"สตรีไม่ใช่มลทิน อคติต่อสตรีต่างหากที่เป็นมลทิน" นักวิชาการฟันธงชัดเจน พระพุทธศาสนาไม่เคยกีดกันเพศหญิง!! บอกเลยไม่เห็นด้วยที่วัดดังแห่งเชียงใหม่ ปิดป้ายห้ามผู้หญิงขึ้น “อุโบสถเงิน” เจ้าอาวาสชี้ผิด “จารีต” เป็นเหตุให้เกิดความเสื่อม เตรียมจัดพิธีขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฝั่งนักประวัติศาสตร์ย้ำ ความเชื่อขัดแย้งหลักคำสอน “ประตูนิพพาน ไม่ใช่ประตูห้องน้ำ” เลิกแบ่งแยกหญิงชายกันได้แล้ว!!
“ขึด” แห่งล้านนา แค่ “ความเชื่อ” ไม่ใช่ “ความจริง”
[“อุโบสถเงิน” ประจำวัดศรีสุพรรณ]
“ตามความเชื่อคนเมืองแถวนั้น เขาว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ใต้อุโบสถ เขาถือว่าห้ามสตรีเข้า ถ้าเข้าไปแล้วหญิงนั้นต้องขึด! "ขึด" แปลว่าอัปรีย์, จัญไร, วินาศอัปรีย์”
“อ้น” สาวสองผู้อยู่ในเหตุการณ์การฝ่าฝืนจารีตวัดของ “สาวรุ่นใหญ่” กลุ่มหนึ่ง โพสต์คลิปผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Pimlapat Aonsee" เพื่อแฉพฤติกรรมการเข้าไปใน “อุโบสถเงิน” ประจำวัดศรีสุพรรณ วัดดังใน จ.เชียงใหม่ โดยบอกเล่าเหตุการณ์ไว้อย่างละเอียดว่า มีเจ้าหน้าที่วัดเข้าไปยกมือไหว้ ขอให้พวกเธอออกมา แต่มนุษย์ป้าก็ยังดื้อดึงอยู่ในนั้นราวชั่วโมงได้
กระทั่งคุณลุงวัย 40-50 ปี ผู้ดูแลอุโบสถ เกิดมีท่าทีเหมือนถูกองค์ลง เริ่มตะโกนด่า ไล่ให้กลุ่มเยี่ยมชมโดยไม่ได้รับอนุญาตกลุ่มนั้นออกมา ทั้งพระสงฆ์และสาวใหญ่กลุ่มเดียวกัน จึงเดินออกมาด้วยใบหน้าไม่รู้สึกรู้สา แม้ว่าทางวัดจะเขียนป้ายขนาดใหญ่ ระบุข้อห้ามเอาไว้หลายแห่งอย่างชัดเจนแล้วก็ตาม ทั้งบริเวณทางเดินเข้าอุโบสถเงิน และลานหน้าบริเวณเดียวกันนั้น
[กลุ่มสตรีที่ฝ่าฝืนจารีต เข้าไปในอุโบสถเงิน พร้อมพระสงฆ์นอกวัด]
"จารีตล้านนา ห้ามสตรีเข้าภายในพระอุโบสถ"
"ใต้ฐานอุโบสถ เขตพัทธสีมา (ภายในกำแพงแก้ว) ฝังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของมีค่า คาถาอาคม และเครื่องรางของขลังไว้กว่า 500 ปี อาจก่อให้เกิดความเสื่อมแก่สถานที่หรือตัวสุภาพสตรีเอง ตามจารีตล้านนา จึงห้ามสุภาพสตรีขึ้นอุโบสถหลังนี้"
เจ้าของคลิป ผู้พบเห็นเหตุการณ์ยังระบุเอาไว้ด้วยว่า แม้แต่ตัวเขาเองที่มีโครโมโซมเป็นเพศชาย ยังไม่กล้าฝ่าฝืนจารีตที่ทางวัดประกาศเอาไว้เลย หรือแม้แต่นักท่องเที่ยวต่างชาติก็ยังเคารพ เพราะมีภาษาอังกฤษเขียนเอาไว้บนป้ายเดียวกันอย่างชัดเจน แต่ทำไมคนไทยแท้ๆ อย่างมนุษย์ป้าเหล่านี้ ถึงได้ฝ่าเข้าไปได้ลงคอ จึงได้แต่บอกทิ้งท้ายแก่ชาวโซเชียลฯ เอาไว้ว่า ให้ทุกคนช่วยกันรักษาจารีตและเคารพสถานที่ด้วย
“ยังไงเราไปที่ไหนก็เคารพกฎกันด้วยนะคะ ฟ้ารู้ ดินรู้ สิ่งศักดิ์รู้นะคะ คนมียศมีอย่าง ไปกราบไหว้แท้ๆ ถ้าเป็นสตรียังไหว้ได้แค่รอยน้ำสีฟ้าเท่านั้นนะคะ #รักษาจารีต #รักษาระเบียบด้วยนะคะ”
[ป้ายตรงทางเข้า บอกเอาไว้ตัวใหญ่ชัดเจน]
หลังจากเรื่องราวในคลิปมีผู้เข้าชมทะลุหลักล้าน แถมยังถูกแชร์ไปตามที่ต่างๆ จนกลายเป็นประเด็นร้อน ทางเจ้าอาวาสวัดศรีสุพรรณ พระครูพิทักษ์สุทธิคุณ จึงออกมาให้รายละเอียดตามคำขอของสื่อมวลชน ยืนยันว่าพระร่วมคณะเดียวกันกับสาววัยใหญ่กลุ่มนั้น ไม่ใช่พระลูกวัด ทั้งยังบอกอีกว่าจะเตรียมจัดพิธีขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอุโบสถเงินหลังดังกล่าว ภายในวันที่ 31 ธ.ค.ที่จะถึงนี้ด้วย
“อุโบสถหลังนี้มีมาตั้งแต่ 517 ปี ทั้งฐานมีพัทธสีมาที่มีซุ้มเอามาครอบกัน แล้วก็มีคาถาอาคมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาเชื่อกันมา เป็นความเชื่อของชาวโบราณล้านนาเราว่า ให้เป็นที่ทำสังฆกรรม จำพวกบวชพระลงอุโบสถ ถ้าหากผู้หญิงขึ้นแล้วมันก็จะเสื่อม ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ห้ามแล้วไม่ฟัง มันก็อาจจะมีการโต้เถียงกัน ระหว่างคนท้องถิ่นที่อนุรักษ์ กับคนส่วนหนึ่งที่ไม่เชื่อ แต่คนโบราณเขาก็บอกแล้วว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่”
[พระครูพิทักษ์สุทธิคุณ เจ้าอาวาสวัดศรีสุพรรณ]
เพื่อทำความเข้าใจในความเชื่อเรื่องนี้ให้กระจ่าง ทางทีมข่าวจึงได้ต่อสายตรงไปยังผู้สันทัดอย่าง สมฤทธิ์ ลือชัย นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอุษาคเนย์ อาจารย์พิเศษในหลักสูตรอุษาคเนย์ศึกษาประจำมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงได้คำตอบว่าความเชื่อดังกล่าว น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากแถบพม่าและมอญ เพราะล้านนาอยู่ภายใต้การปกครองของพม่ามานานถึง 200 กว่าปี
ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพียง “ความเชื่อแฝงการกีดกันทางเพศ” ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา และไม่ได้สอดคล้องกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว
“ตามที่ผมได้เคยแวะเวียนไปที่พม่าหลายครั้ง ก็จะเห็นป้ายในลักษณะเดียวกันนี้บอกไว้เหมือนกัน และทุกครั้งที่เห็นป้ายห้ามแบบนี้ ก็จะรู้สึกขวางหูขวางตา ไม่เห็นด้วยอยู่เป็นประจำ
[ป้ายที่วัดพม่า บอกข้อห้ามสตรีเช่นเดียวกับไทย]
ในแง่ของคำอธิบายว่าทำไมถึงไม่ให้ผู้หญิงขึ้นไปในเขตที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะเขากลัวว่าสตรีจะทำให้มันเสื่อมลง ส่วนเหตุที่จะทำให้เสื่อมนั่นก็เป็นเพราะสตรีนั้นมีสิ่งที่เรียกว่าเป็นมลทิน นั่นก็คือ “ประจำเดือน” เป็นสิ่งที่จะไปทำลายคุณไสย ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้สถานที่นั้นๆ มัวหมอง ไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป
และความเชื่อเรื่องนี้ก็มาพร้อมกับความเชื่อชุดใหญ่อันหนึ่ง คือ "การรังเกียจสตรีในพุทธศาสนา" ซึ่งจะเข้มข้นมากทั้งในโซนของพม่า ไทย และประเทศที่นับถือพุทธแบบเถรวาท เราจะสังเกตเห็นว่าสตรีถูกกีดกันให้ออกไปจากพื้นที่ทางศาสนา”
เรื่องเพศแค่มายา! “ประตูนิพพาน” ไม่แยกชายหญิง!!
[ความวิจิตรภายในวัดพระศรีสุพรรณ]
เพราะเขตศักดิ์สิทธิ์จะมียันต์หรือมนตรากำกับไว้ สตรีซึ่งมีประจำเดือน และถือว่าเป็นมลทิน จึงถูกห้ามไม่ให้เข้า... นักประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมรายเดิม ยังคงยืนยันหนักแน่นว่ามันเป็นแค่ข้ออ้าง เพื่อให้น้ำหนักเรื่องมลทินจากฝ่ายหญิงมันมีความหนักแน่นมากขึ้น จนสามารถนำไปสู่การกีดกันทางเพศได้อย่างน่าเชื่อถือนั่นเอง
“ขอย้ำอีกทีว่า "สตรีไม่ใช่มลทิน อคติต่อสตรีต่างหากที่เป็นมลทิน" ในทางพุทธศาสนามองว่าชายหญิงเข้าถึงธรรมได้เหมือนกัน ที่นั่นไม่มีชายหรือหญิง ประตูนิพพานนะครับ ไม่ใช่ประตูห้องน้ำ ที่จะแยกชายหญิง แต่อย่าถามว่ารู้ได้ไง เคยไปเหรอ? ตอบชัดๆ ว่าไม่เคยไป แต่คิดว่าคงไม่ผิดครับ”
อาจารย์สมฤทธิ์โพสต์ความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นร้อนเอาไว้ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “Somrit Luechai” ซึ่งได้เซตค่าเป็นสาธารณะเอาไว้ เพราะอยากชี้แจงบอกกล่าวให้คนในสังคมได้มองเห็นทั้งข้อดีและข้อเสียของความเชื่อนี้ ด้วยหวังว่าการกีดกันทางเพศในลักษณะเดียวกันนี้จะหมดสิ้นไปเสียที
[อุโบสถเงิน ที่ห้ามสตรีขึ้นไป]
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะแสดงออกว่าคัดค้านความเชื่อในกรณีนี้อย่างชัดเจน แต่อาจารย์ก็บอกชัดเจนว่าไม่เคยดูถูกความเชื่อของใครๆ หรือชุมชนใดๆ หมายความว่าไม่ได้สนับสนุนให้ฝ่าฝืนจารีตของวัด บุกเข้าไปบนอุโบสถทั้งๆ ที่เขาเขียนป้ายเตือนเอาไว้แล้ว อย่างที่เกิดขึ้นในคลิป ในเมื่อไปยังสถานที่ของเขาก็ต้องเคารพกฎของเขา เพื่อให้สังคมไม่มีปัญหาความขัดแย้งเกิดขึ้น แต่ถ้าให้พูดถึงเรื่อง “ความถูกต้อง” แล้ว บอกเลยว่ายังไง “ความเชื่อ” ก็ไม่ใช่ “ความจริง” ตามหลักพุทธศาสนาอยู่ดี
“โดยส่วนตัว ผมเคารพความเชื่อของชุมชนหรือบุคคลนั้นๆ แต่ผมไม่เห็นด้วยต่อความเชื่อเรื่อง "การรังเกียจสตรี" ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก ไม่ใช่แค่เรื่องห้ามเข้าเขตพระธาตุหรือพระอุโบสถ แต่รังเกียจจนกระทั่งมาบวชเป็นภิกษุณีไม่ได้ หรือรังเกียจถึงขนาดที่ว่าให้พระแตะผู้หญิงไม่ได้ ซึ่งเราเป็นประเทศเดียวที่มีข้อห้ามนี้อยู่ ในโลกนี้ที่นับถือพุทธศาสนา ไม่มีที่ไหนห้ามขนาดนี้แล้วล่ะครับ
ถามว่าทำไมถึงต้องห้ามกันรุนแรงขนาดนั้น ด้วยความเชื่อของไทยที่มองว่าผู้หญิงเป็นมลทินไงครับ หรือถ้ามองแค่ว่าการแตะผู้หญิงจะทำให้เกิดกิเลส แต่กิเลสที่จริงมันไม่ได้เกิดที่มือนี่ มันเกิดที่ใจครับ แค่เห็นก็เกิดกิเลสได้แล้ว เพราะฉะนั้น นี่คือความรุนแรงที่น่ากลัวมากที่ยังเชื่อกันแบบนี้ พระวินัยไม่เคยบัญญัติเลยว่า ห้ามพระแตะผู้หญิง คงต้องรอให้ศาสนามีการฟื้นฟู หรือมีเวลาทบทวนตัวเองใหม่ ถึงจะแก้ความเชื่อเหล่านี้ให้หมดไปได้
ส่วนเรื่องที่ทางวัดจะทำพิธีขอขมา เรียกพระมาสวดหลังจากที่มีผู้หญิงขึ้นไปบนพระอุโบสถแล้ว ก็ถือเป็นความเชื่อของเขาที่จะมาขับไล่สิ่งที่ไม่เป็นมงคล แต่ถ้าพูดถึงเรื่อง "มงคล" ทางศาสนาแล้ว จะมองที่ "มงคล-อัปมงคล" กันจากเรื่องของการกระทำ
พุทธศาสนาไม่ได้สอนว่าผู้หญิงเป็น "อัปมงคล" หรือ "ความซวย" ความซวยคือการกระทำของเรา คือกิเลสของตัวเรา และความซวยที่สุดก็คือการไม่รู้จักรากของกิเลสสักที ไม่ว่าจะพระหรือคน นี่แหละคือความซวยและความอัปมงคลที่แท้จริง แล้วทำไมไม่ "ล้างความเชื่อ" นี้ล่ะ ไปทำพิธี "ล้างอุโบสถ" ทำไม
เวลาเราเสนอความคิดเห็นไป ผมไม่ค่อยสนใจว่าใครจะมองว่าผมไปส่งเสริมความเสื่อมให้ศาสนา ก็เป็นเรื่องของเขา แต่ประเด็นของผมคืออยากให้เอาข้อเสนอของผมไปใคร่ครวญพิจารณาว่ามันใช่หรือเปล่า ไม่ได้บอกว่าให้มาเชื่อผมนะครับ แต่ถ้าคุณเป็นพุทธ ให้ไปศึกษาดูเลยว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนไว้ว่ายังไง แล้วจะรู้ว่าแบบไหนถึงจะเป็นพุทธศาสนา แบบไหนคือความเชื่อ และแบบไหนคือความจริง”
ข่าวโดย ผู้จัดการ Live
ขอบคุณภาพ: travelpangsida.blogspot.com, workpoint news, amarintv