“Burakumin (บุระคุมิน)” เป็นชื่อที่ใช้เรียกกลุ่มคนที่มีฐานะต่ำต้อยในสังคมญี่ปุ่น ซึ่งบ่อยครั้งเป็นคนที่มีฐานะยากจน ไม่ว่าจะเป็นคนชนบทที่ห่างไกล หรือพวกต่างด้าว อย่าง เกาหลี จีน หรือ ไต้หวันที่อาศัยอยู่ในประเทศแห่งนี้ ซึ่งถ้าเทียบแล้ว พวกเขามีฐานะเท่ากับพวกจัณฑาลในอินเดียเสียอีก
พวกบุระคุมินนั้นมักจะถูกให้ใช้ทำงานต่ำ ๆ สกปรก หรืองานชั้นต่ำอย่าง งานในโรงฆ่าสัตว์ งานฟอกหนัง งานรับจ้างเก็บขยะและสิ่งปฏิกูล ประเภทอาจมออกจากใต้ส้วมเอามาเทรวมกันลากเอาไปทิ้ง หรือ งานปฏิบัติต่อคนตาย หรือสัปเหร่อ รวมทั้งงานโสเภณีก็เช่นกัน
ย้อนกลับไปในปี 1945 หลังสงครามโลกสิ้นสุดลง สมาคมสันทนาการของรัฐบาล ได้เปิดรับสมัครงาน โดยมีการประกาศทางหน้าหนังสือพิมพ์ ทั้งติดป้ายขนาดใหญ่หน้าสำนักงาน แต่กลับไม่บอกรายละเอียดของงานว่ามันคืออะไร และ งานแบบไหน
นอกจากบอกว่า งานดี เงินดี ที่พักพร้อม สวัสดิการเยี่ยม มีอาหาร เสื้อผ้าให้ การประกาศนี้ทำให้สาวๆ ในยุคหลังสงครามพากันไปสมัครกันอย่างเป็นล้ำเป็นสัน ตั้งแต่เด็กกำพร้า หญิงม่ายผัวตายในสงคราม เด็กทั้งสาวและไม่สาวอายุตั้งแต่ 13-25 ปี มาสมัครกันอย่างคับคั่ง
แน่นอนเมื่อรู้ว่า อาชีพนี้คืออะไร หลายคนปฏิเสธ แต่หลายคนยินยอมที่จะทำงานต่อ เพราะ ยุคนั้นเงินหายากและงานดีก็เงินดีแถมยังได้รับการรับรองจากรัฐอีกต่างหาก มันคืองานโสเภณีที่รัฐทำขึ้นอย่างถูกกฎหมายดีๆ นี่เอง เพื่อตอบสนองความต้องการของพวกต่างชาติที่บุกมายึดครองญี่ปุ่นในช่วงหลังสงคราม
มีบันทึกชัดเจนไว้ว่า พวกเธอต้องเผชิญหน้ากับอะไรบ้างในระหว่างรับแขก ซึ่งก็น่าสนใจและน่าสงสารไม่ต่างกัน พวกเธอจะอยู่ภายใต้สภาพที่ถูกบังคับให้รับแขกจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน แม้ว่ารายได้ของพวกเธอจะมาจากการทำงานครึ่งหนึ่งก็ตา เช่น ค่าตัว 5,000 เยน คุณจะได้ 2,500 สถานบริการได้ 2,500 แฟร์ๆ วินๆ กันไป
ทำให้หลายคนเลือกจะทำงานมากๆ ให้ได้เงินเยอะๆ ในแต่ละวันพยายามทำรอบโดยไม่สนเรื่องสุขภาพ ซึ่งแลกมากับสุขภาพที่ทรุดโทรมและการเผชิญหน้ากับความเจ็บป่วยที่ตามมาในภายหลัง โรคยอดฮิตก็คงจะรู้ๆ กันดีว่าหมายถึงโรคอะไร รายได้ที่มากมายนี้จูงใจให้พวกเธออยู่ต่อ
แม้ว่าจะมีโอกาสออกจากงานนี้ได้ทุกเมื่อก็ตาม แต่พวกเธอตัดสินใจจะอยู่ด้วยเหตุผลว่าจะเก็บเงินไปตั้งตัว หาเงินซื้อที่ดิน เปิดร้านอาหาร ร้านขายของ หรือไปตั้งตัวกันหลังจากนี้ ไม่ทรมานอีกแล้ว
แน่นอนว่า บุระคุมินหญิงเหล่านี้ยอมที่จะเสียตัวเพื่อชีวิตที่ดีกว่าในเบื้องหน้า เดือนธันวาคม 1945 มีการรายงานว่า มีหญิงบริการทางเพศถูกฎหมายภายใต้สมาคมสันทนาการถึง 55,000 คน จาก ศูนย์บริหาร 34 แห่งทั่วโตเกียว
ความนิยมของพวกเธอทำให้พวกทหารอเมริกันและต่างชาติไปใช้บริการพวกเธอกันอย่างคับคั่ง ทว่า พวกเขากลับต้องพบกับโรคภัยที่มาเยือนในแบบที่ว่าผ่านศึกในสนามรบมานักต่อนักแต่ไม่ตาย ก็ต้องมาตายเพราะความต้องการของตัวเองนี่แหละ
ทั้ง กามโรค ที่ทำให้ทางอเมริกาต้องออกกฏว่าจะไปมีเพศสัมพันธ์กับสาวโสเภณีพวกนี้ต้องใส่ถุงยาง ไม่งั้นจะติดโรคแบบเดียวกับที่ทหารออสเตรเลียครึ่งค่ายป่วยเป็นกามโรคกันจนหมด ยุคนั้นเป็นข่าวคึกโครมมากที่ทหารออสซี่ติดโรคทางเพศสัมพันธ์กันเพียบ
ทว่า ช่วงรุ่งเรืองของโสเภณีถูกกฎหมายปิดจ็อบอย่างรวดเร็ว หลังอเมริกายกเลิกกฎหมายค้าประเวณีลงในปี 1946 ทำให้ศูนย์สันทนาการเรื่องอย่างว่าซบเซาและหายไป แต่การค้าของพวกเธอยังไม่จบและเปลี่ยนไปเป็นการค้าผิดกฎหมายที่หาได้ตามท้องถนนแทน
อันเป็นจุดเริ่มต้นของอาชีพโสเภณีในโตเกียวที่เรารู้จักกันนั้นเอง ถึงแม้ว่าจะเป็นงานผิดกฏหมาย แต่รัฐบาลญี่ปุ่นเองก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้มาจวบจนทุกวันนี้ เพราะรายได้ขับเคลื่อนประเทศญี่ปุ่นอย่างหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันทำกำไรงดงามก็คือ อาชีพโสเภณี นี่แหละ