“แพทไม่เคยรู้สึกน้อยใจ หรือโทษโชคชะตาที่ทำให้ชีวิตต้องเป็นอย่างนี้ เพราะในระหว่างที่แม่ป่วย พี่พิการ พ่อตาย สามีติดคุก แต่คนอื่นเขาไม่ได้มีอาชีพตรงนี้แบบเรา เขาไมได้มีอะไรดีๆ หลายอย่างแบบเรา บางคนต้องดูแลลูกอีก 2-3 คน สามีทิ้ง เขาหนักกว่าเราตั้งเยอะทำไมเขาอยู่ได้ แล้วเราล่ะ? ทำไมเราต้องมาท้อใจอะไรกับชีวิต ทั้งที่เรามีอะไรมากกว่าเขา มีโอกาสในชีวิต แต่กลับมานั่งน้อยใจกับอีแค่เรื่องแค่นี้มันไม่ใช่”
เพราะชีวิตมีค่ามากกว่าจะมานั่งโทษโชคชะตา วันนี้ แพท-ณปภา ตันตระกูล วัย 32 ปี ขอเปิดใจหมดเปลือกเกี่ยวกับมรสุมชีวิตที่จะเรียกว่าหนัก ก็หนักเอาการ แต่เธอกลับมองทุกอย่างเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเจอ เธอโอเค เธอไหว เพราะชีวิตเธอสำคัญกว่าการมาฟูมฟาย ร้องไห้ แล้วไม่ทำอะไรเลย อยากอยู่รอดในสังคมและเผชิญปัญหาต่างๆ เธอต้อง “สู้” และพร้อมเจออุปสรรคทุกอย่างที่ถาโถมเข้ามา ด้วย “รอยยิ้ม” และกำลังใจจากคนรอบข้าง รวมถึงลูกชายหัวแก้วหัวแหวน น้องเรซชิ่ง วัย 1 ขวบ
“ลูก” ที่ต้องดูแลแม่ป่วยอัลไซเมอร์
เปิดประเด็ยพูดคุยกับสาวเก่งมากความสามารถด้วยเรื่องของคุณแม่ของเธอ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าคุณแม่ของแพท-ณปภา ท่านป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์มาเป็นเวลานานกว่า 10 ปีแล้ว และเธอก็ดูแลคุณแม่อย่างดี
แพท เล่าว่า อาการของคุณแม่ตอนนี้ทรงตัวอยู่ ไม่ได้แย่ลง มันเป็นเรื่องของยา อาหารการกินต่างๆ แต่ว่าเรื่องจะกลับมาเหมือนเดิมหรือไม่นั้น คุณหมอไม่ได้บอกว่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมร้อยเปอร์เซ็นต์
ทุกวันนี้สิ่งที่แพท คอยดูแลคุณแม่คือ หากวันนั้นไม่มีงานเลย 8 โมงเช้าแพทจะป้อนข้าว อาบน้ำ และเปลี่ยนแพทเพิส จากนั้นก็ปล่อยให้ท่านพักผ่อน เที่ยงป้อนข้าวท่านอีกครั้ง บ่ายสามเปลี่ยนแพมเพิส และอีกหนึ่งทีหนึ่งประมาณหนึ่งทุ่ม เป็นอย่างนี้ทุกวัน 3 เวลา
เมื่อถามว่าคุณแม่งอแงไหม? จากอาการป่วยที่เป็นอยู่ สาวแพท บอกว่า ก่อนหน้านี้งอแง แต่ตอนนี้ไม่มี ตอนช่วงกินข้าว ไม่ใช่ว่างอแงแต่แกลืมว่าต้องกิน ลืมว่าต้องเคี้ยว ลืมว่าต้องกลืน
แพทก็จะคอยพูดกับคุณแม่บ่อยๆ เวลาป้อนข้าว จะถามว่าเคี้ยวหรือยัง กลืนหรือยัง อย่าอม ต้องกระตุ้นเรื่อยๆ ให้คุณแม่รู้สึกตัวตลอดเวลา ให้เคี้ยวตลอดเวลา
ในวันที่คุณแม่ป่วย แพทเล่าว่า ย้อนไปเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าทำไมโรคนี้ถึงมาเกิดกับคุณแม่ คุณแม่เป็นอัลไซเมอร์ได้อย่างไร
“แพทไม่ได้ท้อนะ แต่มันก็ไม่คิดว่าแม่เราจะเป็นเพราะแม่ค่อนข้างแข็งแรงมาก แล้วก็ค่อนข้างที่จะเก่ง เป็นคนทำอะไรหลายๆ อย่างด้วยตัวของเขาเอง จนกระทั่งในวันที่แม่เริ่มป่วย แม่ไม่ได้บอกให้เราทำอะไรในหลายๆ เรื่อง แต่อยู่ดีๆ แกเป็น เราก็ไม่รู้อะไร ถามอันนั้นอันนี้แกก็ไม่ค่อยตอบ แกก็จำไม่ได้”
ถามว่าเคยเสียใจไหมเวลานึกย้อนกลับไปว่าก่อนที่คุณแม่จะป่วย เราควรที่จะทำแบบนี้กับคุณแม่นะ เราควรจะพาคุณแม่ไปไหนไหม
สาวแพท ตอบแบบไม่ต้องคิดว่า “ไม่มีเลยเพราะแพทกับแม่อยู่ด้วยกันตลอดเวลา เราไปด้วยกันทุกที่อยู่แล้ว จนวันที่แม่เริ่มป่วย เวลาไปมหาลัยแม่คงไปด้วยไม่ได้ หรือไปโรงเรียนแม่ก็ไปรับไปส่งจนถึง ม.4 - ม.5 มันไม่มีความรู้สึกที่ว่า รู้อย่างงั้น รู้อย่างงี้ ทำไมเราไม่ทำนะ ทำไมตอนนั้นไม่พาไป อะไรพวกนี้เลย”
สำหรับค่าใช้จ่ายในการดูแลคุณแม่ สาวแพทอธิบายเพิ่มเติมว่า มันจะหนักเรื่องของแพมเพิส ที่นอน หรือการดูแลในส่วนต่างๆ แต่เรื่องของยามันก็ไม่ได้หนักมาก เพราะแพทไม่ได้ให้แม่ทานยาเยอะมาก เพราะเราเองก็ไม่รู้ว่ายาจะโอเคกับแม่ไหม พยายามผสมผสานยา ไม่ได้ทานเต็มสูตร แม่แพทเขาป่วยอัลไซเมอร์อารมณ์จะเหวี่ยง หมอจะให้ยาแบบหนึ่ง แต่ตอนนี้พอแม่อยู่ในภาวะที่โอเคแล้ว เราก็ลดยาบางตัวลง ให้คุณหมอจ่ายยาบางตัวแทน
ในช่วงที่คุณแม่อารมณ์เหวี่ยงมาก แพทบอกว่า มันก็จะเหนื่อยกว่าตอนนี้ ตอนนี้เราทำทุกอย่างเป็นแบบ routine เหมือนเดิมเกือบทุกๆ วัน แต่ก่อนหน้านี้ต้องคอยดูใกล้ชิดกว่านี้อีกเท่าหนึ่ง เพราะแกอยากจะไปนั่นเองจะไปนี่เอง
รวมถึงเหตุการณ์ที่แม่จำเราไม่ได้ สาวแพทพูดจากใจจริงของเธอว่า เอาจากใจตอนนั้นมันก็นานแล้ว สิบกว่าปีที่ผ่านมามันลืมไปหมดแล้ว มันไม่ได้รู้สึกว่าเขาจำเราไม่ได้ เศร้าจัง มันไม่ใช่ เป็นความรู้สึกที่ว่าจะจำได้ไม่ได้ยังไงก็แล้วแต่ อยากให้เขาหายและให้เขาแข็งแรง ถ้าเขาแข็งแรงต่อให้ยังจำเราไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เรื่องแค่จำชื่อหรือจำเรามันไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยถ้าเทียบกับสิ่งที่เขาป่วยอยู่ ประเด็นหลักคือเราไม่อยากให้เขาป่วย
สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับการดูแลคุณแม่ สาวแพทบอกว่า ถ้าเราได้อยู่ใกล้ชิดมันไม่มีอะไรยากมันแค่ต้องปรับตัวเฉยๆ ทุกอย่างแพทมองว่าการดูแลคนป่วย เอาจริงๆ ถ้าเราชินกับมันหรือทำด้วยใจรัก มันไม่ใช่เรื่องยาก แต่มันจะเป็นเรื่องที่เราศึกษา อยู่และชินกับมันไปเอง
ไม่เคยทอดทิ้ง แม้พี่สาวป่วยพิการ
นอกจากคุณแม่ที่ป่วยเป็นอัลไซเมอร์แล้ว สาวแพท ยังมีพี่สาวแท้ๆ ที่คลานตามกันมาพิการอีก 1 คน และเป็นเธอที่ดูแลพี่สาวอย่างใกล้ชิด
“แพทดูแลพี่สาวเหมือนคุณแม่เลย เขาป่วยตั้งแต่แพทจำความได้ หลังจากนั้นก็เริ่มซนเริ่มดื้อ แล้วคุณพ่อก็จับนั่ง แล้วขาเขาก็เลยลีบ พอขาลีบมันก็กลายเป็นภาวะที่พี่สาวไม่ยอมเดิน พอไม่ยอมเดินกลายเป็นแขนขาลีบ แล้วก็ไม่เดินอีกเลย ส่งผลถึงการไม่พูดตามมา”
แพทบอกว่า วันนี้คุณแม่กับพี่สาวอยู่บ้านเดียวกัน โดยที่เธอดูแลทั้งคู่แบบแพ็กคู่ สองคนนี้คือ ดูพร้อมกันเลย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการกิน นอน เปลี่ยนแพมเพิส
หลายครั้งตามสื่อโซเชียล เรามักจะได้เห็นแพทเอนเตอร์เทน คุณแม่ด้วยการร้องรำ ทำเพลง เพื่อความผ่อนคลาย
“ใช่ มันก็ต้องประมาณนี้ คือจริง ๆ แม่ไม่ได้รับรู้แล้ว แต่การที่แพททำแบบนี้มันเป็นการกระตุ้นด้วยเสียงให้แม่ตื่นตัว ให้แม่รู้ว่าเราอยู่ตรงนี้ ถ้าเรานิ่งๆ แกจะไม่รู้ตัว กลายเป็นว่าเราต้องเสียงดังตลอดเวลา”
ถูกพ่อแท้ๆ ฟ้องร้องเรื่องค่าเลี้ยงดู
หากยังจำกันได้ก่อนหน้านี้สาวแพทต้องขึ้นศาลสู้คดีกับพ่อบังเกิดเกล้าแท้ๆ จากกรณีที่พ่อต้องการเงินเลี้ยงดูที่มากเกินกว่าสาวแพทจะให้ได้
ในส่วนของคุณพ่อ สาวแพทเล่าย้อนเหตุการณ์ในครั้งนั้นให้ฟังว่า มันเป็นหน้าที่ เป็นสิ่งที่อะไรจะเกิดขึ้นเราก็ต้องทำให้ดีที่สุดอยู่ดี
“สำหรับแพท ชีวิตเต็มที่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทุกคนมีเส้นทางเดินของตัวเองหมด ในส่วนของแม่แพทก็อยู่กับแม่มาตลอด ไม่มีโมเมนต์ไหนที่รู้สึกว่าทำไมเราไม่ได้อยู่กับเขา จะมีแค่ช่วงไปมหาลัยไปเรียนที่ไมได้อยู่ด้วย กลับมาก็อยู่ด้วยกัน เจอกันตลอด นอนห้องเดียวกัน แทบจะไม่เคยแยกกันเลย มาตอนป่วยที่แยกกันคือต้องไปหาหมอ แพทไปทำงาน
ส่วนคุณพ่อในทุก ๆ ช่วงชีวิตเราคุยกันตลอด เพียงแต่พ่อแค่ไม่รับการช่วยเหลือแบบที่เราเสนอก็แค่นั้นเอง มันจึงเกิดเหตุการณ์แบบนั้น เรื่องราวทั้งหมดคือ ในเมื่อเราบอกพ่อแบบนี้ พ่อไม่เอา พ่อจะเอาอีกแบบหนึ่ง พ่อไม่มีตรงกลาง เราบอกเราขอแบบนี้พ่อบอกไม่ได้ แบบไหนแบบนั้น สุดท้ายแล้วแบบที่พ่อเลือกมันไม่พอสำหรับตัวพ่อเอง แล้วพ่อก็มาเรียกร้องเพิ่มเติม”
สาวแพท เล่าต่อว่า ไม่ใช่ว่าเราทิ้งไป เราทำงาน เราไม่เคยติดต่อ ไม่เลย อย่างที่เคยบอก เราเคยคุยกันแล้ว เราส่งเงินให้พ่อทุกเดือนแล้ว แต่พอมันไม่เป็นไปตามข้อตกลงของเรา และคุณพ่อเลือกที่จะไปมีครอบครัวใหม่ เขาไม่ยินดีที่จะกลับมาอยู่กับเราตอนแรก
แพทไม่มีช่วงชีวิตไหนที่ไม่ได้ทำอะไรไปเลย อาจจะมีแค่ช่วงสุดท้ายที่พ่อเลือกที่จะไม่กลับมา แล้วเราก็ไม่รู้ว่าพ่ออยู่ยังไงก่อนที่พ่อจะเสีย เพราะไม่มีใครมาบอกหรือตัวแกเองก็ไม่บอกทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้ย้ายบ้านหนีหรือทิ้งพ่อ เรายังอยู่กับแม่เราเหมือนเดิมที่เดิม เพียงแต่พ่อเลือกที่จะไม่กลับมาหาเราจนวินาทีสุดท้ายให้คนอื่นมาบอกตอนที่พ่ออยู่โรงพยาบาล มันไม่เหมือนกันกับบางคนลูกทิ้งครอบครัวมาทำงานกรุงเทพ และไม่เคยกลับไปดูอีกเลย อันนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งแต่คนละแบบ
แพทก็เลยรู้สึกว่าแพททำหน้าที่ของลูกได้เต็มที่ในส่วนที่แพทต้องทำแล้ว มากกว่านี้แพทไม่รู้ว่าต้องทำยังไง จนวันหนึ่งที่เรามีลูก เราก็เลยรู้สึกว่าเราอยากสอนให้ลูกเป็นเหมือนเรา ครอบครัวคือที่หนึ่ง เหตุผลผิดชอบชั่วดีต้องมาที่หนึ่ง
โกรธคุณพ่อบ้างไหมที่เขาเคยทำกับเราแบบนี้?
ไม่เคยเลย ทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง เหมือนวันนี้ถ้าเรารักใครสักคน คนที่เรารักเขาไม่ได้รักเราแล้ว เราจะโทษเขาไหม ก็เหมือนกับที่เกิดกับคุณแม่กับคุณพ่อ วันหนึ่งคุณแม่ยังรักคุณพ่อมาก แต่มันติดตรงที่คุณพ่อไม่รักแล้ว และเขาเลือกที่จะเดินออกไปจากครอบครัวและทิ้งทุกอย่าง เราทำอะไรไมได้ในเมื่อเขาไม่รัก แล้วเราจะบอกให้เขารักแม่เราอีกก็ไม่ได้ แค่นั้นเอง ตอนแรกอาจจะไม่เข้าใจ แต่ถ้าเรามีความรักเราก็จะรู้เอง วันนี้ถ้าใครเดินออกไปก่อนคนนั้นก็เป็นคนที่ผิดเสมออยู่แล้ว ไม่ว่าจะสามี แฟน มันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่มันผิดกันตรงที่ว่าวันนี้มันมากกว่าคำว่าแฟน มันคือหัวหน้าครอบครัว แต่ว่าเขาไม่สามารถทำหน้าที่นั้นต่อไปได้แล้ว
ถูกพ่อแท้ๆ ฟ้องร้องเรื่องค่าเลี้ยงดู
หากยังจำกันได้ก่อนหน้านี้สาวแพทต้องขึ้นศาลสู้คดีกับพ่อบังเกิดเกล้าแท้ๆ จากกรณีที่พ่อต้องการเงินเลี้ยงดูที่มากเกินกว่าสาวแพทจะให้ได้
ในส่วนของคุณพ่อ สาวแพทเล่าย้อนเหตุการณ์ในครั้งนั้นให้ฟังว่า มันเป็นหน้าที่ เป็นสิ่งที่อะไรจะเกิดขึ้นเราก็ต้องทำให้ดีที่สุดอยู่ดี
“สำหรับแพท ชีวิตเต็มที่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทุกคนมีเส้นทางเดินของตัวเองหมด ในส่วนของแม่แพทก็อยู่กับแม่มาตลอด ไม่มีโมเมนต์ไหนที่รู้สึกว่าทำไมเราไม่ได้อยู่กับเขา จะมีแค่ช่วงไปมหาลัยไปเรียนที่ไมได้อยู่ด้วย กลับมาก็อยู่ด้วยกัน เจอกันตลอด นอนห้องเดียวกัน แทบจะไม่เคยแยกกันเลย มาตอนป่วยที่แยกกันคือต้องไปหาหมอ แพทไปทำงาน
ส่วนคุณพ่อในทุก ๆ ช่วงชีวิตเราคุยกันตลอด เพียงแต่พ่อแค่ไม่รับการช่วยเหลือแบบที่เราเสนอก็แค่นั้นเอง มันจึงเกิดเหตุการณ์แบบนั้น เรื่องราวทั้งหมดคือ ในเมื่อเราบอกพ่อแบบนี้ พ่อไม่เอา พ่อจะเอาอีกแบบหนึ่ง พ่อไม่มีตรงกลาง เราบอกเราขอแบบนี้พ่อบอกไม่ได้ แบบไหนแบบนั้น สุดท้ายแล้วแบบที่พ่อเลือกมันไม่พอสำหรับตัวพ่อเอง แล้วพ่อก็มาเรียกร้องเพิ่มเติม”
สาวแพท เล่าต่อว่า ไม่ใช่ว่าเราทิ้งไป เราทำงาน เราไม่เคยติดต่อ ไม่เลย อย่างที่เคยบอก เราเคยคุยกันแล้ว เราส่งเงินให้พ่อทุกเดือนแล้ว แต่พอมันไม่เป็นไปตามข้อตกลงของเรา และคุณพ่อเลือกที่จะไปมีครอบครัวใหม่ เขาไม่ยินดีที่จะกลับมาอยู่กับเราตอนแรก
แพทไม่มีช่วงชีวิตไหนที่ไม่ได้ทำอะไรไปเลย อาจจะมีแค่ช่วงสุดท้ายที่พ่อเลือกที่จะไม่กลับมา แล้วเราก็ไม่รู้ว่าพ่ออยู่ยังไงก่อนที่พ่อจะเสีย เพราะไม่มีใครมาบอกหรือตัวแกเองก็ไม่บอกทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้ย้ายบ้านหนีหรือทิ้งพ่อ เรายังอยู่กับแม่เราเหมือนเดิมที่เดิม เพียงแต่พ่อเลือกที่จะไม่กลับมาหาเราจนวินาทีสุดท้ายให้คนอื่นมาบอกตอนที่พ่ออยู่โรงพยาบาล มันไม่เหมือนกันกับบางคนลูกทิ้งครอบครัวมาทำงานกรุงเทพ และไม่เคยกลับไปดูอีกเลย อันนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งแต่คนละแบบ
แพทก็เลยรู้สึกว่าแพททำหน้าที่ของลูกได้เต็มที่ในส่วนที่แพทต้องทำแล้ว มากกว่านี้แพทไม่รู้ว่าต้องทำยังไง จนวันหนึ่งที่เรามีลูก เราก็เลยรู้สึกว่าเราอยากสอนให้ลูกเป็นเหมือนเรา ครอบครัวคือที่หนึ่ง เหตุผลผิดชอบชั่วดีต้องมาที่หนึ่ง
โกรธคุณพ่อบ้างไหมที่เขาเคยทำกับเราแบบนี้?
ไม่เคยเลย ทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง เหมือนวันนี้ถ้าเรารักใครสักคน คนที่เรารักเขาไม่ได้รักเราแล้ว เราจะโทษเขาไหม ก็เหมือนกับที่เกิดกับคุณแม่กับคุณพ่อ วันหนึ่งคุณแม่ยังรักคุณพ่อมาก แต่มันติดตรงที่คุณพ่อไม่รักแล้ว และเขาเลือกที่จะเดินออกไปจากครอบครัวและทิ้งทุกอย่าง เราทำอะไรไมได้ในเมื่อเขาไม่รัก แล้วเราจะบอกให้เขารักแม่เราอีกก็ไม่ได้ แค่นั้นเอง ตอนแรกอาจจะไม่เข้าใจ แต่ถ้าเรามีความรักเราก็จะรู้เอง วันนี้ถ้าใครเดินออกไปก่อนคนนั้นก็เป็นคนที่ผิดเสมออยู่แล้ว ไม่ว่าจะสามี แฟน มันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่มันผิดกันตรงที่ว่าวันนี้มันมากกว่าคำว่าแฟน มันคือหัวหน้าครอบครัว แต่ว่าเขาไม่สามารถทำหน้าที่นั้นต่อไปได้แล้ว
บทบาท “ภรรยา” ในวันที่สามีติดคุก
แพทอินกับการเป็น “แม่” มากกว่าการเป็น “ภรรยา” เพราะแพทไม่เคยใช้ชีวิตของการเป็นภรรยาเต็มที่
สำหรับการเปลี่ยนบทบาทจากเพื่อนมาเป็นภรรยา ในวันที่แพทมีความรักและกำลังจะสร้างครอบครัว แต่แล้วดันเกิดมรสุมถาเข้ามาอย่างหน่วงในชีวิต สาวแพท-ณปภา พูดถึงในเรื่องนี้ว่า
มันเป็นเรื่องที่กำหนดไม่ได้ วันที่แพทมีครอบครัวแพทก็ไม่ได้พร้อมขนาดนั้น มันเรียกว่ามารวดเร็ว ตอนแรกเราตั้งใจว่าจะคุยกับคนนี้ไปสักพัก สักปีหนึ่ง ถ้ามันโอเคก็คงคุยกันว่าจะเอายังไง เผอิญว่าแพทมีน้องก่อนเลยจำเป็นต้องมาใช้ชีวิตแบบครอบครัวก่อน
“เรารู้จักกันก่อนหน้านี้ก็จริง แต่ว่าก็เป็นแบบเพื่อน แล้วเราก็หายไปใช้ชีวิตของตัวเองเป็น7-8ปี เราไม่เคยรู้เลย รู้แค่ว่าเขายังเป็นเหมือนเดิม ชอบอะไรเหมือนเดิม แต่เราไม่รู้ว่าเขาผ่านอะไรมาบ้าง เขาเองก็รู้แค่ว่าเราเป็นดาราเหมือนเดิม อยู่ในจอทีวีเหมือนเดิม
แล้วพอวันหนึ่งมาคุยกันมันก็เหมือนกับว่าเราชอบอะไรเหมือนกันก็เลยคุยกันถูกคอ ไลฟ์สไตล์บางอย่างที่มันคล้ายกัน พอมาเรียนรู้จริงๆ มันก็ไม่ได้เป็นแนวทางเดียวกัน แต่ว่าในช่วงจังหวะที่เรากำลังเรียนรู้กัน พอมีลูกมันก็กลายเป็นหมวดบังคับว่าจากที่เป็นแค่แฟนกลับกลายว่าต้องมาทำหน้าที่พ่อแม่ สามีภรรยา มันเร็วมาก พอมาเรียนรู้กันมันก็ยังเป็นเวลาที่สั้นมาก และแพทก็อินกับการเป็น “แม่” มากกว่าการเป็น “ภรรยา” เพราะแพทไม่เคยใช้ชีวิตของการเป็นภรรยาเต็มที่”
ในวันที่ต้องไปเยี่ยมสามีในเรือนจำ?
“ก็เหมือนไปเยี่ยมเพื่อน มันไม่เหมือนไปเยี่ยมสามี เพราะอย่างที่บอก แพทยังไม่ได้ทำหน้าที่ของภรรยา ยังไม่เคยทำเต็มที่ ไม่เคยอยู่ในโหมดนั้น แต่งงานก็เพราะท้อง แต่งงานเสร็จก็ทำแต่งาน แล้วก็ไม่เคยทำอย่างอื่นเลยเพราะตอนนั้นก็ยังต้องทำงาน จนคลอดมา แพทก็ต้องเลี้ยงลูก ยังไม่มีโหมดทำอาหารหรือส่งสามีไปทำงาน”
เราเคยคิดไหมว่าถ้าวันนึงเราได้เป็นภรรยา เราอยากจะเป็นภรรยาแบบไหน ความฝันของเรา ครอบครัวของเราที่สร้างไว้ เราเคยจินตนาการไว้ไหมว่าอยากเป็นแบบไหน อยากได้แบบไหน
แพทไม่เคยจินตนาการไว้ว่า ว่าวันหนึ่งถ้าเราได้ทำหน้าที่ภรรยาจะต้องเป็นแบบไหน เพราะแพทไม่รู้เลยว่ามันจะต้องเป็นแบบไหน คิดแค่ง่ายๆ คือ ทำให้ดีที่สุด ด้วยเราวัยรุ่นเราเลยไม่รู้ว่ามันต้องเป็นแบบไหน เป็นในแบบที่ตัวเองชอบ เป็นแบบไหนก็เป็น รับได้ก็รับ รับไม่ได้ก็ค่อยว่ากัน
ทุกวันนี้ เวลาว่างแพท และลูกชายน้องเรซซิ่ง มักจะแวะไปเยี่ยมสามี “เบนซ์ เรซซิ่ง” ในเรือนจำ โดยเธอบอกว่า เธอมักจะไปวันที่ว่าง เพราะพี่เบนซ์เขาเยี่ยมได้แค่อาทิตย์ละวันอยู่แล้ว อาทิตย์ไหนว่างก็ไป อาทิตย์ไหนไม่ว่างก็ครอบครัวเขาไป
จากวันนั้นจนถึงวันนั้นกว่า 8 เดือน แพทมองว่า “พี่เบนซ์เขาปรับตัวกับการอยู่แบบนั้นได้แล้ว จากตอนแรกที่ปรับตัวไม่ได้ นี่เขาอยู่มา 8 เดือนกว่าแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าการปรับตัวได้แล้วจะต้องอยู่อย่างมีความสุข”
“เวลาไปเยี่ยมพี่เบนซ์สมมุติวันนี้เราว่างไปเยี่ยมเขาได้ แต่บังเอิญมันเยี่ยมได้รอบเดียวและมันไม่ตรงกับแม่สามีแต่เขาต้องมานั่งรอเรา บางทีคแม่สามีก็ไม่รอเราก็เขาไปก่อนเลย เราก็โอเคไม่เป็นไร เอาไว้วันที่ว่างตรงกันแล้วค่อยไป เนื่องจากว่าการเยี่ยมมันไม่ได้ใครว่างตอนไหนก็ไป ไปเยี่ยมได้แค่วันละรอบ ใครจะไปก็ต้องนัดกันว่าจะไปเวลานี้ใครจะไปกับเรา ซึ่งเมนหลักในการเยี่ยมคือแม่และพี่ชายของเขา ถ้าแพทมีงานที่ไม่ชนก็ไปได้ แต่ถ้างานชนก็ต้องเลือกงานก่อน เพราะว่าสำหรับแพทงานต้องมาก่อน”
หากถามสาวแพทว่า เธอเคยคิดน้อยใจบ้างไหมว่าเรากำลังจะมีครอบครัวที่ดีแล้ว แต่มันต้องเจอมรสุมชีวิตขนาดนี้
สำหรับแพท...ไม่เคยรู้สึกน้อยใจ หรือโทษโชคชะตาที่ทำให้ชีวิตต้องเป็นอย่างนี้ เพราะในระหว่างที่แม่ป่วย พี่พิการ พ่อตาย สามีติดคุก แต่คนอื่นเขาไม่ได้มีอาชีพตรงนี้แบบเรา เขาไมได้มีอะไรดีๆ หลายอย่างแบบเรา ต้องดูแลลูกอีกสองคน สามีก็ทิ้ง เขาหนักกว่าเราตั้งเยอะทำไมเขาอยู่ได้ ทำไมเราจะมาท้อใจอะไรกับชีวิต ทั้งที่เรามีอะไรมากกว่าเขา มีโอกาสในชีวิต แต่กลับมาน้อยใจกับอีแค่เรื่องแค่นี้มันไม่ใช่ แรงเราก็มี งานเราก็มี
ฉะนั้นมันไม่ใช่สาเหตุที่เราจะมามัวนั่งคิดว่าทำไมนะ...ชีวิตมันยากจัง อุปสรรคเข้ามาก็แค่แก้ไข วันนี้ไม่ใช่พรุ่งนี้ก็อาจจะใช่ พรุ่งนี้ไม่ใช่ อีกสองสามวันเดี๋ยวก็ใช่ คนนี้อาจจะยังไม่ใช่คู่ ไม่เป็นไรก็หาใหม่ เหนื่อยจะหาแล้วมองว่าความสุขอย่างอื่นมันทดแทนได้ก็เอาความสุขอย่างอื่น ถ้ารอได้ก็รอ รอไม่ได้ก็ไม่ต้องรอ มีแค่นี้ ไม่ได้มองว่าตัดท้อชีวิต มันยิ่งบั่นทอนให้เราไม่ทำอะไรเลย
กำลังใจจากลูกชายตัวน้อย “น้องเรซซิ่ง”
ไม่แปลกใจว่าทำไมทุกวันนี้สาวแพทไปไหนมาไหน ไม่ว่าจะไปทำงาน ออกงานอีเว้นต์ จัดรายการ เธอจะเอาลูกชายตัวน้อยวัยกำลังซน “น้องเรซซิ่ง” ไปด้วยทุกที่ เพราะเธอบอกว่าเธอเลี้ยงลูกเอง ดังนั้น เห็นแพทที่ไหน ก็ต้องเห็นเรซซิ่งด้วย เป็นแพคคู่
“แพทพาน้องไปด้วยทุกที่ เพราะแพทอยู่กับน้องสองคน แพทไมได้อยู่กับคนอื่นเลย มันไม่ได้มีแพทและน้องและพี่เลี้ยงและคุณย่าคุณยาย แต่ชีวิตจริงมันมีแค่แพทและน้อง แล้วก็มีน้องอีกคนหนึ่งที่มาช่วยขับรถ แต่นอนก็นอนด้วยกัน เตียงเดียวกัน ทำทุกอย่างเองหมด”
สาวแพทบอกว่าเธอโชคดีเหลือเกินที่ลูกชายตัวน้อยคนนี้ มีพัฒนาการดีเป็นไปตามวัย ไม่ได้พิเศษถึงขนาดทำให้ตกใจ เป็นเด็กที่ไม่งอแงเลย แพทพูดกับหลายๆ คนว่าแพทโชคดีที่มีลูกเลี้ยงง่าย เพราะลูกไม่ค่อยงอแง
โดยตอนนี้ก็กำลังดูเรื่องที่เรียนเอาไว้ เพราะถ้าจะให้เรียนอินเตอร์ค่าเทอมก็แพงมาก ปีละเกือบครึ่งล้าน เอาดีหน่อยก็เกือบหกแสน ซึ่งก็ต้องพิจารณา เพราะแพทดูลูกคนเดียว ส่งเสียลูกคนเดียว ดังนั้นทุกอย่างแพทต้องเตรียมการ และวางแผนเอาไว้ เพราะเรซซิ่งเป็นของขวัญ เป็นกำลังใจให้เรามีอะไรใหม่ๆ ในชีวิต มีพลังเวลาเหนื่อยๆ เขาเหมือนตุ๊กตา เขาก็จะโมเมนต์ที่ไม่ว่าเราจะเหนื่อยกับอะไรมาก็แล้วแต่ พอเล่นกับเขาเราก็มีความสุข
วันนี้ถามว่าเหนื่อยมั้ย สาวแพทก็บอกว่า เหนื่อย เพราะเดือนๆ หนึ่งเธอต้องวิ่งรอกทำงาน หาเงินเป็นเกรียวเพื่อดูครอบครัว ที่มีค่าใช้จ่ายเดือนละกว่า 3 แสน แต่แม้จะเหนื่อยแค่ไหนกเธอก็มองว่า ทุกอย่างที่เข้ามามันเป็นเรื่องสนุกมากกว่า เพราะมันทำให้ชีวิตมีค่าขึ้น
“คนที่แกร่งกว่าแพทมีเยอะแยะ คนที่ไม่มีอะไรเลยแล้วเจอรเองแบบนี้ และเขายังใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ อย่างของแพทมันยังแค่เบาะๆ เพราะในการเดินทางของเรา เหมือนเราล้มบนฟูก บางคนล้มกลางดินกินกลางทรายจริงๆ เราไม่ได้ล้มแบบเหลือศูนย์ เราแค่เซเฉยๆ แต่เราไม่ได้ล้มลงไปเลย เรายังมีงานรองรับ ยังมีเงินที่เราเก็บเหลือไว้ที่เอามาใช้ได้ เรายังโชคดีกว่าคนอื่นเยอะ”
ก่อนทิ้งท้ายว่า “แพทเชื่อว่าทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ เพราะว่าแพทเองก็อยู่ที่ใจแพท ไม่ใช่ว่ามีคนอื่นมาพูดว่าทำอย่างนี้แบบนี้แล้วเดี๋ยวจะเข้มแข็ง มันไม่ได้ มันต้องมาจากใจเราก่อน ถ้าใจเราโอเคทุกอย่างจะโอเค แล้วถ้าวันหนึ่งคุณรู้สึกเหนื่อยหรือท้อ คุณลองดูคนที่เขาเหนื่อยจริงๆ เจ็บจริงๆ ล้มจริงๆ แล้วคุณลองมองกลับมาว่าเราไม่ได้ขนาดนั้น ทำไมเราจะอยู่ไม่ได้ คนที่หนักขนาดนั้นทุกวันนี้เขายังเลี้ยงลูกให้โต ให้ใช้ชีวิตในสังคม ตะเกียกตะกายได้ มันก็จะทำให้เรารู้สึกว่าเราน้อยมาก จะให้มาอ่อนแอมันไม่ใช่”....
เรื่องโดย : นับดาว รัตนสูรย์
ภาพโดย : กัมพล เสนสอน