xs
xsm
sm
md
lg

อุทาหรณ์เตือนใจ! ภณิตา ฉัตรทิวาพร สาว 19เฉียดตายโรค “คลั่งผอม”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภาพตอนคลั่งผอม VS ภาพปัจจุบัน
สตรองมาก! เด็กสาววัย 19 ปี แค่อยากมีกล้ามท้องสวยๆ เหมือนนางแบบ จึงเริ่มออกกำลังกาย ผ่านไปแค่ 6 เดือนกับน้ำหนักที่เหลือเพียง 37 กิโล ลดฮวบไปกว่า 13 กิโล ผอมจนทุกคนทัก แต่ไม่เคยเชื่อใคร จนสุดท้ายมารู้ตัวว่ากำลังป่วยเป็น “โรคคลั่งผอม” ชนิดที่ถ้ารู้ช้ากว่านี้ เธอมีสิทธิ์ “ตาย” จากอาการ “ปอดทะลุเเละถุงลมโป่งพอง” พร้อม “ตาย” ได้ตลอดเวลา

เมษา-ภณิตา ฉัตรทิวาพร เด็กสาววัย 19 ปี เจ้าของรอยยิ้มสดใสในวันนี้ แต่เมื่อย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เธอทรมานกับการเป็นโรค anorexia หรือ “โรคคลั่งผอม” บ้าการออกกำลังกาย และงดอาหารเพราะกลัวจะ “อ้วน”
ภาพปัจจุบันเริ่มมีน้ำมีนวลหลังรักษาอาการจนหายแล้ว
** โรคคลั่งผอม ใครๆ ก็เป็นได้

“ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า หนู "ไม่เคยอ้วน" ค่ะ เป็นคนหุ่นสมส่วนมาตั้งเเต่เด็ก ค่า BMI ปกติตลอด เคยน้ำหนักตัวมากสุดที่ 51 กิโล (ม.4,ปี 57) ตอนนั้นสูงประมาณ 162-163 ซม. เเต่ตามพันธุกรรมหนูเป็นคนโครงร่างใหญ่ กระดูกใหญ่มาก ช่วงเอวกับขาหนูลงไป จะค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับช่วงบน เเล้วหลังจากเริ่มออกกำลังกายเเละคุมอาหาร น้ำหนักก็ลดลงเรื่อยๆ จนเหลือต่ำสุดที่ 37 กิโล (ม.5,ปี 58) รอบเอวจาก 26-27 นิ้ว ลงมาเหลือ 21 นิ้ว กับส่วนสูงคงที่ 163 ซม. ซึ่งปกติส่วนสูงหนูจะเพิ่มขึ้นทุกปี ปีละ 1 ซม. เเต่สองปีที่ป่วยหยุดสูงไปเลย”

เมษา เล่าว่า ตั้งเเต่เเรกที่เธอเริ่มลดหุ่น ไม่ใช่ว่าเธออยากผอมบาง หรือว่าอยากมีหุ่นดีเหมือนนางเเบบวิคตอเรียนะ แต่เธอเเค่อยากมี “กล้ามหน้าท้อง”

“ตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอมม.4 ก่อนขึ้น ม.5 หนูเริ่มจากออกกำลังหน้าท้องทุกคืนก่อนนอน เเละยังกินทุกอย่างปกติค่ะ หนูทำอย่างงี้ไปประมาณเดือนกว่าได้ สังเกตว่าหน้าท้องยุบ เเถมลายหน้าท้องก็เริ่มโผล่ ดีใจมาก ก็เล่นต่อไปจนเกือบจะได้สี่ก้อน (บางๆ เเต่เห็นชัดค่ะ) ตอนนั้นหนูก็ไปหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตมาเพิ่มก็ได้รู้ว่า ถ้าอยากให้ลายกล้ามเนื้อชัดขึ้น ก็ต้อง shred fat โดยการ cardio หนูเลยเริ่ม t25 ทุกคืน ย้ำว่าทุกคืนค่ะ (ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ t25 ยังไม่เข้ามาเกลื่อนในไทย)

หลังจากนั้นก็เป็นช่วงเปิดเทอมม.5 พอดี ตอนนี้เเหละค่ะ ที่เริ่มคุมอาหาร ซึ่งก็กินทุกมื้อเเล้วก็ไม่ได้คุมเเคลอรี่เลยนะคะ จะกินอะไรก็จะเน้นเเต่โปรตีน ข้าวที่โรงเรียนก็ไม่กิน ห่อข้าวจากบ้านไปกินเองค่ะ น้ำหวานก็ไม่กินเลย ขนมก็ลดจนเเทบเรียกได้ว่าไม่กิน กลับบ้านมาหลังกินข้าวเย็นเสร็จก็ขึ้นห้องไปเล่น t25 ทุกคืน เเล้วก็ตั้งนาฬิกาปลุกประมาณตี 4 เพื่อจะตื่นขึ้นมาเล่นหน้าท้องก่อนอาบน้ำเเต่งตัวไปโรงเรียนค่ะ” สาวเมษาเล่ากิจกรรมตอนที่เธอเริ่มหันมาออกกำลังกายและคุมอาหาร

สาวน้อยวัยใสใช้ชีวิตเเบบนี้ไปเรื่อยๆ ผอมลงเรื่อยๆ ไม่ได้สังเกตว่าตัวเองนั้นผอมลงเยอะไปหรือเปล่า เพราะทุกเช้าตอนเเต่งตัวจะดูเเค่หน้าท้องตัวเอง ว่ามีลายมั๊ย พุงโผล่หรือไม่

แต่สิ่งที่เริ่มเปลี่ยนไป คือ ความสัมพันธ์กับเพื่อนที่โรงเรียน เมษา บอกว่า พอเธอไม่ไปกินข้าวที่โรงอาหารกับเพื่อนๆ ทำให้ไปไหนมาไหนด้วยกันน้อยลง บวกกับตั้งเเต่ช่วงนั้นเริ่มจริงจังกับการเรียนมากขึ้น วันๆ อ่านหนังสือทำการบ้านไม่คุยกับใคร เเล้วก็ชอบทำหน้าตาย หน้าบึ้ง เลยยิ่งไม่มีใครกล้าคุยด้วย ซึ่งปกติเธอเป็นคนพูดจากวนโอ๊ย ดังนั้นเวลาพูดเเล้วทำหน้าตายนี่คนยิ่งเข้าใจว่าเธอนั้นอารมณ์ไม่ดี ขนาดเพื่อนสนิทที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งเเต่ ม.2 เเถมยังนั่งข้างๆ กันทุกวัน เธอบอกว่าบางวันยังไม่ได้คุยกันซักคำเลย เลยมารู้ทีหลังว่า เพื่อนบอกว่าเห็นเธอเงียบ เลยไม่กล้าคุยด้วย กลัวโดนเหวี่ยง และไม่ใช่แค่เพื่อนสนิทแต่ทุกคนบอกตรงกันว่า ตอนนั้นเธอน่ากลัวมาก เลยไม่มีใครกล้ายุ่ง
ภาพปัจจุบันเริ่มมีน้ำมีนวลหลังรักษาอาการจนหายแล้ว
ภาพปัจจุบันเริ่มมีน้ำมีนวลหลังรักษาอาการจนหายแล้ว
** เพราะเลือกเกิน ทำสัมพันธ์ครอบครัวร้าว

เมษาเล่าว่า ความสัมพันธ์ของเธอกับครอบครัว ไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน เพราะตั้งแต่เธอบ้าออกกำลังกาย ทำให้เธอไม่ชอบที่จะกินอาหาร บ่อยครั้งทะเลาะกับเเม่เรื่องการกิน หนักสุดถึงขั้นทำให้แม่ร้องไห้ เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมลูกสาวที่น่ารักถึงกลายเป็นคนก้าวร้าว และชอบเก็บตัว ไม่ยอมกินอาหารฝีมือของผู้เป็นแม่เหมือนดั่งเช่นเมื่อก่อน

“บ่อยมากค่ะที่ทะเลาะกับแม่ มีครั้งหนึ่งที่ร้องไห้ให้กับเรื่องนี้เป็นครั้งเเรก ตอนนั้นก็บอกกับพ่อว่าอยากจะกลับไปกินได้เหมือนเดิม เหมือนเมื่อก่อน ก็คิดว่าจะพยายามที่สุดนะคะ สุดท้ายเราก็ทำไม่ได้ อย่างมากก็กินขนมบ้าง เเต่ที่มากตาม คือ การออกกำลังค่ะ ยังคงบ้าออกกำลังกายเหมือนเดิม ไม่มีลดหย่อน และดูเหมือนจะมีแต่เพิ่มขึ้นๆ”

พอดีกับตอนนั้นเป็นช่วงปิดเทอมเล็ก (ของ ม.5 เทอม 1) เมษา บอกว่า เธอเลยมีเวลาอยู่บ้านมากขึ้น โดยเวลาที่อยู่บ้านชีวิตของเมษาในช่วงปิดเทอมเล็กนั้น คือ ตอนเช้าออกไปเรียนพิเศษ กลับบ้านมาตอนสายๆ เกือบเที่ยง เมษาก็จะขึ้นห้องไปออกกำลังกาย จากที่เมื่อก่อนจะเน้นออกกำลังกายเฉพาะหน้าท้อง กับ t25 ก็เปลี่ยนมาเล่นอย่างอื่นบ้าง

เมษา ยังเล่าอีกว่า ชีวิตเธอผ่านมาแล้วเกือบหมดทั้ง weight training, hiit, liss, yoga, pilates, barre, tabata, kick boxing cardio ออกกำลังเสร็จประมาณเที่ยง ลงมากินอะไรนิดหน่อย ไม่ค่อยกินเป็นมื้อ เสร็จเเล้วก็ออกไปเรียนพิเศษต่ออีกที่หนึ่ง

“หนูก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมหนูถึงบ้าการออกกำลังกายขนาดนี้ t25 นี่คือหนูออกทุกคืนจริงๆ นะ เวลาเล่าให้ใครฟังว่า t25 ครบ 25 นาทีทุกคืนมีเเต่คนทำตาโตเเล้วบอกว่า ทำไปได้ไง คือ เวลาทำก็เหนื่อยนะคะ ปวดเข่าด้วย เเต่พอทำเสร็จเเล้วเรารู้สึกเฟรชมาก อะดรีนาลีนมันหลั่ง พอดีเราเป็นคนที่เหงื่อออกยากมาก ช่วงสัปดาห์เเรกๆ ที่เล่น t25 นี่คือเล่นเสร็จเเล้วตัวยังเเห้งอยู่ ชื้นหน่อยเเต่ไม่เห็นเหงื่อเลยซักเม็ด จำได้ว่าครั้งเเรกที่เห็นเหงื่อเยอะเเยะนี่ตื่นเต้นมาก”

สาวคลั่งผอม ยังเล่าอีกว่า เธอออกกำลังหนักแบบนี้ทุกวัน ทุกวันจริงๆ ไม่เคยพักเลย โดยตัวเธอเองก็รู้ว่า การออกกำลังต้องพัก เเต่วันไหนตั้งใจจะพัก พอถึงเวลาจริงก็อดไม่ได้ เธอบอกว่าเธอเสพติดการออกกำลังไปเเล้ว เหมือนกลัวว่าพักไปวันหนึ่งไขมันจะพุ่งขึ้นมาประมาณนั้น

“เป็นเเบบนี้ไปจนเปิดเทอม 2 (ม.5) ค่ะ ยิ่งมีโลกส่วนตัวสูงมากขึ้นกว่าเดิมอีก คือตอนปิดเทอมที่ผ่านไปนี่เราไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนคนไหนเลย เเม้เเต่เพื่อนสนิทในกลุ่ม เท่ากับว่าเรากีดกันทุกคนออกจากตัวเอง อยู่เเต่กับ “ความเครียด” ทั้งเรื่องเรียน เรื่องกิน เเละเรื่องออกกำลัง เวลาอยู่บ้านหรือนั่งรถไปไหน ถ้าไม่อ่านหนังสือเรียนก็ดูพวกคลิปออกกำลัง ประมาณว่าคืนนี้เล่นคลิปไหนดี”
ผอมจนเหลือแต่กระดูก น้ำหนัก 37.7 กิโลเท่านั้น
** นี่ฉันกำลังป่วยหรือนี่?

แม้การชื่นชอบออกกำลังกายของเมษา ดูจะเป็นอะไรที่ผิดแปลกและเริ่มส่งผลกระทบกับความสัมพันธ์ในครอบครัว กับเพื่อนที่โรงเรียน เธอเครียด และมีโลกส่วนตัวสูง ไม่อยากพบเจอ หรือพูดคุยกับใคร จนในที่สุดเธอก็ได้อ่านเจอบทความเกี่ยวกับ “โรคอะนอเรคเซีย”

สาวรอยยิ้มหวาน เล่าว่า ตอนที่เธออ่านเจอคำนี้ครั้งแรก เธอรู้ตัวเองได้เลยว่าเธอกำลังป่วยเป็นโรคนี้เเน่ๆ จึงเริ่มศึกษา หาบทความ หาหนังสือมาอ่าน เพื่อทำความเข้าใจ

“ตอนนั้นก็คุยกับเเม่ เเต่ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจรักษาอย่างจริงจังหรอกค่ะ บอกเเม่ไปว่าจะรักษาด้วยตัวเองดูก่อน เเต่กว่าเราจะเริ่มจริงๆ ก็ปาเข้าไปเดือนสองเดือน ซึ่งน้ำหนักก็ลดลงเรื่อยๆ ไม่หยุด มีครั้งหนึ่งทะเลาะกับเเม่จนเเม่สั่งห้ามไม่ให้เราออกกำลังกาย เลยลองหันมาคุมเเคลอรี่บ้าง เพราะกลัวไขมันพุ่ง

วันหนึ่งจะกินประมาณ 1,800 -1,900 แคลค่ะ นับเเบบประมาณเองด้วยนะ กลางวันจะไม่ห่อข้าวไปกิน จะพกขนมหรือของกินประเภท snack 1 ห่อกับนมอีก 1 กล่องไปจากบ้าน พักเที่ยงกินเเค่นั้นจริงๆ ค่ะ โดยที่ช่วงนั้นทะเลาะกับพ่อเเม่บ่อยมากขึ้น เเทบไม่เว้นวันเลยค่ะ ยิ่งทำให้เราเครียดขึ้นไปอีก ว่าทำไมไม่มีใครเข้าใจเรา”

แม้เมษา จะผ่านความยากลำบากในการต่อสู้กับอาการป่วยด้วย “โรคอะนอเรคเซีย” แต่ทุกครั้งที่เธอนึกย้อนกลับไปถึงช่วงที่เธอกำลังเผชิญกับมัน เธอยังคงฝังใจ และเสียใจอยู่จนถึงทุกวันนี้

มีครั้งหนึ่งเเม่ลากหนูไปยืนหน้ากระจกเเล้วบอกให้หนูดูสารรูปตัวเอง ผอมกระดูกปูดเหมือนเอเลี่ยน ส่งผลให้การทำงานในร่างกายผิดปกติ เริ่มจาก “ประจำเดือน” ไม่มาติดต่อกันหลายเดือน (รวมทั้งสิ้นก็นับได้เป็นปี) เพราะไขมันหายไปเยอะ ทำให้ไม่มีไขมันไปสร้างฮอร์โมน ต่อมา คือ “ผมร่วง” รวมถึง “อาการเลือดจาง” เมื่อก่อนเป็นคนที่เเก้มเเดงง่ายมาก ร้อนหน่อยแก้มก็เเดงระเรื่อ มีเเต่คนอิจฉา เเต่พอเลือดจางเเบบนี้ ตัวนี่ซีดเหลืองเป็นผีตองเหลืองก็ว่าได้

นอกจากนี้ยังเป็นคน “หนาวง่าย” ตามมาด้วย “ผิวเเห้งมาก” จากที่เป็นคนผิวเเห้งอยู่เเล้วด้วย พอช่วงหน้าหนาวผิวของเธอจะลอกหลุดออกมาเป็นเเผ่นๆ เลย ยังไม่หมดเท่านั้น เธอยังมีอาการ “เครียดจัด” ร้องไห้คนเดียวเเทบทุกวัน ไม่คุยกับเพื่อน เธอบอกว่าวันไหนที่เธอหันไปพูดกับเพื่อนก่อนนี่เพื่อนจะทำหน้าตาตื่นเต้นมาก เเล้วถ้าได้ยินใครก็ตามพูดเรื่องไดเอท หรือ การออกกำลังเธอจะเครียดมาก เหมือนกลัวว่าเขาจะออกกำลังเยอะกว่า จะกินน้อยกว่า และผอมกว่าเรา
ผอมจนเหลือแต่กระดูก น้ำหนัก 37.7 กิโลเท่านั้น
** ร่างกายไร้ไขมัน กระดูกโผล่จนน่ากลัว

เมื่อร่างกายหยุดโต จากอาการข้างต้น เมษาบอกว่า ส่วนสูงเธอไม่เพิ่มขึ้นเลย ทั้งๆ ที่ในอายุเท่านี้ น่าจะเพิ่มขึ้นซสักเซ็นต์สองเซ็นต์ในปีหนึ่ง เเต่เพราะขาดสารอาหาร ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอที่จะไปพัฒนาตัวเอง

“ผอมจนกระดูกโผล่ กระดูกทิ่มเนื้อ เป็นเเผลกดทับง่าย นั่งเก้าอี้ที่โรงเรียนไม่ได้ ต้องเอาเบาะมารองก้น เวลาเดินนี่มีเเต่คนบอกกลัวเอวหัก เล่นฮูลาฮูปหน่อยเป็นแผลหนองที่หลังเลยค่ะ ทุกวันนี้เเผลเป็นยังอยู่เลย นอกจากนี้ ตัวเย็น หัวใจเต้นช้าลง ความดันต่ำ (มากกกก)”

การขาดสารอาหาร เเน่นอนว่าต้องมีผลกระทบกับ “สมอง” เมษาเล่าว่า ถ้าเธอรู้ตัวช้ากว่านี้ อาจจะต้องไปนอนโรงพยาบาล เพราะปอดทะลุหรือถุงลมโป่งพอง เพราะการออกกำลังที่ต้องใช้เเรงมากๆ เช่น weight training จะทำให้เกิดเเรงดันสูงในช่องอก พอผอมมากๆ ซี่โครงก็ทิ่มปอดได้

เลวร้ายกว่านั้น คือ “ปอดทะลุเเละถุงลมโป่งพอง” คือ "ตาย” นั่นเอง โดยที่หลับไปเลย ไม่ตื่นอีกเลยนั่นเอ
เมษา ยังเล่าอีกว่า ตอนนั้นหมอที่รู้จักข้างบ้านได้เเนะนำให้ไปสเเกน MRI เพื่อหาสาเหตุที่ประจำเดือนไม่มา โดยที่ระหว่างนั้นหมอก็ให้กินยาคุม 3 เดือน กิน 3 เดือนประจำเดือนก็มาเเค่ 3 เดือน

ผลของการตรวจ MRI ออกมาปรากฏว่า พบ "เนื้องอก" ชิ้นเล็กๆ อยู่ใน hypothalamus (ต่อมใต้ธาลามัส) เเต่ตอนนั้นหมอให้เเม่บอกเธอเเค่ว่า เธอป่วยเป็น “โรคขาดสารอาหาร” คงเพราะไม่อยากให้เครียด

หลังจากนั้น เมษาได้ตัดสินใจไปพบจิตเเพทย์ ซึ่งเป็นเธอเองที่เอ่ยเรื่องนี้กับแม่ โดยก่อนหน้านั้นแม่เคยพูดกับเธอเเล้วว่าให้ไปหาจิตเเพทย์ เเต่เมษาคิดว่า เธอโอเค จึงไม่ยอมไป จนวันหนึ่งเธอไม่ไหวจริงๆ ร้องไห้ทุกวัน ทั้งครูเเละเพื่อนก็เป็นห่วง
ผอมจนเหลือแต่กระดูก น้ำหนัก 37.7 กิโลเท่านั้น
** อยากหายป่วย ใจต้องสู้! แล้วเริ่มต้นรักษา

การเริ่มต้นการรักษาของเมา เริ่มต้นด้วยการไปพบจิตเเพทย์ทุกๆ 2 สัปดาห์ และพบกับเเพทย์ด้านโภชนาการ เจาะเลือดหลายรอบมาก

“ตอนนั้นหนูต้องกิน ensure (ผลิตภัณฑ์ทดเเทนอาหารสำหรับผู้ป่วยที่ทานอาหารไม่ได้ หรือเบื่ออาหาร) กินทุกวันวันละ 16 ช้อน (ตอนหลังหมอก็ให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็น 30 กว่าช้อนค่ะ) รักษากับหมอที่โรงพยาบาลไปได้ซักพัก ก็มีคนรู้จักเเนะนำให้ไปพบเเพทย์เเผนจีนที่พัทยา จึงไปฝังเข็มทุกๆ 2 อาทิตย์ หมอก็ให้ยาน้ำที่ต้มเองจากสมุนไพรจีนมาให้ผสมน้ำดื่มทุกวัน เรื่องรสชาตินี่สุดๆ ค่ะ กินยาพวกนี้อยู่หลายเดือน พอไปกินกาเเฟนี่รู้สึกความขมของกาเเฟมันกระจอกมาก หนูฝังเข็มมาตั้งเเต่หัวยันนิ้วเท้าเลย”

เรื่องการออกกำลังกาย ช่วงเเรกหมอห้ามออกกำลังเลยเด็ดขาด แต่พอน้ำหนักขึ้นเรื่อยๆ หมอก็อนุญาตให้ออกได้อาทิตย์ละสองวัน วันละไม่เกิน 45 นาที เเต่ห้ามเล่นเวท เพราะตอนนั้นผอมมาก หมอกลัวว่าพอใช้เเรงยกของหนักมาก ความดันปอดเพิ่มขึ้น เเล้วซี่โครงทิ่มปอด ปอดจะรั่ว

เมษาเลือกวิ่งกับว่ายน้ำเเทน น้ำหนักก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนตอนกลับจากเที่ยวช่วงสงกรานต์ น้ำหนักลดจาก 41 กิโลเหลือ 39.5 กิโล หมอจึงสั่งห้ามเธอออกกำลังอีกครั้ง เพราะสัญญากับหมอไว้ว่าทุกสองสัปดาห์ที่ไปหาหมอ จะต้องน้ำหนักขึ้น 0.5-1 กิโล หรือถ้าไม่ขึ้นก็ห้ามลด ไม่งั้นต้องนอนโรงพยาบาล เเต่ก็ยังเเอบออกกำลังกายบ้าง อย่างเช่นถ้าเธออยู่บ้านคนเดียวจะแอบวิดพื้น,กระโดดตบ,สควอท เป็นต้น

เมื่อพูดถึงเรื่องอาหารการกิน เเละการออกกำลัง ทุกวันนี้เมษา ไม่ใช่ว่ากินไม่เลือก แต่เธอกินเเบบค่อนข้างไปทางเพื่อสุขภาพ เเต่ไม่คลีนนะคะ!

เมษาบอกว่า เธอไม่ชอบกินอาหารมันๆ เยิ้มๆ เลยไม่ค่อยกินพวกข้าวราดตามร้าน ถึงแม้เธอจะไม่กินอาหารมันๆ เเต่เธอก็มั่นใจว่าเธอได้ไขมันจากอาหารอื่นที่กินเข้าไป คือ เธอจะกินนม กินโยเกิร์ต ชีส ถั่ว ไอติม ช็อคโกเเลต เธอชอบข้าวกล้องมากกว่าข้าวขาว ขนมปังชอบกินพวกผสมโฮลวีตหรือธัญพืช ผักผลไม้ไม่ขาด ผักกินหนักมาก ชอบมาก จากเมื่อก่อนเธอไม่กินผัก แต่เดี๋ยวนี้ คือกินผักเป็นขนมได้
ผอมจนเหลือแต่กระดูก น้ำหนัก 37.7 กิโลเท่านั้น
รักษาด้วยการฝังเข็ม
** กว่ารอยยิ้มสดใสจะกลับมา

แม้จะผ่านความเป็นความตายในชีวิตมาแล้ว แต่สาวเมษา ยังคงยืนยันในการควบคุมการกิน และการออกกำลังกาย เพราะสำหรับเธอจุดสำคัญที่สุดของการออกกำลังเพื่อรูปร่างที่เธอต้องการ ต้องรู้ลิมิตของตัวเอง

ไม่จำเป็นต้องทำตามคนอื่นเขาทุกอย่าง ทั้งการกินเเละออกกำลัง เพราะบางคนไม่ได้ออกกำลังกายเพื่อผอม เเต่ออกเพื่อสุขภาพ บางคนออกกำลังกายเพื่อลดความอ้วน บางคนออกเพื่อรักษาโรค หรือกายภาพบำบัด บางคนออกเพื่อไปเเข่ง หรือซัพพอร์ทหน้าที่การงาน เเค่อยู่ในลิมิตที่ “จิตใจ” เเละ “ร่างกาย” ตัวเองรับได้ ผลออกมายังไงก็โอเค

ทุกวันนี้ความสัมพันธ์ของเมษาสาวคลั่งผอมกับเพื่อนเเละครอบครัวดีขึ้นมาก เพื่อนเข้าใจว่าทำไมที่ผ่านมาเธอเป็นเเบบนั้น พ่อกับเเม่ก็เป็นกำลังใจให้ จนทุกวันนี้ไม่ทะเลาะกันเเล้ว ในเรื่องของน้ำหนัก เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก 37 กิโล ขึ้นมาปัจจุบันอยู่ที่ 50.5-51 กิโลกรัม ส่วนเรื่องร่างกาย กล้ามเนื้อเเละไขมันเริ่มกลับมา หน้าอกเริ่มดึ๋งๆ เวลาวิ่งขึ้นลงบันได ผมหยุดร่วงเเล้วก็หนาขึ้น ตัวไม่เย็นจัด กระดูกเเละเส้นเลือดไม่ปูดโผล่ เลือดลมมาเลี้ยงร่างกายดีขึ้น ที่สำคัญเเก้มกลับมากลมเเดงเหมือนเมื่อก่อน

จากเด็กขี้หงุดหงิด เก็บตัว เหวี่ยงทุกคนที่ผ่านเข้ามา กลับมาเป็นเด็กผู้หญิงนิสัยดี เข้ากับคนอื่นได้เหมือนเดิมกลับมายิ้มเก่ง เฮฮาเหมือนเดิม เธอดีใจที่สามารถรู้ตัวทันก่อนอะไรมันจะ “สาย” ไปมากกว่านี้ เพราะถ้ารู้ตัวช้ากว่านี้อีกหน่อย เธออาจจะ “ตาย” ไปเเล้วก็ได้

เรื่องโดย: นับดาว รัตนสูรย์
จากเอว 26-27 นิ้ว เหลือเพียง 21 นิ้ว เท่านั้น
พร้อมรับการรักษา
เริ่มมีรอยยิ้ม



กำลังโหลดความคิดเห็น