“ตอนนี้อาจารย์กำลังถูก “อลัชชี” ทำลายอยู่ คือพระที่ท่านเสียประโยชน์ จากการที่อาจารย์ทำแคมแปญ ว่าพระค่อนประเทศมอมเมาประชาชน” อ.อัจฉราวดี วงศ์สกล เจ้าของแนวความคิดธรรมะสาย “เตโชวิปัสสนา” ไม่ต้องบวช ไม่ต้องโกนผม ไม่ต้องห่มขาว-เหลือง ไม่ต้องเข้าวัด แค่ปฏิบัติอยู่ที่บ้านก็สามารถบรรลุ มีกระแสถึงพระพุทธเจ้าได้!! เปิดใจให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวผู้จัดการ Live ตอบทุกประเด็นที่ถูกสงสัยเอาไว้ที่นี่หมดแล้ว!!
ย้อนกลับไปก่อนหน้าที่ทีมข่าวจะนำเสนอสกู๊ปข่าวเรื่อง “ต้านนักธรรมพันธุ์ใหม่! 'อุบาสิกาอ้างนิพพาน' ไม่บวช-ไม่โกนผม-ไม่จำเป็นต้องเข้าวัด!!” ก็มีชาวพุทธกลุ่มหนึ่งที่ต่อต้านอาจารย์ท่านนี้อย่างรุนแรงอยู่แล้ว โดยได้ตั้งคำถามข้อใหญ่เอาไว้ เกี่ยวกับจุดยืนในวิถีผู้เผยแผ่พระพุทธศาสนาว่าต้องการอะไรกันแน่
เพราะนอกจากจะออกมาด่าพระ-ไม่สนับสนุนให้เข้าวัดแล้ว ยังก่อตั้งสถานปฏิบัติธรรม “เตโชวิปัสสนาสถาน เขาพระบาทน้ำพุน้อย” ขึ้นมา ทั้งยังสนับสนุนให้บริจาคกับมูลนิธิดีกว่าวัด ในขณะที่ตัวเธอเองก็เป็นเจ้าของ “มูลนิธิโรงเรียนแห่งชีวิต” อยู่ด้วย
[สกู๊ปข่าวที่ทีมข่าวนำเสนอไปครั้งก่อน จนได้รับความสนใจและตั้งคำถามกลับมามากมาย | คลิกอ่านข่าวที่นี่]
ยิ่งไปกว่านั้น ยังเริ่มวางตัวไปในทิศทางเชื่อมโยงกับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ สื่อให้เห็นถึง “พระอาทิตย์ทรงกลด 2 ชั้น” ในวันบำเพ็ญกุศลของอาจารย์, พยายามสื่อสารเรื่อง “วงแสงรัศมีธรรม” ที่ปรากฏอยู่ตรงกลางกายของเธอ ทั้งยังเล่นใหญ่ถึงขั้นการอ้างว่าบรรลุธรรมแล้ว จนถึงขนาดเคยไปรับ “กระแสพลัง” จากพระบรมศาสดาด้วยตัวเองมาแล้ว!!
[มีความพยายามนำเสนอเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ “วงแสงรัศมีธรรม” ถ่ายภาพติดเห็นอยู่กลางกายบ่อยๆ]
ถึงแม้จะไม่ได้เอ่ยปากออกมาอย่างชัดเจนว่าเธอบรรลุธรรมอย่างที่กล่าวอ้างไปถึงขั้นไหนแล้ว แต่ อ.อัจฉราวดี ก็เคยเขียนรายละเอียดเอาไว้ในหนังสือ “ฆราวาสบรรลุธรรม” โดยอธิบายว่าการถึงนิพพานไม่จำเป็นต้องตาย จึงถูกชาวพุทธและนักวิชาการด้านศาสนวิทยาทั้งหลายตั้งธงเอาไว้ว่าเข้าข่าย “อวดอุตริ” หรือโอ้อวดเรื่องการบรรลุธรรมของตัวเอง เพื่อใช้ในการดึงดูดผู้คนให้มาเชื่อถือศรัทธา
[พยายามเชื่อมโยงกับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ กล่าวอ้างถึง “พระอาทิตย์ทรงกลด 2 ชั้น” ประกอบประเด็นมีบารมี]
ยิ่งทางทีมข่าวนำเสนอสกู๊ปข่าวเจาะประเด็นเรื่องนี้ออกไปเมื่อวันก่อน ยิ่งสร้างความคลางแคลงใจแก่พุทธศาสนิกชนมากขึ้นไปอีก ทางทีมข่าวจึงขอหยิบเอาข้อมูลการสัมภาษณ์ ถามมา-ตอบไปแบบตรงๆ เอามานำเสนอแบบจัดเต็มให้อ่านกันแบบเจาะลึกทุกประเด็นสงสัย
และบรรทัดต่อจากนี้ คือคำตอบของคนที่อ้างตัวว่าลูกศิษย์สายเตโชฯ ที่ปั้นขึ้นมาผ่านหลักสูตรของตัวเอง ได้บรรลุธรรม “สิ้นชาติ ขาดภพ” เป็น “อริยบุคคล” ไปแล้วถึง 139 คน ภายในเวลา 5 ปี!!
[นักบวช “สัญชัย จิตฺตภโล” สาวกของอาจารย์]
หลายคนตั้งคำถามเรื่อง “ฆราวาสบรรลุธรรมได้” ที่นำเสนอออกไป ตรงนี้มีหลักยืนยันได้มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะเรื่องการนิพพานของอาจารย์?
หากยืนยันกันตั้งแต่สมัยพระพุทธกาลเลย ก็เป็นการบรรลุขั้นอรหันต์ผลของ “พระเจ้าสุทโธทนะ” พระบิดาของพระบรมศาสดา ที่ไม่ได้บวช แต่ทรงบรรลุโสดาปัตติผลและสกทาคามิผล เมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธเจ้า ต่อมาก็ทรงบรรลุขั้นอนาคามี และก่อนสวรรคตก็บรรลุพระอรหันต์ ในยุคปัจจุบันก็มี “คุณแม่จันดี โลหิตดี” ท่านเป็นน้องสาวของหลวงตามหาบัว ปฏิบัติภาวนาก็บรรลุอรหันต์
ส่วนตัวของอาจารย์เอง ไม่อาจบอกชัดๆ ว่าตนบรรลุธรรมขั้นไหน เพราะไม่มีประโยชน์ แต่เป็นด้วยพื้นฐานชีวิตที่เคยอยู่ในโลกมายา คนมีอคติมาก แต่เมื่อปฏิบัติ “เตโชวิปัสสนา” มากว่ากว่า 14,000 ชั่วโมง ก็ได้เข้าถึงปัจจัตตังในการเผาเครื่องผูก จนแจ้งว่า ฆราวาสบรรลุธรรมได้จริง ทั้งนี้ ไม่ได้บอกเพื่ออวด แต่บอกเพื่อให้คนที่มุ่งมั่นปฏิบัติให้เกิดขวัญกำลังใจว่าการบรรลุธรรมมีได้จริงในปัจจุบัน
[พิธีถอดคำสาปแช่ง]
ฆราวาสที่อยากบรรลุธรรมก็ต้องลงทุน ไม่ใช่ด้วยเงิน แต่ด้วยการปรับเปลี่ยนนิสัย และเพิ่มกิจวัตรใหม่ขึ้นมา 1 อย่าง คือ “การภาวนา” ที่ต้องทำเป็นหน้าที่วันละ 1 ชั่วโมงเป็นขั้นต่ำ และต้องไป “บวชเนกขัมมะ” คือพากเพียรเคี่ยวกรำจิตอย่างจริงจังที่ธรรมสถานที่ที่ตนไปปีละ 2 ครั้ง เมื่อสะสมกำลังจิตดีแล้วก็บรรลุได้เป็นลำดับขั้น
แต่ที่ผ่านมา ฆราวาสถูกปกปิดปัญญา คิดว่าการบรรลุธรรมเป็นไปไม่ได้ อยู่ด้วยความคุ้นเคยที่ว่าตัวเองต้องมีจุดจบแบบนี้ เพราะไม่มีคนชี้ทาง ไม่มีคนพิสูจน์ให้ โดยเฉพาะคนเดินดินธรรมดา อยู่กับครอบครัวอยู่กลางเมือง แต่พอไม่มีคนพิสูจน์ก็ยอมจำนน อีกทั้งคนทั่วไป แม้แต่ศีล 5 ยังรักษาไม่ได้เลย เป็นกันมากมาย เมื่อเริ่มต้นก็ไม่มีกำลังเสียแล้ว
และยิ่งถูกฝังหัวว่า “ฆราวาสบรรลุไม่ได้” ก็ไปกันใหญ่ อาจารย์ยืนยันว่าได้ แต่ต้องปรับองศาชีวิตบ้าง ความเชื่อกับความจริงนั้นมักต่างกัน ไม่ว่าเราจะเชื่อว่ายังไง ควรตั้งไว้เป็นแค่สมมติฐาน อย่าเชื่อทั้งหมด หากอยากรู้ความจริงต้องพิสูจน์ นี่คือหลักการที่ทรงสอนไว้ คือต้องปฏิบัติให้เกิด “ปัจจัตตัง” คือรู้แจ้งเห็นแจ้งด้วยตน
[ข้อความหลังปกหนังสือ ที่เขียนอ้างถึงการเชื่อมโยงกับพระพุทธเจ้า]
มีกลุ่มคนต่อต้าน บอกว่าอาจารย์ “อวดอุตริ” บอกไว้ว่าพระพุทธเจ้าบัญชาให้เขียนหนังสือ อาจารย์มีข้อโต้แย้งอะไรบ้างไหม?
อาจารย์ไม่ได้อวด แต่อาจารย์พูดความจริง หากไม่พูดนี่สิคือการโกหกผิดศีล และเข้าข่ายหมิ่นพุทธบารมีของพระบรมศาสดาอีกด้วย อาจารย์สัมผัสได้จริงๆ ที่ ณ ขณะที่นั่งอยู่หน้าห้องพระ ก็รับคลื่นกระแสพลังงานของพระบรมศาสดา กายพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว แต่จิตของพระองค์ก็ยังอยู่เพื่อเกื้อกูลให้พระศาสนาอยู่ได้ครบ 5,000 ปี แต่ที่คนอื่นเขาเข้าไม่ถึงเรื่องกระแสพลังงานโลกุตระชั้นละเอียด ก็เพราะเขาไม่ได้ชำระจิตให้บริสุทธิ์
ทรงมีมาว่า “จงรีบเขียนหนังสือเถิด เขียนเล่าการเดินทางข้ามภพชาติของเธอสิ” ที่ทรงมีพระกระแสอย่างนี้ก็เพราะ ต้องการให้อาจารย์ปลุกฆราวาสให้ตื่นขึ้นมาเป็นชาวพุทธที่เข้มแข็ง อย่ายอมจำนนต่อกิเลส ให้รู้ว่าหากปรับชีวิตไม่มากนัก เราจะบรรลุธรรมได้
และพระองค์ไม่ได้มีพระกระแสให้อาจารย์ประกาศตนว่าบรรลุธรรมขั้นนั้นขั้นนี้ เพราะทรงรู้ดีว่าจะเข้าข่ายอวดอุตริและจะโดนถล่มหนัก แค่นี้ก็โดนไม่น้อย แต่ก็ปลุกจิตเปิดปัญญาฆราวาสผู้มีวาสนาให้หันมารักษาศีล และตื่นขึ้นมาปฏิบัติภาวนาอย่างจริงจังได้มาก
เตโชวิปัสสนากรรมฐาน คืออะไร?
คือชื่อเทคนิควิธีการเผากิเลสด้วย “การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน” ตามหลัก “สติปัฏฐาน 4” คือการตั้งสติดูกาย ดูเวทนา ดูจิต ดูธรรมที่เกิดแก่ตน โดยมีสัมปชัญญะ คือความรู้ชัดเป็นองค์สำคัญ และมีหลักการวางอุเบกขา คือการไม่หวั่นไหว ไม่ยินดี ไม่ยินร้ายในเวทนา หรือสิ่งที่มากระทบกายและจิต การเอาชื่อ “เตโช” เข้าไปใส่นำหน้าวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อให้ชัดเจนในหลักเทคนิควิธี
รู้สึกยังไงที่มีคนเปรียบ “เตโชวิปัสสนากรรมฐาน” ของอาจารย์ ไม่ต่างจาก “ธรรมกาย” ที่มีพิธีกรรม-ขบวนแห่?
เรื่องภาพขบวนแห่ที่คนเอาไปโจมตี คือขบวนอัญเชิญเครื่องราชสักการะถวายแด่พระบรมศาสดาในการทำ “พิธีสร้างหอมนัสการ” เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุพระองค์ เป็นการจะแสดงการเคารพแด่พระองค์ก็ทำให้สมพระเกียรติ ไม่ได้ยกใครเป็นดาวเด่น ไม่มีอะไรพิสดารหรูหรามากไปกว่าไทยธรรม ไม่ต่างไปจากเวลามีการบวชนาค ก็จะมีขบวนแห่ หรือแม้แต่ขบวนแห่เทียนพรรษา
เหตุที่การวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้เกิดขึ้นก็เพราะผู้ที่เอาไปเปิดประเด็นเสียประโยชน์ต้องการถล่มอาจารย์ เพราะเคยไปแตะเรื่องสงฆ์เข้า ที่บอกว่าอาจารย์พูดว่าไม่ต้องเคารพพระสงฆ์ ไม่ต้องเชื่อพระไตรปิฎก คือการบิดเบือนเพื่อทำลายทั้งสิ้น ยิ่งเห็น “วิปัสสนาจารย์” แห่งสายธรรม เป็นฆราวาสเพศหญิง ไม่สามารถนุ่งห่มผ้ากาสาวพัตร์ก็เข้าทางหมด อคติ บิดเบือนความจริงเพื่อโจมตีล้วนๆ
ความต่างที่ชัดที่สุดกับธรรมกายก็คือ อาจารย์ไม่เคยปั่นกิเลสให้มนุษย์ อาจารย์ไม่เคยบอกว่าเธอทำงานให้พระศาสนา หรือเธอทำทานแล้วจะรวย จะได้สวรรค์ วิมาน สถานสมบัติ แต่เธอจะได้ทำหน้าที่พุทธบุตรที่ปกป้องพระบรมศาสดา เธอจะได้ละความตระหนี่เกิดเป็นทานบารมี
[อ้าง “พระบรมสารีริกธาตุ” เสร็จมาอยู่บนพาน]
มีข้อมูลว่า “พระบรมสารีริกธาตุ” ที่ถือครองอยู่ ไม่ใช่ของจริง
เป็นแก้วเอามาจากไหนไม่รู้?
คนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ย่อมสงสัยได้แน่นอน เรื่อง “พระบรมสารีริกธาตุเสด็จ” ไม่ใช่เรื่องใหม่ของนักภาวนา (ซึ่งอ้างว่าเกิดขึ้นกับอาจารย์ถึง 3 ครั้ง) ครั้งแรกเสด็จ มาอยู่บนพานผ้าไตร ในวันทำพิธีฉลององค์พระมหามงคลโพธิญาณ ตอนนั้นคนอยู่เต็มในบริเวณธรรมสถาน เช้าตรู่มีกระแสสัมผัสเป็นพลังธรรมแรงกล้า แล้วพักเดียวก็มีพระบรมสารีริกธาตุ 5 พระองค์มาอยู่ในพาน
[ในอดีต อาจารย์เคยเป็นแม่ค้าขายเพชรมาก่อน]
มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่า ไม่ได้มีใครเอาแก้วเล็กๆ ไปวางไว้ แน่นอนว่าอาจารย์ไม่สามารถทำให้คนอื่นเชื่อได้หมดทุกคน แต่อย่างน้อยก็ขอบอกเหตุผลว่า เหตุที่พระบรมสารีริกธาตุเสด็จมาถึง 3 วาระ เพื่อทรงยืนยันธรรมในสิ่งที่อาจารย์สอนและถ่ายทอด เพราะทรงรู้ดีว่าสิ่งที่อาจารย์ทำเพื่อยกฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในฐานะ “ฆราวาสหญิง” ยากที่จะมีใครเชื่อหรือยอมรับ
ถ้าสามารถบรรลุได้โดยไม่ต้องออกบวชหรือจำวัด แล้วสร้าง “วิปัสสนาสถาน” และ “หอมนสิการ” ขึ้นเพื่ออะไร?
“สถานปฏิบัติธรรม” สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้ศรัทธาอยากหลุดพ้น ได้มีธรรมสถานที่สงบสัปปายะ มาเคี่ยวกรำอบรมจิต ด้วยการภาวนาขั้นสูง ส่วน “หอมนสิการ” สร้างเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และเป็นที่สอนธรรมเบื้องต้นให้คนทั่วไป ที่ยังไม่พร้อมกับการมาเข้าคอร์สปฏิบัติภาวนาหรือบวชเนกขัมมะอย่างจริงจัง
เห็นบอกว่า “พระ” ไม่จำเป็นต่อแนวความคิดนี้ แต่ทำไมในพิธีการของอาจารย์ กลับมีพระอยู่ด้วย?
อาจารย์ไม่เคยพูดเช่นนั้นเลย มีแต่บอกว่า “บรรพชิต” คือทางเลือก ฆราวาสไม่ใช่ทางตัน ส่วนในพิธีการใดๆ ที่มีสงฆ์อยู่ด้วย ก็อาจารย์เป็นหนึ่งใน “พุทธบริษัท 4” สงฆ์เป็นอันดับแรก เรามีความเคารพนบนอบใน “สงฆ์ผู้มีปฏิปทา” อันควรแก่การอัญชลี เมื่อมีการประกอบพิธีทางศาสนา ก็ต้องนิมนต์ท่านมาสวดพระคาถามหามงคลชัยคาถา และให้สาธุชนได้มีจิตปีติ ยินดีที่ได้พบสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี-ปฏิบัติชอบ ให้ท่านเป็นเนื้อนาบุญให้แก่สาธุชนเช่นกัน
ชาวพุทธเกรงว่า อาจารย์จะแฝงตัวมาสอนธรรมเพื่อตั้ง “ลัทธิใหม่”?
ไม่มีการตั้งลัทธิใหม่แน่นอนค่ะ ถ้าอาจารย์จะทำจริง อาจารย์คงจะไม่ออกมาปกป้องพระบรมฉายาลักษณ์ของพระศาสดาหรอกค่ะ อาจารย์สอนให้คนเลิกยึดมั่นถือมั่น สอนให้คนมีความกตัญญูต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เพราะฉะนั้นเนี่ย สิ่งเหล่านี้ไม่เคยมีอยู่ในหัว
อยากจะบอกว่า บัณฑิตจะตัดสินคนด้วย “ปัญญา” และการดู “ปฏิปทา” การที่เราจะเชื่ออะไรโดยที่เรายังไม่ได้พิสูจน์ ไม่ได้พิจารณาปัญญาและปฏิปทาของเขา ในที่สุด เราจะตกเป็นเหยื่อของความมืดบอด และถ้าเรามาปรามาส “ผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์” ผู้มีคุณูปการ มุ่งมั่นทำคุณต่อศาสนาอย่างยิ่ง ตัวเราจะตกเป็นเหยื่อ และถือเป็นการทำบาปมหันต์เลย
[กิจแผ่เมตตาที่ทะเลทราย]
อาจารย์ยืนยันด้วยชีวิตว่า ไม่เคยคิดตั้งลัทธิ เป็นพุทธเต็มร้อย และมีความเคารพในสงฆ์ ปฏิปทาสงฆ์แท้ เคารพบูชาสมเด็จพระสังฆราชอย่างที่สุด ส่วน “สงฆ์ที่มีความบกพร่อง” อาจารย์ก็หวังว่าท่านจะแก้ไข เพื่อจะได้ตื่นขึ้นมาค้ำชูศาสนา เป็นที่พึ่งให้ “พุทธบริษัท 4” ไปได้ด้วยกัน
ขอให้มั่นใจได้ เพราะอาจารย์ได้ตั้งสัตยาธิษฐานไว้แล้วว่า หากการทำงานถวายพระศาสนา และตอบแทนคุณชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ของอาจารย์เป็นไปเพื่อ “การสร้างลัทธิ” เป็นไปเพื่อการสร้างฐานอำนาจเยี่ยงคนในโลกโลกียะ ขอให้เมื่ออาจารย์ตายกายแตกแล้ว จิตนี้จงไปจมอยู่ในนรกอเวจีตลอด 1 แสนกัป
แต่หากทำไปด้วยจิตอันบริสุทธิ์อันไม่มีประมาณ ทำเพื่อหมายฟื้นฟูและปกป้องพระพุทธศาสนา และเกื้อกูลเวไนยสัตว์ที่มาเกิดในยุคนี้ ขอความมืดบอดที่ปกคลุมพุทธศาสนิกชน และผู้มีวาสนา จงถูกเผาผลาญไปเป็นจำนวนมาก ให้เกิดเป็นความสว่างไสวแห่งยุคกึ่งพุทธกาล
ขอให้กิจอันใดที่อาจารย์ทำเพื่อพระศาสนา จงเป็นพลวปัจจัยให้พระพุทธศาสนาเจริญและยั่งยืน เป็นที่พึ่งแก่เวไนยสัตว์จวบจน 5,000 พระวรรษา
ข่าวโดย ผู้จัดการ Live
ขอบคุณภาพ: fb.com/5000smagazine
ข่าวที่เกี่ยวข้อง (คลิก)