xs
xsm
sm
md
lg

ฉันชอบเที่ยว มันผิดหรือไง? "โม" นางเอกบล็อกเกอร์สายติสต์!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


 
ดูเหมือนว่านางเอกสาวสายติสต์ “โม-มนชนก” จะติดใจ “การท่องเที่ยว” เข้าอย่างจัง เพราะช่วงหลังมานี้ อาจไม่ค่อยเห็นหน้า-เห็นตาเธอในบทบาทนักแสดงเท่าไหร่ คงเพราะกำลังหลงรักไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยว ถึงขั้นผันตัวเป็นบล็อกเกอร์ เปิดแฟนเพจแชร์ประสบการณ์การท่องเที่ยว สายเที่ยว-ดื่ม-ชิลล์ แบกกล้องตะลุยกว่า 10 ประเทศทั่วโลก!

“MOMONhappygirl” ความสุขของโม-มน

“จริงๆ โมเป็นคนท่องเที่ยวอยู่แล้วตั้งแต่เด็ก ซึ่งวัยเด็ก โมจะเที่ยวกับที่บ้าน แต่พอเริ่มโตมา ได้มีชีวิตอิสระขึ้น โมทำงาน หาเงินได้เอง โมก็จะรู้สึกโล่ง ยิ่งสมัยนี้เทคโนโลยีมันล้ำ มันค่อนข้างง่ายต่อการไปไหนมาไหน โมเลยคิดว่าให้รีบเที่ยวซะตั้งแต่ตอนนี้ ตั้งแต่ตอนที่เรายังเที่ยวไหว”

นี่อาจเป็นแพสชั่น (Passion) ด้านการท่องเที่ยวที่ทำให้นักแสดงสาว “โม-มนชนก แสงฉายเพียงเพ็ญ” เปิดเพจรีวิวการท่องเที่ยวในแบบฉบับของเธอเอง แก่ผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวได้ติดตาม

เธอเล่าย้อนความไปว่าได้เกิดจากการที่เธอชอบถ่ายภาพสถานที่ต่างๆ ลงอินสตาแกรมส่วนตัวอยู่บ่อยๆ จนทำให้คนที่ติดตามคอมเมนท์ถามถึงสถานที่ท่องเที่ยวนั้นๆ อยู่เสมอ

“ปกติจะเป็นคนโพสต์รูป ไม่ได้เขียนอะไรมากในอินสตาแกรม คนที่ติดตามโมอยู่เขาก็จะชอบที่เราลงภาพสถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งมันไม่ใช่แค่การไปเที่ยวที่ต่างประเทศ หรือในประเทศไทย แต่มันคือการไปเที่ยวคาเฟ่ ไปร้านกาแฟ ด้วยเหมือนกัน นี่จึงเกิดเฟซบุ๊กแฟนเพจ “MOMONhappygirl” ขึ้นมาค่ะ


 
จริงๆ แล้ว มันก็เกิดจากการที่คนเรียกร้องด้วย มีคนถามเข้ามาเยอะมากว่าโมไปที่ไหน ไปยังไง เยอะจนเราตอบไม่ไหว จึงตัดสินใจทำเพจเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเลยดีกว่า ด้วยส่วนตัวโมชอบอยู่แล้วด้วย เลยคิดว่ามันน่าจะมีประโยชน์กับคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน

ซึ่งส่วนใหญ่สถานที่ที่โมชอบไป คือ คาเฟ่ในไทย เหตุผลคือไปง่าย ประหยัดด้วย คนก็จะตามรอยโมเยอะในการไปคาเฟ่ แต่ถ้าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของต่างประเทศ ก็กำลังลองเขียน ลองแชร์ให้คนอื่นๆ อ่าน ให้เขามีความสุขก็พอแล้วค่ะ”

นอกเหนือไปจากเรื่องราวการท่องเที่ยวที่ถูกถ่ายทอดลงบนแฟนเพจของเธอเองแล้ว อีกหนึ่งตัวตนที่แสดงออกถึงไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวของเธอ คือ การที่เธอเป็นคนไม่มีแพลนสำหรับการท่องเที่ยวเลย!

“โมไม่มีเป้าหมายเลยนะคะ เพราะไม่อยากกดดันตัวเอง อย่างประเทศหนึ่งโมไปหลายเมือง ไปหลายครั้ง โมรู้ว่าการไปที่ใหม่ๆ มันจะทำให้เราเจออะไรใหม่ๆ แต่ก็ไม่อยากกดดันตัวเองด้วย เช่น ถ้าโมบอกกับตัวเองว่าใน3ปีนี้ โมจะต้องไปให้ได้กว่า 13ประเทศ มันจะเป็นการตั้งเป้าหมายและเครียดเกินไป

ดังนั้น เวลาโมเที่ยวมันจะเป็นไปในสไตล์เที่ยวแบบเรื่อยๆ ไม่มีแพลน น้อยมากที่จะตั้งแพลนไว้ว่าจะไปที่นั่น ที่นี่ โมว่าตรงนี้อาจเป็นข้อเสียของโมอย่างหนึ่งก็ได้นะคะ(ยิ้ม) เพราะเราจำกัดงบประมาณไม่ได้ เราไม่มีแพลน

อย่างโมจะเน้นเรื่องราวที่เจอในแต่ละวัน มันจะมีเรื่องตลก เรื่องโก๊ะๆ ที่เอามาแชร์ให้อ่านมากกว่า อีกอย่างโมว่าการท่องเที่ยวมัน คือ การไปพักผ่อน เหมือนชื่อ MOMONhappygirl เลย มันไม่ใช่แค่เราไปเที่ยว แต่เราทำอะไรที่เรามีความสุข

ยกตัวอย่าง การไปเที่ยวก็มีความสุข กินก็มีความสุข ดื่มกาแฟก็มีความสุข หรือทำกิจกรรมอะไรก็ตามที่มีความสุข โมอยากแชร์ให้คนอื่นๆ ที่เผื่อว่าเขาจะชอบแบบเดียวกับเรา หรือการได้แชร์ความชอบของโมในโลกออนไลน์ ซึ่งคนอื่นๆ จะชอบแบบโมไหม มันก็ขึ้นอยู่กับรสนิยมของแต่ละคน”

“นิวยอร์ก” มหานครที่รัก “เวียนนา” นครแห่งศิลปะที่ชอบที่สุด!

แน่นอนว่ากว่า 10 ประเทศที่เธอได้ไปเยือนมา จะต้องมีสักที่สองที่ ที่เธอรู้สึกประทับใจที่สุด ซึ่งเธอคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะให้คำตอบกับเราเกี่ยวกับสถานที่เที่ยวที่สร้างความเซอร์ไพรส์กับเธอและยังคงรู้สึกประทับใจจนถึงตอนนี้ ว่าคือ มิวเซียมแห่งหนึ่งในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย

“จริงๆ มันเป็นมิวเซียม 'Belvedere Museum' ที่โมเจอที่เวียนนา มันอาจจะธรรมดาสำหรับคนอื่น แต่โมรู้สึกว่ามันพิเศษสำหรับโมมาก มันเหมือนเป็นภาพลวงตา มันคล้าย 'Art in Paradise' ที่ไทย แต่ที่นี่สนุกมาก โมรักที่นี่ มันเหมือนทำให้เราหลุดไปอีกโลกหนึ่ง เราไม่ต้องคิดอะไร แค่สนุกกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

ส่วนอีกประเทศที่ชอบที่สุดและไปบ่อยๆ คือ สหรัฐอเมริกา โมไปมา 4-5 ครั้งได้แล้ว สำหรับโมชอบนิวยอร์ก เพราะมันไม่มีวัฒนธรรม ไม่มีกฏเกณฑ์ ทุกอย่างฟรี โมรู้สึกว่ามันเป็นอิสระ เราจะทำอะไรก็ได้ ไม่มีใครสนว่าเราจะเป็นใคร โมรู้สึกว่าทุกคนเท่าเทียมกัน ก็จะชอบที่นี่มากที่สุด”

หากพูดถึงเหตุผลที่ทำให้เธอตัดสินใจเที่ยวในแต่ละที่นั้น เกิดขึ้นมาจากอะไร เธอตอบเราอย่างตรงไปตรงมาเลยว่า บางทีแล้วแรงบันดาลใจ ก็มักเกิดขึ้นจากสิ่งที่ไม่ได้คาดคิด เช่น ฉากบางฉากจากหนังเรื่องโปรด

“ก่อนตัดสินใจไปแต่ละที่ จริงๆ มันเกิดจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ คนแชร์อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อยากไป แต่บางทีแค่จังหวะหนึ่งในหนัง หรือเรื่องราวเล็กๆ เช่น ตอนที่โมไปลอนดอน ประเทศอังกฤษ เหตุผลเดียวเลยคือ ตอนโมอายุ 18 โมดูหนังเรื่อง 'Notting Hill' เห็นว่าพระเอกอยู่ที่ตลาด พอร์ทเทอเบลโล (Portobello Market) แค่นั้น

เที่ยวกรุงเวียนนา
 
มันเป็นอะไรที่ทำให้โมรู้สึกว่า เราต้องไปที่นี่ ส่วนใหญ่มันจะเกิดจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อีกอย่าง การท่องเที่ยวมันดีนะคะ มันชาร์ทแบทโมได้ โมได้เจออะไรใหม่ๆ คนใหม่ๆ เหตุการณ์ใหม่ๆ มันทำให้เราได้เรียนรู้ มันไม่ใช่แค่การไปเที่ยวแล้วเสียตัง จริงๆ โมช็อปปิงน้อยมากเลยนะ มีช็อปปิงบ้างแต่ว่าน้อย

ส่วนใหญ่ค่าใช้จ่าย โมจะหนักไปกับการกิน(หัวเราะ) ไปคาเฟ่ ร้านอาหาร ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ทำแล้วโมมีความสุข หรือการออกไปข้างนอก ดูบาร์ใหม่ๆ ก็สนุกดี

ซึ่งการไปเที่ยวของโม ก็มีไปคนเดียวด้วย แล้วมันจะมีเพื่อนเอง จริงๆ โมเป็นคนมีเพื่อนเยอะ มีเพื่อนหลากหลายที่มาก(หัวเราะ) ก็จะเจอเพื่อนของเพื่อน หรือคนรู้จักที่คุยถูกคอโดยที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน มันก็เป็นประสบการณ์การที่ดีนะคะ ทำให้เราได้พบเจอคนใหม่ๆ ในชีวิต”

เธอยังบอกอีกว่า ประสบการณ์และพลังงานดีๆ ที่ได้จากการออกไปเที่ยว ทำให้เธอได้รู้จักวัฒนธรรมและสังคมที่หลากหลาย เช่น ในมุมมองที่มีต่อประเทศจีน เธอเล่าว่าพอได้ไปเที่ยวที่ประเทศจีนแล้ว ประสบการณ์ทำให้เธอเข้าใจและยอมรับในวัฒนธรรมที่ต่าง

“เวลาได้ไปเที่ยวที่ต่างๆ โมจะมองข้อดีของเขา ซึ่งมันจะทำให้เรารู้จักคนหลากหลายขึ้น อย่างประเทศจีน คนเราจะมีความเชื่อว่าคนจีนชอบทำแบบนั้น-แบบนี้ที่เราไม่ชอบ แต่พอไปมองเขาให้ดีจริงๆ จะรู้เลยว่าเขาทำเพราะเขาไม่รู้ มันไม่ใช่ว่าเขาตั้งใจทำสิ่งที่ไม่ดี เราแค่รับรู้ว่าเขาเป็นแบบนั้น แต่สิ่งไม่ดีก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทำตาม”

ทิ้งท้ายเรื่องการท่องเที่ยว เธอบอกอีกว่าหากมีโอกาสในอนาคตอยากลองทำรายการเกี่ยวกับการท่องเที่ยวดูเช่นกัน เพราะคิดว่าน่าจะทำออกมาได้ดี หากว่าเป็นสิ่งที่เธอรัก

“ในอนาคตโมก็อยากทำรายการท่องเที่ยวนะคะ แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง อาจจะยังไม่พร้อมในเวลานี้ อีกอย่างโมไม่อยากแค่ทำๆ ไปแบบนั้น โมต้องการมีข้อมูลที่ใช้ความรู้เยอะ และต้องมีพาร์ทเนอร์ที่ช่วยคิด เราต้องศึกษาให้ดีๆ โมไม่อยากแค่คิดแล้วทำเลย ด้วยนิสัยส่วนตัวคือโมต้องมีข้อมูลที่แน่นมากพอก่อนถึงจะลงมือทำ”

เที่ยวนครนิวยอร์ก
ชิลล์-ขี้อ้อน-อีโมชั่นแนลสูง

“เคยมีคนบอกไหมว่าโมดูเป็นคนหยิ่งหรือดุ”

เริ่มบทสนทนาด้วยความสงสัย ถึงตัวตนจริงๆ ของ “โม-มนชนก” ที่หลายคนมักพูดกันว่า เธอน่ะหยิ่งและดุซะจริง เราจึงไม่รอช้าที่จะหาคำตอบจากเจ้าตัวทันทีเลยว่า อันที่จริงแล้วตัวตนของเธอเป็นคนยังไงกันแน่!

“ใช่ๆ มีคนพูดเหมือนกันค่ะ(ยิ้ม) แต่จริงๆ แล้ว โมเป็นคนเฉยๆ โมว่าโมเป็นคนตลกด้วยซ้ำ ถ้ารู้จักโมจริงๆ โมจะร่าเริง แต่ด้วยความที่เราทำงานอยู่ในวงการบันเทิง อาจเป็นมาตั้งแต่เด็กว่าเราไม่รู้ว่าคนอื่นคิดยังไง แต่เราจะ 'กลาง' ไว้ก่อน ซึ่งกลางของโม คือ ความนิ่งเฉย ซึ่งหน้าโมดุอีก คนเลยเข้าใจผิดไปกันใหญ่(หัวเราะ)

เขาจะมองเราตามสิ่งที่เขาเห็น คนตัดสินจากสิ่งที่เห็น มันก็ถูกแล้ว เพราะโมเป็นคนเฉยๆ จริง โมยอมรับ แต่โมก็ไม่รู้จะแก้ตัวยังไงว่า มันไม่ใช่แบบนั้นเลย โมไม่ใช่คนแบบนี้เลย อย่างการที่ได้มาเป็นบล็อกเกอร์ในเพจ คนที่ติดตามเขาจะเห็นตัวตนของโมมากขึ้น เวลาที่โมขำ หัวเราะ มีวิดีโอไลฟ์บ้าบอของโม คนจะเห็นตัวตนโมจากตรงนั้น”

หากให้เธอลองนิยามตัวเองสัก 2-3 อย่าง เธอคิดอยู่ครู่และตอบกับเราว่า จริงๆ แล้วเธอเป็นคนชอบความท้าทาย อย่างเช่น การอยากลองเล่นบันจี้ จัมพ์สักครั้งในชีวิต!

 
“โมเป็นคนชิลล์นะ อะไรก็ได้ สมมติว่าโมกินอาหารไม่ได้เลยสักอย่างที่อยู่ตรงหน้า โมก็ไม่กิน แต่โมจะไม่พยายามให้คนอื่นไปหาอย่างอื่นมาให้โมกิน เรียกง่ายๆ อะไรที่เกิดจากตัวเรา เราก็ต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เพราะคนอื่นเราคอนโทรลไม่ได้ แต่เราคอนโทรลตัวเองได้

โมชอบความท้าทาย อะไรที่มันยากหรือคนเขาไม่ทำ โมจะทำ มันเหมือนชนะตัวเอง นี่ยังอยากไปกระโดดบันจี้ จัมพ์ แต่ไม่ใช่คนเอ็กสตรีมนะ ไม่ใช่ว่าจะไปปีนเขาหรือเล่นสกี แต่อะไรที่ทำแล้วจบ อย่าง บันจี้จั้ม, รถไฟเหาะ โมจะชอบมาก(ยิ้ม)

อีกอย่างที่เป็นตัวตนของโมเลย โมเป็นคนขี้อ้อน ด้วยหน้าแบบนี้(หัวเราะ) แต่จริงๆ อ้อนพ่อ อ้อนแม่ อ้อนเพื่อน และก็เป็นคนโลกส่วนตัวสูงประมาณหนึ่ง มันประหลาดมาก บางทีโมก็คุยกับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก มันแล้วแต่ว่าเราอยู่ที่ไหน ทำอะไร และคิดอะไรอยู่ตอนนั้น ถือว่าเป็นผู้หญิงมีอีโมชันนอลสูงเลยแหละ แต่ก็มีเหตุผลนะ(ยิ้ม)”


“เปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ แต่เปลี่ยนที่ตัวเราเองได้”

“พ่อ-แม่ เลี้ยงโมแบบปล่อยเหมือนกันนะ ไม่ใช่ว่าไม่ห่วง โมโชคดีมากที่พ่อ-แม่ของโม ค่อนข้างเป็นพ่อ-แม่สมัยใหม่ เขาสอนให้ลูกเป็นคนดี รู้ว่าอะไรถูก-ผิด แต่ที่เหลือเขาให้เราออกไปเจอเอง”

คงต้องยอมรับเลยว่าที่บ้านของเธอนั้น มีวิธีการดูแลลูกๆ ในแบบที่ให้ลองผิด-ลองถูกด้วยตัวเอง ด้วยความที่พ่อ-แม่ ค่อนข้างเป็นพ่อ-แม่สมัยใหม่ จึงมีวิธีการสอนที่ไม่กดดันและเข้มงวดจนเกินไป นี่จึงถือเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งที่เธอกำลังบอกกับเรา

“วิธีสอนของเขาคือการให้เราเรียนรู้ด้วยตัวเอง เช่น เดี๋ยวเจอสิ่งนั้นจะรู้เองแหละว่าห้ามทำ แต่จะไม่มาห้าม ไม่มาตาม โมรู้สึกโชคดีตรงนี้ แต่ส่วนตัวแล้ว สนิทกับแม่ค่ะ มีอะไรก็จะบอกแม่ ที่บ้านโมจะพูดกันตรงๆ ได้ ต้องการอะไรพูดเลย ส่วนคุณพ่อนี่เมื่อก่อนตอนโมเด็กๆ จะดุ หรือว่าตอนนั้นโมยังเป็นเด็กด้วยอาจจะกลัว แต่รู้ว่าทุกคนทำด้วยความรัก

อย่างตอนที่โมตัดสินใจทำงานในวงการบันเทิง ช่วง2-3 ปีแรก พ่อแม่ก็เป็นห่วง พ่อจะคอยไปรับไปส่ง แต่ไม่ใช่ว่าหวงนะคะ เขาไม่ได้เฝ้าในกองถ่าย แต่จะแอบมอง เพราะไม่อยากให้ใครมาเทคแคร์เขาด้วย
ครอบครัวโม

 
ส่วนความผูกพันในครอบครัว ที่บ้านโมจะไม่ได้สนิทมากขนาดตัวติดกัน ไปไหนมาไหนกันตลอดเวลา แต่บ้านเราจะรู้ว่าเรารักกัน แต่ไม่แสดงออก ทั้งพ่อ แม่ น้องชาย หรือตัวโมเอง เราไม่ค่อยทำอะไรตามวาระเท่าไหร่ ปีใหม่-สงกรานต์ไม่ได้ฉลอง เราจะเน้นที่ทุกคนสะดวก วันเกิดไม่ต้องกินตรงวันก็ได้

ด้วยความที่พ่อ-แม่โมเป็นคนเก่ง เขาจะไปทางวิชาการ พ่อจะเป็นนักธุรกิจ มาร์เกตติง ตัวเลข บัญชี ซึ่งมันไม่มีเลยในตัวเรา ส่วนแม่โม เมื่อก่อนเป็นพยาบาล แต่ตอนนี้ทำงานด้านวิชาการ โมก็จะงงๆ ว่าสิ่งที่พ่อแม่ทำอยู่คืออะไร(หัวเราะ) โมไม่เหมือนพ่อแม่เลย”

นอกเหนือจากการพูดคุยกับครอบครัวในเวลาที่เธอมีเรื่องต้องปรึกษาแล้ว เธอยังบอกกับเราด้วยว่า อีกหนึ่งวิธีที่เธอมักเลือกทำเวลาที่มีเรื่องไม่สบาย หรือกำลังเจอกับอุปสรรค คือการไหว้พระ สวดมนต์ ซึ่งเธอออกตัวเลยว่าอาจจะเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับตัวเธอไปสักหน่อย

“มันอาจจะดูคอนทราสกับตัวโมไปหน่อย แต่สิ่งที่โมชอบทำเวลาที่มีเรื่องไม่สบายใจ คือ สวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิ พอเราโตจะรู้ว่าบางอย่างมันต้องปล่อยวาง อย่างที่เคยบอกว่าเราแก้ที่คนอื่นไม่ได้ แต่เราแก้ที่ตัวเราเองได้ เราต้องจริงใจ เข้าใจคนอื่น ทุกคนมีเหตุผลหมดที่ทำแบบนั้น

หรือคำด่าในเน็ต โมก็เข้าใจว่าเขาคงสนุกหรือคิดแบบนั้น แต่มันก็อยากให้จบตรงนั้น เราจะเอาความทุกข์มาใส่ตัวเองทำไม มันไม่ได้ง่ายนะ มันไม่ได้ทำได้ตลอด แต่โมก็พยายามตามตัวเองให้ทัน ก็มีที่ไปปฏิบัติธรรมบ้าง แต่ไม่ใช่เกิดจากความทุกข์ มันเกิดจากการที่เราอยากทำ ไม่อยากให้คิดว่าเป็นทุกข์แล้วต้องพึ่งวัด”

“อีกอย่างโมมีความเชื่อว่า เราเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนที่ตัวเราเองได้”

“ความรัก” ไม่รีบ! มีก็ได้..ไม่มีก็ได้

“ไม่รีบค่ะ ไม่ได้รีบอะไรเลย โมเรื่อยๆ มีก็ได้ ไม่มีก็ได้”

พอได้เอ่ยถึงเรื่องความรัก เธอก็รีบตอบเราแบบไม่รีรอเลยว่า สบายๆ ไม่ได้รีบร้อน แต่แน่หล่ะว่า เรื่อง “ความรัก” ก็ยังเป็นเรื่องที่หลายๆ คน อยากรู้กันอยู่ดีล่ะว่า เธอมีคนในใจแล้วหรือยัง

“โมรู้สึกว่าเราดูแลตัวเอง เราอยู่กับตัวเองเยอะเลยเป็นความเคยชินว่า โมไปดูหนังคนเดียวได้ กินข้าวคนเดียวได้ ทำอะไรก็ได้ จริงๆ มันไม่ใช่ข้อดีหรอก แต่มันเป็นความเคยชินมากกว่า เพราะมนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่ออยู่คนเดียว ตอนนี้ก็มีที่คุยๆ อยู่บ้างนะคะ

ซึ่งคนที่ใช่สำหรับโม ตอนนี้ก็ตอบยากเหมือนกันนะคะ แต่ก่อนโมอาจจะรู้ว่าสิ่งนี้คือใช่ อาจจะต้องคุยกันรู้เรื่อง ใช้เวลาด้วยกันแล้วมีความสุข มันเป็นความคิดที่เด็กๆ อยู่ แต่ตอนนี้เรื่องความรัก มันยากสำหรับโมไปหมด โมไม่ได้คาดหวัง ด้วยสังคมยุคนี้ คนเลิก คนหย่า มันทำให้เราค่อนข้างกังวล เลยไม่อยากคิดอะไรมาก

ฟังจากที่เธอพูดมานี้ ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้คาดหวังกับความสัมพันธ์เท่าไหร่นัก เพราะค่อนข้างเรียบง่าย ไม่หวือหวา และดำเนินไปด้วยความคิดที่โตขึ้นจากที่ผ่านมา แต่เราก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ด้วยความที่ไม่คาดหวังจากความรัก มันจะหมายความได้ถึงการ “กลัวความรัก” ด้วยหรือไม่

 
“โมไม่ได้กลัวความรักนะคะ เพราะความรักต่อพ่อแม่ เพื่อน ก็ยังอยู่รอบตัวเรา ถ้าโมไม่มีความรัก โมก็จะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ไม่สามารถเล่นละครได้ โมจะต้องซึมเศร้าแน่ๆ ถึงตอนนี้ คนที่ใช่สำหรับโม บางทีคนที่ต่างกันเยอะๆ ก็อยู่ด้วยกันได้ โมก็เลยไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นยังไง ตอนนี้กำหนดอะไรไม่ได้เลย

มุมมองความรักที่ผ่านมากับตอนนี้ มันเปลี่ยนไปตรงที่ โมไม่ได้คิด ไม่ได้หวัง หรือคิดไปไกล ว่าในอนาคตโมจะต้องแต่งงานอายุเท่านี้ มีลูกตอนอายุเท่านี้ มันเป็นไปไม่ได้ เราต้องอย่ามีแพลน เหมือนที่โมไปเที่ยวต้องอย่ามีแพลน เพราะฉะนั้นเราจะทำไม่ได้(หัวเราะ)

โมไม่ได้คาดหวัง ถ้าใครที่ทำให้เรามีความสุข มันก็คงแค่นั้น โมมองแค่ปัจจุบัน คนที่เข้ามาโมว่าจะต้องชอบอะไรคล้ายๆ กันด้วย แต่โมก็เคยเจอคนที่ไม่ได้มีอะไรที่เหมือนเรา แต่ก็คุยกันได้ โมว่ามันอยู่ที่ความรู้สึก หรือการถูกชะตาด้วยมากกว่า เรื่องความรักตอนนี้ก็เลยยังไม่ใช่เรื่องใหญ่ในชีวิต”

เรื่อง พิมพรรณ มีชัยศรี
ภาพ พลภัทร วรรณดี

ขอบคุณสถานที่ Talk of the Tree Cafe & Restaurant


กำลังโหลดความคิดเห็น