วสมัยนั้นชอบ Baby Vox ซึ่งเป็นศิลปินเกิร์ลกรุ๊ปของประเทศเกาหลีที่มีศิลปินเป็นเด็กสาววัยใสอายุประมาน 17 - 18 ปี ภายหลังได้มาเจอ AKB48 รู้สึกว่ามันไม่เหมือนวงอื่น เพราะปกติศิลปินหรือไอดอลสมัยก่อน จะเข้าถึงยาก เหมือนเว้นระยะห่าง ระหว่างคนธรรมดากับศิลปิน
แต่ไอดอลวงนี้ คอนเซ็ปต์เขาคือ สามารถเข้าถึงได้ เจอเมื่อไหร่ก็ได้ ก็เลยทำ ให้รู้สึกสนใจ และจำนวนสมาชิกในวงที่มีถึง 200-300 คนเลยรู้สึกว่า แปลกดีนะก็เลยลองตามๆดู พอตามมาเรื่อยๆ เหมือนเราเริ่ม ถลำลึก
ที่หันมาชอบและสนใจ BNK ก็เพราะว่าวงนี้มีต้นแบบมาจากวงAKB ที่เราชอบอยู่แล้วพอมีวงBNKมาเปิดตัวที่ไทยเราก็เลยลองฟังเพลงดูว่าเหมือนของต้นฉบับไหม และสตอรี่ของสมาชิกBNK48 ก็น่าสนใจด้วย
[วงตระกูล 48 ต้นฉบับที่ญี่ปุ่น วงที่ "โอตะตี๋" เคยชอบมาก่อน | ขอบคุณภาพจาก: แฟนเพจ "BNK48" (ตามภาพโลโก้ที่แปะไว้)]
เพราะสมาชิกบางคนยังเป็นเด็กอายุเพียงแค่ 13-14 ปี ซึ่งถือว่าอายุยังน้อยแต่ต้องขึ้นมาเป็นไอดอล ต้องมาทำงานหนัก ตอนเราอายุุเท่าเขา เรายังดีดลูกแก้วกระโดดหนังยางกันอยู่เลย แต่น้องเขาต้องมารับความเครียดรับความกดดัน มาซ้อมหนักใช้ตารางงานแบบผู้ใหญ่ เลยรู้สึกว่าอยากจะสนับสนุนน้องเขาดู”
เป็นแฟนคลับที่รักในวงไอดอลตัวยงขนาดนี้คงหนีไม่พ้นเคยไปให้กำลังใจน้องๆ ที่ตู้ปลาอย่างแน่นอน ซึ่งตู้ปลาหรือ Digital Live Studio ตั้งอยู่ที่ Emquatier มีลักษณะเป็นห้องกระจกปิดสี่ด้านคล้ายตู้ปลา จะเป็นสถานที่ ที่สมาชิกวง BNK48 จะไปไลฟ์โชว์ถ่ายทอดสดลงเฟซบุ้คในทุกๆวัน ซึ่งตี๋ก็เป็นหนึ่งในแฟนคลับที่คอยไปให้กำลังติดชิดขอบตู้ปลาเช่นกัน
“ช่วงแรกๆไปบ่อยมากครับเพราะไม่ค่อยมีคนไปมีคนไปดูน้อยเลยรู้สึกว่าได้ใกล้ชิดกับน้องๆ ทำให้อยากไปบ่อยแต่พอหลังๆ มากระแสเริ่มดังขึ้น คนไปดูเยอะขึ้น บางทีเยอะจนแน่นแทบจะหายใจไม่ออก ก็เลยไม่ค่อยได้ไปครับแต่ก็ยัง ดูและติดตามไลฟ์สดของน้องๆ ผ่านแอปพลิเคชัน Voov อยู่ตลอดครับ”
จะอยู่หรือจะไป “แฟนคลับ” เท่านั้นที่กำหนด
เมื่อไม่นานมานี้มีการเปิดเปิดรับสมัครสมาชิก BNK48 ในรุ่นที่สอง เห็นทีคราวนี้สมาชิกเดิมคงมีร้อนๆ หนาวๆ กันบ้างเพราะจากเดิมต้องแข่งกัน เพื่อทำให้ตัวเองมีแฟนคลับและผลงานที่ดีอยู่แล้ว แต่คราวนี้ต้องแข่ง กับน้องๆ ในรุ่นที่สองอีกด้วย ใครทำผลงานดีมีแฟนคลับแน่นก็คงพอจะอุ่นใจได้อยุ่บ้าง
“จริงๆ ไม่มีการออกไปไหนนะครับ แต่มีเป็นการแข่งขันเพื่อหาคน ที่จะได้อยู่ในเอ็มวี คนที่จะได้โปรโมตมากกว่า ไม่มีการทิ้งไปไหนเพราะ AKB ของญี่ปุ่นมีถึง 16 รุ่นแล้วครับ ก็ยังคงแข่งขันกันอยู่ถึงปัจจุบัน ซึ่งสมาชิกบางคนก็ติดมาตลอดในการโปรโมตเพลงต่างๆ ตั้งแต่รุ่นที่ 1
“โดยในอนาคตแผนงานหรือกิจกรรมต่างๆของ BNK48 ยังไงก็ต้องเอาแผนของ AKBมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นงานเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นครั้งแรกในบ้านเราและงานเป่ายิงฉุบซึ่ง งานเลือกตั้งคือการให้บรรดาแฟนคลับมาโหวตคนที่ตัวเองชื่นชอบเพื่อให้ติด 1 ใน 16 คนที่จะได้อยู่ในซิงเกิ้ลต่อไป
[ขอบคุณภาพจาก: แฟนเพจ "BNK48" (ตามภาพโลโก้ที่แปะไว้)]
โดยการที่จะได้โหวตต้องซื้ออัลบั้มซิงเกิ้ล ที่วางขายก่อนหน้าวันลงเลือกตั้ง ภายในอัลบั้มจะมีใบลงคะแนนอยู่ 1 ใบ สามารถโหวตได้ใบละ1 คนเท่านั้น แต่คนหนึ่งโหวตกี่ครั้งก็ได้แล้วแต่ว่าจะ ซื้ออัลบั้มเยอะมากน้อยแค่ไหน ซึ่งผมเคยซื้ออัลบั้มเพื่อเอาบัตรไปเลือกตั้งถึง “500 ใบ หรือเกือบ 200,000 บาท”
การเป่ายิงฉุบคือการให้สมาชิกทุกคนภายในวง มาเป่ายิงฉุบกัน เพื่อหาคนคนดวงดีมาออกซิงเกิ้ลเดี่ยว ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี สำหรับคนที่ไม่ได้ติด 1 ใน 16 คน ถ้าดวงดีเป่ายิงฉุบชนะก็จะได้ขึ้นมาโปรโมต สร้างความตื่นเต้นและ ความน่าสนใจให้กับแฟนคลับและสมาชิกในวงเองอีกด้วยครับ”
หลายคนอาจจะสงสัยว่าต้นฉบับนับว่าประสบความสำเร็จก็จริง แต่วงลูกๆที่กระจายอยู่ทั่วเอเชียจะไปได้ไกลเหมือนวงต้นฉบับมากน้อยแค่ไหนโดยเฉพาะ BNK48 ในบ้านเรานั้นจะสามารถยั่งยืนได้เท่าต้นฉบับAKB48หรือไม่เพราะไม่เคยมีวงไอดอลลักษณะนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยมาก่อน
“ในความคิดของผม ผมคิดว่าขึ้นอยู่กับฐานแฟนคลับและขึ้นอยู่กับ วัฒนธรรมของประเทศเรามากกว่า คือธุรกิจของเขาวงการของเขาอยู่มา 12 ปีแล้ว ต้องบอกว่าแข็งแรงอยู่แล้วในเรื่องของระบบต่างๆ แต่จะยั่งยืนไม่ยั่งยืนนั้น ก็ต้องดูแฟนคลับดูวัฒนธรรมในประเทศของเราด้วยว่าจะยอมรับได้มากน้อย แค่ไหน”
สำหรับใครที่เพิ่งจะเข้าสู่วงการโอตะต้องบอกเลยว่าเตรียมเงินกันให้ดี เพราะงานนี้มีทุ่มกันแบบหมดหน้าตักมีเท่าไหร่ใส่ไม่ยั้ง“การเข้ามาก็ไม่ยาก ต้องเตรียมเงินไว้ให้ดี (หัวเราะ) จริงๆ ก็เอาตามที่เรามีก็พอ แต่ถ้าทำได้จริงๆ ก็ดี เพราะสุดท้ายแล้วการที่เราชอบ อะไรหนักๆ แล้วเราหาเงินได้เยอะๆ พอเราโตขึ้น เราเป็นผู้ใหญ่ เรามีครอบครัว แล้วเราเลิกชอบเขาแล้ว แต่ไอ้งาน-ไอ้เงินที่เราหาได้มันไม่ได้หายไป มันก็ยังอยู่ สุดท้ายก็เป็นข้อดีของเรา”
นี่เป็นเพียงเสียงเล็กๆ ของโอตะคนหนึ่ง ที่ตกหลุมรักวงดนตรีไอดอล แบบสุดหัวใจ ยังมีโอตะอีกหลายคน ที่ชื่นชอบและทุ่มเท เพื่อสิ่งที่เรารัก แต่สิ่งหนึ่งที่ควรรู้ไว้และท่องจำให้ขึ้นใจก็คือ คนเรานั้นมีสิ่งที่ชอบ และคลั่งไคล้แตกต่างกันออกไป ดังนั้นอย่ามองว่าเมื่อเราไม่ชอบสิ่งนั้น เราจะพูดหรือด่าอย่างไรก็ได้ เพราะหากมีใครก็ตามมาด่าหรือ พูดถึงสิ่งที่เรารักและชื่นชอบในทางเสียๆ หายๆ เราก็คงจะรู้สึกไม่ดีเช่นกัน
กฎเหล็ก “BNK48” หลายๆ คนคงจะยังไม่รู้ว่าไอดอลกรุ๊ป48เหล่านี้มีกฎมากมาย อย่างเช่นห้ามถ่่ายเซลฟี่กับแฟนคลับ ห้ามจับมือหรือถูกเนื้อต้องตัว เช่นกันกับวง BNK48 ที่กำลังโด่งดังในบ้านเรา เป็นปกติทั่วไปสำหรับแฟนคลับที่อยากจะมีภาพความประทับใจเก็บไว้ แต่ก็ถือเป็นเรื่องที่เหล่าแฟนคลับหรือ “โอตะ” พอเข้าใจได้ เพราะหากคุณอยากถ่ายเซลฟี่หรือจับมือไอดอลสาวเหล่านี้ต้องซื้อบัตรเพื่อเข้างาน ตามที่สังกัดกำหนดไว้เท่านั้นเพื่อเป็นการสนับสนุนวงไอดอลเหล่านี้อีกด้วย ซึ่งในบ้านเราตอนนี้มีแค่การจับมือเท่านั้นในอนาคตกำลังจะมีงานที่เรียกว่า“เซกิ ”หรืองานถ่ายรูปเซลฟี่กับคนที่เราชื่นชอบนั่นเองโดยราคาบัตรนั้นอยู่ที่ ราวๆ 1,000 เยน ภายนอกที่ดูสดใสและร่าเริงของสาวๆที่ทำให้บรรดาหนุ่มๆตกหลุมรักกันแบบฉุดไม่อยู่ยังมีอีกหนึ่งกฏเหล็กที่เรียกได้ว่าเป็นเรื่องต้องห้ามโดยเด็ดขาดของ BNK48 นั่นคือ “ห้ามมีแฟน” เพราะถือเป็นกฎที่ตกลงก่อนที่จะมาร่วมงานกับทางต้นสังกัด หากมีข่าวออกมาหรือแฟนคลับจับได้ ทางผู้บริหารอาจมีการเจรจา เพื่อให้เลือกระหว่างงานกับแฟนถ้าเลือกแฟน ไอดอลคนนั้นก็จะต้องออกจากวงไป แต่ถ้าเลือกงานก็ต้องเลิกกับแฟนและพิสูจน์ให้แฟนคลับได้เห็นถึงความพยายามและความรู้สึกผิดผ่านผลงานต่อๆ ไป |
สัมภาษณ์โดย ผู้จัดการ Live
เรื่อง: นภัสสร ดุลยธรรมภักดี, นิสิต ศิลปวิสุทธิ์
ภาพ: จารวี อู่พิทักษ์
ขอบคุณภาพ: แฟนเพจ "BNK48"