นอกเหนือจากอาชีพนักแสดงที่คุ้นตา หลายคนเรียกเขาว่า 'นักอนุรักษ์ธรรมชาติ' บ้างบอกว่านี่คือ 'ฮีโร่' ด้านสิ่งแวดล้อม คงเพราะนิสัยรักธรรมชาติ เข้าป่า-ดูแลช้าง-อนุรักษ์สัตว์ใกล้สูญพันธุ์-ตั้งศูนย์ศึกษาธรรมชาติของตัวเอง แถมด้วยบทบาทวิทยากรในเรือนจำ-ครูสอนดำน้ำ นี่อาจเป็นนิยามความเป็นฮีโร่ที่ใครต่อใครคิด แต่เจ้าตัวย้ำ..ผมไม่ใช่ฮีโร่ “อเล็กซานเดอร์ ไซม่อน เรนเดลล์”
ประสบการณ์ครั้งแรก “วิทยากรในเรือนจำ”
“ผมไปเข้าเรือนจำมาครับ(ยิ้ม) จริงๆ ผมเองอยากจะเข้าไปที่นั่นนานแล้วนะครับ เพราะส่วนตัวชอบที่จะทำอะไรเพื่อสังคมมาสักพักแล้ว แต่รู้สึกว่ายังมีบางกลุ่มที่ผมยังไปไม่ถึง บวกกับสิ่งที่ผมชอบ ผมได้ดูสารคดี ดูหนังเกี่ยวกับเรือนจำมาเยอะ มันเป็นอะไรที่ผมรู้สึกสนใจ เรื่องความเป็นอยู่ การใช้ชีวิตของเขาข้างในก็เลยตัดสินใจไปครับ”
หากใครได้ติดตามอินสตาแกรมของหนุ่มอเล็กซ์ คงได้เห็นภาพพร้อมคำบรรยายว่าได้เข้าไปเป็นวิทยากรในเรือนจำแห่งหนึ่งกับเพื่อนนักแสดง รวมถึงได้โชว์การแสดงอันอบอุ่น เพื่อให้กำลังใจนักโทษในเรือนจำมากกว่า 700 คน ซึ่งเขายอมรับกับเราว่าเป็นภาพเหตุการณ์ที่มีทั้งประทับใจและรู้สึกสะเทือนใจในเวลาเดียวกัน
“ผมเข้าไปด้วยความรู้สึกอยากไปให้กำลังใจเขา อยากไปแสดงอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้พวกเขาดู ผมรู้สึกว่าพวกเขาเป็นกลุ่มที่ต้องการกำลังใจอย่างสูง ถ้าจะพูดในความรู้สึกผมจริงๆ โดยที่ไม่ได้มีเจตนาที่จะดูถูก ผมรู้สึกว่าคนที่อยู่ในเรือนจำเป็นสังคมที่คนให้อภัยน้อยที่สุด เป็นกลุ่มคนที่ห่างจากสังคม
ผมมองไม่เห็นว่าจะมีกลุ่มไหนอีกที่สังคมจะมองแบบนี้ ซึ่งพอผมเข้าไปแล้ว เขาคือคนปกติ ผมกอดเขาทุกคน จำนวน600 กว่าคน ใช้เวลาเป็นชั่วโมง ผมรู้สึกได้ว่าใน 600 คนที่เราเข้าไปสัมผัส ผมไม่รู้สึกว่ามีความอันตรายหรือจะมีใครมาทำร้ายเราเลย
ผมคิดแค่ว่าถ้าเรา 'ให้' กำลังใจเขาได้ ในวันที่เขาออกมา เขาจะได้ไม่กลับไปอยู่ในสังคมเดิมๆ กิจกรรมเดิมๆ แบบนั้นอีก หรือใช้วิธีทางลัด ซึ่งสุดท้ายเขาก็จะกลับมาอยู่ในนี้อีก”
นอกเหนือไปจากภารกิจในวันนั้นที่ได้ทำร่วมกับเพื่อนนักแสดงแล้ว หนุ่มอเล็กซ์ยังเล่าถึงโมเมนต์ที่สะเทือนใจที่สุดขณะที่เข้าไปเป็นวิทยากรในเรือนจำอีกด้วยว่า รู้สึกเศร้าและสะเทือนใจต่อเหตุการณ์เกี่ยวกับแม่และลูกคู่หนึ่งที่มีเวลาอยู่ด้วยกันแค่ 1ปี ก่อนต้องแยกจากกัน
“มีพาร์ทที่ผมทนไม่ได้ มันค่อนข้างสะเทือนใจมากเลย คุณแม่ที่ท้องเข้ามาในเรือนจำแล้วคลอดลูกระหว่างที่รับโทษ ซึ่งเขาสามารถอยู่กับลูกตัวเองได้แค่ 1 ปีเท่านั้น จากนั้นถ้าไม่มีญาติมารับเด็กไปเลี้ยง ก็จะถูกส่งไปสถานสงเคราะห์เป็นเด็กกำพร้า ซึ่งเด็กคนนั้นคงเติบโตมากับการที่ไม่มีแม่อยู่สักพัก
ผมรู้สึกว่ามันสะเทือนใจมาก ลองคิดภาพว่าเราไม่มีอะไรแล้ว แต่อย่างน้อยเรามีลูก ได้อุ้มลูก ได้อยู่กับลูก นี่คือสิ่งที่เขามีเพียงอย่างเดียว แต่วันหนึ่งจะต้องมีคนเอาลูกออกไปจากอกแม่ ผมพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้จะปลอบเขายังไง เราจะพูดอะไรได้ ในเมื่อเขาต้องอยู่ในนั้นตลอดชีวิต(น้ำตาซึม)”
แววตาของนักแสดงหนุ่มสื่อให้เราเห็นถึงความรู้สึกที่มีข้างในจนไม่สามารถอธิบายออกมาได้ ทว่า สิ่งหนึ่งที่เขาได้กลับมาจากการไปเยือนที่แห่งนั้น คือ การได้เปิดมุมมองและการได้เรียนรู้ที่จะให้โอกาสผู้อื่น
“ผมรู้สึกว่ามันคือการเปิดโลกเราอย่างหนึ่ง มันให้ประสบการณ์และได้เตือนสติเราหลายอย่างเหมือนกันนะครับ มันไม่ใช่เรื่องยากเลยนะที่ใครจะเข้าไปอยู่ในนั้น ใครจะเข้าไปก็ได้ แค่ผิดพลาดนิดเดียว
ด้วยเหตุผลที่ดีสำหรับคุณว่า อยากช่วยครอบครัวของคุณเพราะความเดือดร้อน คุณมองว่ามันมีทางลัด แค่นิดเดียวที่ทำให้คุณเข้าไปอยู่ในนั้น ชีวิตคุณพังเลย มันคือการเตือนสติอย่างหนึ่ง
อีกอย่างที่ผมรู้สึกเลย คือ ทุกคนควรที่จะได้รับโอกาสที่สองเสมอ ผมเชื่ออย่างนั้น นอกจากว่าคดีฆ่าหั่นศพ คดีข่มขืน อันนั้นผมไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว แต่คดียาเสพติด ด้วยเพราะคนเราไม่ได้เกิดมาในสังคมที่โชคดีที่ได้มีงานทำ หรือในสังคมที่ดูแลตัวเองได้ มันก็เลยเป็นการเปิดโอกาสให้เขาไปทำผิด
ด้วยสังคมของเรา เราจะเห็นว่าเวลาที่ใครผิดพลาด คนจะใช้เขาเป็นที่ระบาย โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย เขาพลาดแล้ว และบางทีเราควรให้โอกาสมากกว่าไปซ้ำเติมในวันที่เขาผิดพลาด
มากกว่านั้นคือความสุขที่ผมได้เข้าไปในนั้น ความผูกพันที่เราได้มีกับที่นั่น รู้สึกว่าทุกคนที่ได้ไปในวันนั้น มันเป็นวันที่ดีมาก มันเป็นการให้กำลังใจที่จริงใจที่สุดเลยครับ”
“อนุรักษ์-ดูแลธรรมชาติ” แต่ผมไม่ใช่ฮีโร่!
แม้ว่าหลายคนจะนิยามตัวตนของผู้ชายคนนี้ว่าเป็น 'นักอนุรักษ์ธรรมชาติ' หรือ 'ฮีโร่' ด้านสิ่งแวดล้อม เพราะนิสัยรักธรรมชาติที่มีมายาวนาน หรือแม้แต่การเปิดศูนย์เรียนรู้ศึกษาสิ่งแวดล้อมแก่เด็กเยาวชน นี่อาจเป็นนิยามความเป็นฮีโร่นักอนุรักษ์ที่ใครต่อใครคิด แต่เขากลับไม่คิดอย่างนั้น!
“ไม่ถึงขนาดนั้นนะครับ(หัวเราะ) โอเค ผมชอบ ผมสนุกที่ได้ทำมัน แต่ถามว่าเป็นฮีโร่ไหม ผมตอบเลยว่าไม่ใช่แน่นอน เพราะมีคนที่เป็นฮีโร่ของโลกจริงๆ ที่คนไม่ค่อยรู้ อย่างเช่น หัวหน้าอุทยานทั้งหลาย นักสำรวจที่ต้องทุ่มเทร่างกายเพื่อไปสำรวจ เก็บข้อมูล หรือผู้ที่มอบชีวิตให้กับธรรมชาติ ผมมองว่าพวกเขาต่างหากที่คือฮีโร่”
แม้จะออกตัวไว้ว่าไม่ใช่ฮีโร่นักอนุรักษ์อย่างที่ใครเข้าใจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เสียจริงว่า สิ่งที่เขากำลังทำอยู่ เป็นเรื่องที่สังคมสนใจ ทั้งการอนุรักษ์และการเปิดศูนย์การเรียนรู้ธรรมชาติศึกษาสำหรับเด็กและเยาวชน
“ผมชอบธรรมชาติตั้งแต่เด็กแล้ว ผมได้รู้จักกับ ครู อลงกรต ชูแก้ว ตอนที่ผมอายุได้ 10 ปี ผมเริ่มเข้ามารักษาช้างป่าตั้งแต่ตอนนั้นจากนั้นผมก็ได้กลับไปกองถ่าย ได้ระดมทุนซื้อยาให้ช้างและกลับไปที่เขาใหญ่ เพื่อเอายาไปให้กับช้าง ผมเลยชอบอะไรที่เกี่ยวกับธรรมชาติมาตั้งแต่ตอนนั้น
ด้วยความที่ผมถ่ายละครและเรียนไปด้วย จึงไม่ได้มีโอกาสที่จะไปลองทำสิ่งที่มันนอกเหนือจากการเรียนกับการทำงาน พอผมเรียนจบมหาวิทยาลัย ผมได้ไปเรียนดำน้ำ ได้ไปช่วยสังคม ช่วยเหลือเด็กตาบอด จนเริ่มมองเห็นและชอบธรรมชาติมากขึ้น
หลังจากนั้น ผมคิดว่าอยากลองเปิดค่ายดู ซึ่งตอนนั้นผมกับเต้ยคุยกันว่าอยากลองทำกันดู มันค่อยๆ เติบโตขึ้น และการมีตอบรับที่ดี จึงเกิดเป็น EEC THAILAND ศูนย์การเรียนรู้เรื่องสิ่งแวดล้อม ซึ่งผมต้องการให้เกิดการเรียนรู้กับเด็กๆ ในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ”
แน่นอนว่าสิ่งที่เขาทำไม่เพียงแต่การพาเด็กๆ เข้าไปคลุกคลีกับธรรมชาติ แต่ยังรวมไปถึงการเข้าไปเรียนรู้แหล่งที่อยู่ของสัตว์ใกล้ศูนย์พันธุ์ การดำน้ำศึกษาชีวภาพใต้น้ำ โดยให้ธรรมชาติเป็นห้องเรียนที่เปิดกว้างสำหรับเด็กและเยาวชน
“เราต้องการให้ความรู้เรื่องสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ เราพาเด็กๆ ไปศึกษา พาไปดำน้ำในถิ่นที่อยู่อาศัยของฉลามวาฬที่เกาะลันตา ให้เขานำข้อมูลตรงนั้นออกมาบอกกับประชาชน เพื่อที่จะกระจายความรู้ ผ่านกระบวนการศึกษา ผ่านค่าย ผ่านกิจกรรม
ส่วนการดำน้ำผมมองว่ามันเป็นเครื่องมือของการศึกษาให้เด็กได้ลงไปเห็นโลกใต้น้ำ เราไม่ได้ให้เด็กลงดำน้ำเพื่อความสนุก หรือเพื่อพักผ่อน เราไม่ใช่ร้านดำน้ำทั่วไป แต่เราเปิดองค์กรสิ่งแวดล้อมศึกษาให้เด็กได้ลงไปเห็นโลกใต้น้ำ ได้ออกมาพูดคุย ได้ไปศึกษาถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ ให้เด็กได้รักทะเล
จึงเป็นที่มาให้ผมตัดสินใจไปเรียนดำน้ำให้เป็นเรื่องเป็นราว คิดว่าเรานี่แหละจะเป็นครูสอนประจำองค์กรของเราเอง ไม่ต้องไปยืมจมูกใครหายใจแล้ว เรียนมาทั้งหมด 4 ปี จนได้ใบประกอบอาชีพครูสอนดำน้ำ
ผมอยากปลูกฝังเด็กรุ่นใหม่ให้โตมาเป็นนักตัดสินใจที่ดูแลสิ่งแวดล้อม ผมเชื่อว่าเด็กมีพาวเวอร์ คนสนใจที่จะฟังเด็ก คนสนใจที่จะให้ความสำคัญกับเด็ก คำว่าสิ่งแวดล้อมไม่ค่อยได้อยู่ในพื้นที่ของเยาวชนเท่าไหร่ มันเป็นพื้นที่ของนักวิชาการซะส่วนมาก เราจึงอยากนำความรู้ในด้านวิชาการเข้ามาอยู่กับเยาวชน”
“ทำงาน-ใช้ชีวิต” ต้องใช้ “ใจ” กับทุกอย่าง!
“ผมว่าผมโชคดีที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ได้เติบโตมาด้วยงานที่เรามองว่ามันเป็นเรื่องสนุก ไม่เคยต้องไปต่อสู้กับการเป็นลูกน้องใคร เราได้มาอยู่ตรงนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่เวลาเราทำงาน เราจะไม่ใช้ Short Cut หรือวิธีทางลัด”
สิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เราเห็นตลอดบทสนทนาคือความตั้งใจที่จะทำในสิ่งที่รัก เช่นกันกับทัศนคติด้านการทำงานและการใช้ชีวิต ที่หนุ่มอเล็กซ์อธิบายกับเราว่าได้ถูกปลูกฝังจากครอบครัวมาโดยตลอดว่า ให้ทำทุกอย่างด้วย 'ใจ' และห้ามใช้วิธีลัดเพื่อ 'เอาเปรียบ' คนอื่นเด็ดขาด
“แม่ผมจะสอนเสมอว่า จะต้องไม่มีทางลัด เราจะไม่เอาผลประโยชน์ทางลัด ทัศนคติการทำงานของผม คือ เราต้องใช้ใจในการทำทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่พร้อมที่จะใช้ใจ เราอย่าทำมันเลย
หรือเวลาที่ออกไปทำงาน เราทำมันด้วยใจที่เราอยากอยู่กับมัน เราจะไม่เอาเปรียบใคร ไม่ใช่วิธีการที่มักง่ายกับใคร การถ่ายละครก็เหมือนกัน ในแต่ละวันที่ผมลุกขึ้นมา เราต้องทำมันด้วยใจ ต้องอ่านบทและแสดงออกมาด้วยใจ อะไรที่เรารู้สึกว่าเราทำมันได้ แต่เราจะทำมันได้ไม่ดี ผมจะเลิกหมดเลย”
“ถ้าผมทำอะไร ผมจะทำมันให้สุด ผมไม่มีคำว่า 'ยอม' อยู่ในหัวเลย ถ้าผมจะทำอะไร ผมต้องได้มันให้ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ ผมถึงได้ทุกอย่างมาตลอด แต่มันต้องอยู่ในฐานของความเป็นไปได้นะครับ
อย่างผมอยากเล่นบอลให้ได้เก่งที่สุด อยากดำน้ำให้เก่งที่สุด อยากเล่นละครให้เก่งที่สุด มันทำให้เราเรียนรู้และมีเป้าหมายในทุกๆ วัน ผมเป็นคนที่คิดแบบนี้มาตั้งแต่เด็กอยู่แล้วว่า ทำอะไรต้องทำให้สุด ประสบการณ์ชีวิตจะบอกเราเองว่าอะไรที่เป็นไปได้และอะไรที่เป็นไปไม่ได้
ที่ผมบอกว่าเราโชคดีที่ได้ทำงานในสิ่งที่เรารัก อาชีพของผมตอนนี้คือได้ทำงานให้กับบริษัทตัวเอง ได้เป็นนักแสดง ได้เป็นครูสอนดำน้ำ นี่คือสิ่งที่เราชอบที่จะทำทั้งหมดเลย แต่พอมันมาเป็นงานแล้ว จากที่เราชอบทำ มันกลายเป็นต้องทำ ซึ่งบางครั้งคำว่า 'ต้องทำ' มันทำให้เราลืมสิ่งที่เรารักว่า เราทำมันไปทำไม”
อย่างที่นักแสดงหนุ่มบอกกับเราว่า ตนเป็นคนที่ตั้งใจและจริงจังกับการทำหน้าที่ของตัวเองอย่างที่สุด เราจึงอดสงสัยไม่ได้ว่า ด้วยนิสัยที่ตั้งใจทำงานขนาดนี้ เมื่อเจออุปสรรครบกวน เขาจะมีวิธีข้ามผ่านมันไปได้ด้วยวิธีแบบไหน
“ทุกปีผมจะต้องไปดำน้ำกับเพื่อน ไปพักผ่อน ไปอยู่กับทะเล ไปอยู่กับธรรมชาติ เพื่อที่จะรีเฟรชตัวเอง หรือให้ความสำคัญกับเพื่อน ครอบครัว ได้กลับมาอยู่ที่บ้าน อยู่กับพ่อ-แม่ ใช้ชีวิตกับเขา ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ให้มันได้ Pause(หยุด) ความคิดของตัวเองนิดหนึ่ง ได้เคลียร์สมอง ได้หัวเราะ
พอตื่นขึ้นมาอีกวันหนึ่งเราจะรู้สึกว่าเราเป็นคนใหม่ และพร้อมที่จะทำงาน สิ่งที่สำคัญคือเราได้ Pause ตัวเองกลับมาหายใจ กลับมามอง กลับมาลุยมันอีกที”
“จะให้คนอื่นได้..ตัวเราต้องพอก่อน”
“ผมคิดว่าทุกอย่างที่ผมได้มา มันเป็นเพราะการเลี้ยงดูของพ่อ-แม่ ความอบอุ่นที่เขามีให้กับเรา คนเราถ้าอยากจะให้อะไรใคร ตัวเราต้องพอก่อนนะ มันเป็นสัจธรรมในโลกของมนุษย์”
หนึ่งประโยคสั้นๆ ที่ทำให้เราเข้าใจอะไรได้หลายอย่าง ถูกถ่ายทอดออกมาจากปากนักแสดงหนุ่ม ผ่านภาพความทรงจำระหว่างครอบครัวเรนเดลล์ ก่อนจะเล่าต่อไปถึงความผูกพันภายในครอบครัวที่ทำให้เขาเติบโตมามีวันนี้ได้
“ผมมองว่าคุณพ่อ คุณแม่ เป็นทุกอย่างให้กับเราจริงๆ ผมโชคดีที่ผมได้มีในวันนี้ คนจะมองว่าผมประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น ผมไม่แน่ใจ แต่ตัวผมมองว่าด้วยอายุเท่านี้และทำได้ขนาดนี้ ตัวเรามาไกลกว่าที่เราคาดหวังไว้แล้ว
ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ผมจะสอนตลอดว่า คนเราถ้าอยากจะให้อะไรใคร ตัวเราต้องพอก่อนนะ เราไม่สามารถบริจาคเงินให้คนจำนวน 1,000 บาท ทั้งๆ ที่เรายังไม่มี 1,000 บาทนั้น มันเป็นสัจธรรมในโลกของมนุษย์
เราต้อง 'อิ่ม' ก่อน เราถึงพร้อมที่จะ 'ให้' คนอื่นได้ ไม่งั้นการให้ครั้งนั้น มันจะเป็นการให้ โดยหวังอะไรตอบแทน เราอยากที่จะให้โดยไม่หวังอะไร ซึ่งคนที่จะทำแบบนี้ได้ เราต้องรู้สึกอิ่มกับตัวเองก่อน ซึ่งผมรู้สึกอิ่มแบบนั้นได้กับคุณพ่อ คุณแม่ กับครอบครัว และบ้านเล็กๆ ของเรา”
หนุ่มอเล็กซ์ยังบอกอีกว่า ด้วยความที่เป็นลูกคนเล็กและเข้าวงการบันเทิงตั้งแต่ยังเด็ก นี่จึงทำให้คุณแม่ของเขาคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งยังสร้างนิสัยการจัดการเวลาติดตัวเขามาจนถึงทุกวันนี้อีกด้วย
“ด้วยความที่ผมเป็นลูกคนเล็ก ตั้งแต่อยู่ในวงการบันเทิงมาแม่คอยประกบทุกอย่าง เช่น การขับรถ การไปเที่ยว ต้องอายุ 18 ก่อน แม่ผมจะสอนในเรื่องของความถูกต้องอยู่ตลอดเวลา ไม่ยอมให้เราทำอะไรที่ผิดกฎกติกาทั้งสิ้น เขาจะสอนให้เราวางแผนเวลาที่จะทำอะไร
อย่างเวลาผมจะออกจากบ้านไปเที่ยว คนอื่นเขาออกไปได้เลย แต่ผมต้องอธิบายให้แม่ฟังว่า กี่โมง ไปยังไง ไปทำอะไร ดูหนังรอบไหน กลับกี่โมง ให้เราบริหารเวลาให้ได้(หัวเราะ) ซึ่งมันกลายเป็นนิสัยของเรา จนทุกวันนี้เราจะคิดล่วงหน้าตลอดเวลา มันเป็นสิ่งที่คุณพ่อ คุณแม่สอนมา ทุกอย่างคือครอบครัว มันเป็น Relationship (ความสัมพันธ์) ที่แข็งแรง
ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่ เรามีครอบครัว เรื่องอื่นเลยไม่ได้สนใจเท่าไหร่ สิ่งที่จะมาทำร้ายเราก็ระวังตัว แต่เรารู้ว่าอย่างน้อยเรามีครอบครัวเป็นแบ็คเราอยู่ตลอด เราไม่ต้องห่วง”
อย่างที่เห็นว่านักแสดงหนุ่มคนนี้มีความตั้งใจในการทำงานอย่างมาก อีกทั้งยังมีนิสัยไม่ค่อยยอมแพ้สิ่งใดง่ายๆ เขายอมรับกับเราอย่างตรงไปตรงมาเลยว่า นิสัยการทำงานที่จริงจังนี้เองที่ได้รับมาจากการเลี้ยงดูของครอบครัว
“จริงๆ แล้วนิสัยการตั้งใจทำงานของผมได้มาจากทั้งคุณพ่อ-คุณแม่เลย คุณแม่เป็นคนที่เคร่งครัดหน่อยๆ มีความเป็นคนไทยจ๋าๆ คุณพ่อจะเป็นอีกแบบเลย พ่อผมเป็นเอกเซกคูทีฟ เชฟ เป็นคนทำอาหารให้กับโรงแรมหลายๆ ที่ ในเซาท์ อีส เอเชีย ครับ
เขาเดินทางอยู่ตลอดชีวิต ห่างไกลจากครอบครัว แต่เขาเป็นคนที่มีแพสชั่นกับสิ่งที่ทำมาก นอกเหนือจากงานแล้ว เขาจะเป็นคนที่ขี้เล่นมาก แต่ในงานจะเป็นเชพที่ดุๆ ในครัว ที่ลูกน้องทุกคนกลัว แต่ลูกน้องทุกคนรัก
มันทำให้เราได้ตรงนี้มาจากคุณพ่อที่เวลาทำงานเราจริงจังมาก แต่นอกเหนือจากนั้น ผมพยายามที่จะเล่น พูดคุย กับทีมงานให้ได้มากที่สุด ซึ่งคุณพ่อ-คุณแม่ผมมีตรงนี้ทั้งคู่เลย และเป็นคนที่มีวินัยกับการทำงานมาก งานมาก่อนตลอดเวลา เรื่องของการตรงต่อเวลา ความรับผิดชอบ
อย่างผมอยู่วงการบันเทิงมา 20 ปี ผมไม่เคยลาป่วยสักครั้งเดียว ให้หนักแค่ไหน ผมก็จะลุกขึ้นไปเพื่อรับผิดชอบตรงนั้น ไหว-ไม่ไหว ค่อยไปว่ากันหน้างาน แต่เราต้องมีสปิริตที่จะทำมันให้ได้ ซึ่งเขาสอนสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ให้เราได้เก็บเกี่ยว ซึมซับมา มันทำให้ผมเป็นผมในวันนี้”
“เลิกกันแล้ว” แต่ก็เป็น “เพื่อน” กันได้!
“ความรักที่ผ่านมา มันสอนเราหลายอย่างมากนะครับ นอกจากจะสอนให้เรารู้จักการอยู่กับคนอีกคนหนึ่ง มันยังสอนให้เรารู้จักตัวเองด้วย”
เปิดประเด็นเรื่องความรักของหนุ่มอเล็กซ์ ก็ไม่ได้ขัดเขินที่จะให้คำตอบถึงเรื่องราวความรักที่ผ่านมาว่าได้เปลี่ยนแปลงมุมมองของเขาที่มีต่อเรื่องนี้ไปอย่างไรบ้าง เขาเปรยกับเราว่าเริ่มคิดถึงการสร้างครอบครัวขึ้นมาบ้างแล้ว
“มุมมองความรักก็เปลี่ยนไปมากนะครับ พอเรามีประสบการณ์มาเยอะๆ คนต่อไปเราก็อยากลงหลักปักฐานแล้ว อยากที่จะมีคนที่อยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุขจริงๆ อย่างเงียบๆ เปิดใจเป็นตัวของตัวเองจริงๆ เมื่อก่อนผมมองว่าเรื่องแฟนมันไม่ใช่เรื่องที่ต้องจริงจังเท่าไหร่ แต่พอเราโต อายุเท่านี้แล้วก็อยากที่จะแต่งงาน อยากมีลูกเร็วด้วย
เราอยากมีครอบครัวก่อนอายุ 35 ปี อยากใช้ชีวิตตรงนั้นแล้ว เพราะเราก็เที่ยวมาเยอะ ทำงานมาก็เยอะ เราอยากใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว มีคิดเรื่องการมีครอบครัวนะครับ เพียงแต่ว่ามันยังหาไม่ได้(หัวเราะ) ผมก็เรื่อยๆ ยังไม่รีบ ผมเชื่อว่าเรื่องแบบนี้ ถ้ามันใช่ มันก็จะเข้ามาเอง ถ้ายังไม่ใช่ ก็ไม่ต้องไปฝืนมันสักเท่าไหร่
เรื่องความรักมันเปลี่ยนจากสมัยก่อนเยอะนะครับ ทุกวันนี้ผมเข้าใจคำว่า 'แฟน' การอยู่ด้วยกัน ถ้าเราคิดที่จะคบใครสักคน เราก็เริ่มที่จะยอมรับในสิ่งที่เขาเปลี่ยนไม่ได้ ไม่ใช่ว่าคอยมาหวังให้เขาเป็นในสิ่งที่เราอยากได้ตลอด ถ้าคิดที่จะคบเขาแล้ว เราต้องเริ่มที่จะเปิดใจให้มันเป็นเรื่องเป็นราว”
แม้ความรักที่ผ่านมาจะจบลงไปในแบบที่ทั้งสองฝ่ายสามารถรักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันไว้ได้ แต่ก็ยังปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ยังคงเป็นเรื่องที่หลายคนให้ความสนใจ ซึ่งเขาเองได้พูดถึงความรักที่ผ่านมาด้วยว่า ถือเป็นเรื่องดีๆ ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อย้อนกลับไปนึกถึง
“ความรักที่ผ่านมา มันสอนเราหลายอย่างมากนะครับ มันสำคัญที่ทำให้เรารู้ว่าเราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ให้เราได้มีประสบการณ์ทางด้านนี้ มันเป็นเรื่องที่ท้าทายนะครับ มันไม่ง่ายเลยที่ผ่านมา
มันเป็นประสบการณ์ชีวิตที่เรากลับไปคิดแล้วมันมีความสุข เราไม่เคยรู้สึกว่าเราไม่น่าทำเลย เพราะทุกอย่างมันคือการเรียนรู้ เรามีความสุขกับการมีแฟนมาทั้งหมดเท่าที่เรามีมา อย่างกับตัวเต้ยเอง เราก็มีแต่สิ่งดีๆ พอเรากลับไปคิดมันก็จะมีแต่ความทรงจำดีๆ การเลิกหรือการที่เราตัดสินใจไม่คุยกัน มันคือทั้งสองฝ่ายมองเห็นสิ่งที่เหมือนกัน
ทุกวันนี้เราเป็นเพื่อนกัน ผมก็ยังโทรคุยกับเขาอยู่ ผมว่าเราโชคดีที่เรายังมีความสัมพันธ์แบบนี้ เราไม่ได้เกลียด ไม่ได้มองหน้ากันไม่ติด มันไม่ใช่ มันคือสิ่งที่เรารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ดี”
หากถามถึงสเปกคนที่ใช่สำหรับหนุ่มอเล็กซ์ เขาก็คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะให้คำตอบกับเราว่า ต้องเป็นคนที่มีจุดยืนและความคิดเป็นผู้ใหญ่ มีไลฟ์สไตล์และอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ทั้งคู่สามารถมีความสุขร่วมกันได้
“ผมก็ไม่รู้นะครับ ผมชอบคนที่โต ชอบคนที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ ชอบคนที่ดูแลตัวเองได้ เพราะผมไม่มีเวลาพอที่ผมจะไปดูแลใครได้ 100% การเทคแคร์กันมันเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าดูแลอยู่ตลอดเวลา ผมไม่ได้มีเวลาที่จะทำอย่างนั้นในเวลานี้ เราอยู่ในช่วงที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัวให้กับที่บ้านของเรา ให้กับตัวเราให้แข็งแรงมากเพียงพอ
จริงๆ ไม่ถึงกับต้องเป็นผู้หญิงเก่งอะไรมาก แต่ผมชอบคนที่มีจุดยืน ผมชอบคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง แต่ผมไม่ชอบคนที่วันๆ รักสวย รักงาม อย่างเดียว หรือคนที่โซเชียลฯ จ๋า หรือทำทุกอย่างเพื่อยอดไลค์ ผมไม่ชอบ(หัวเราะ) ผมชอบคนที่เป็นธรรมชาติ คุยกันตรงๆ แมนๆ ไปไหนด้วยกันได้ มีความคิดที่โตหน่อย
ถ้าใครจะเข้ามา เขาต้องให้เกียรติกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ต้องไม่ให้ตัวเองเป็นหลักครับ ไม่คาดหวังว่าเราจะต้องให้ตัวเขาเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง และต้องเป็นคนที่เราอยู่กับเขาเป็นเพื่อนได้ ไปไหนมาไหนด้วยกันได้ อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ทั้งคู่อยู่แล้วมีความสุขได้”
คาเร็คเตอร์ที่รอคอย! “บู๊กระหน่ำ-แอคชั่นระห่ำ”
แม้จะเล่นละครมาแล้วมากกว่า 40 เรื่อง! สวมบทบาทนักแสดงมาแล้วอย่างโชกโชน ทว่า เจ้าตัวเอ่ยปากกับเราว่าเพิ่งได้รับเล่นบทที่ชอบที่สุดในละครรีเม็กบู๊ระห่ำเรื่อง 'คมแฝก' ก่อนขยายความต่อไปถึงเหตุผลที่หลงรักละครเรื่องนี้อย่างสุดตัว!
“ละครเรื่อง 'คมแฝก' ใกล้ออนแอร์แล้วครับ เรื่องนี้เจ๋งนะครับ ถ่ายสนุก ผมตั้งใจเล่นมากครับเรื่องนี้ ผมชอบเรื่องนี้มาก บทบาทที่แสดงผมเล่นเป็น 'เพลิง กัมปนาท' นายตำรวจที่ต้องปลอมตัว ซึ่งคาเร็คเตอร์นี้ผมชอบนะครับ บู๊กระหน่ำเลย มันส์มาก ผมฝึกคิวบู๊ การยิงปืน ทุกสิ่งทุกอย่าง
ละครเรื่องนี้ดีนะครับ มันมีความเป็นภาพยนตร์หน่อยๆ และด้วยความที่เป็นพี่นก-ฉัตรชัย กองละครที่นี่ก็จะมีความเป็นผู้ชาย เราอยู่ที่นั่นแล้วรู้สึกว่าเรามาถูกที่มาก สนุกมากครับ มันเป็นอีกฟีลหนึ่งที่เรารู้สึกว่าเราชอบ และบทตัวเรามันดีมาก ละครเรื่องนี้ผมเชื่อว่ามันจะออกมาดี ถือเป็นละครเรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะดู”
สำหรับละครเรื่อง 'คมแฝก' คงหนีไม่พ้นที่จะมีกระแสวิจารณ์เปรียบเทียบระหว่างเวอร์ชั่นที่ผ่านมาอย่างแน่นอน ซึ่งหนุ่มอเล็กซ์ให้คำตอบในเรื่องนี้ด้วยว่าเป็นธรรมดาที่จะถูกพูดถึง แต่เชื่อว่าคนดูจะได้รับความสนุกจากละครเวอร์ชั่นนี้ครบรสแน่นอน
“จริงๆ แล้ว ผมคิดว่าถ้าใครจะเปรียบเทียบเวอร์ชั่นนี้กับเวอร์ชั่นก่อน ผมว่ามันไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ด้วยยุคสมัย เทคโนโลยี ความคิดของคนเล่น อย่างรอบที่แล้วทำไว้ดีมากๆ ในยุคนั้น ใครๆ ก็รู้จักคมแฝก แต่รุ่นนี้มันจะมีความมันส์ ความบ้า ความเป็นผู้ชาย ความเรียลที่ละครไทยเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีเท่าไหร่ ผมคิดว่าเรื่องนี้มีครบ”
พร้อมกันนี้ นักแสดงหนุ่มยังฝากทิ้งท้ายให้แฟนละครติดตามผลงานล่าสุดของเขาอีกด้วย..
“ผมฝากติดตามละครคมแฝกด้วยนะครับ เราเล่นมาหลายเรื่องแล้ว แต่เรื่องนี้ผมรู้สึกเลยว่าตั้งแต่วันแรกที่เข้าไป เราตั้งใจแสดงให้ดีที่สุด การบ้านเราทำอย่างดี เรามีสมาธิกับทุกๆ วันที่ทำงาน เราคิดว่ามันเป็นโอกาสของเราที่มันไม่ได้มาบ่อยๆ ผมรู้สึกโชคดีมากที่ได้เล่นละครเรื่องนี้ อยากฝากทุกคนให้ติดตามกันนะครับ”
เรื่อง พิมพรรณ มีชัยศรี
ภาพ พลภัทร วรรณดี