แถหรือไม่ถามใจดู! กองทัพสรุป “น้องเมย” เสียชีวิตจากปัญหาสุขภาพ จนหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ไม่เกี่ยวถูกรุ่นพี่ซ่อม พบปวดหัว ชอบป่วย นอนห้องพยาบาลบ่อย สังคมรับไม่ได้ผลสอบล่าสุดที่ย้อนแยงกับผลชันสูตรนิติวิทยาศาสตร์ ทั้งซี่โครงหัก ตับ ม้ามมีเลือดคั่ง และรอยช้ำตามร่างกายหลายแห่ง ปลงในกระบวนการยุติธรรม หวังพึ่ง “เวรกรรม”
โรงเรียนลูกผู้ชาย กล้าทำ (ไม่)กล้ารับ!?
การเสียชีวิตที่เคลือบแคลงเต็มไปด้วยพิรุธของ "น้องเมย" ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ นักเรียนเตรียมทหาร ซึ่งเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน จนทำให้คุณพ่อพิเชษฐ และคุณแม่สุกัลยา ตัญกาญจน์ ออกมาทวงความยุติธรรมร้องสื่อว่าลูกชายคือ น้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 เสียชีวิตในวันที่ 17 ตุลาคม 2560 หลังกลับเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร เพียง 1 วัน โดยไม่ได้รับคำชี้แจงจากผู้เกี่ยวข้อง ได้รับเพียงใบมรณบัตรชี้แจงสาเหตุการตายจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันเท่านั้น
จนครอบครัวต้องแอบนำศพเพื่อส่งให้หน่วยงานที่เชื่อถือได้ชันสูตร จนทำให้พบความลับบางอย่าง อวัยวะภายในหาย ซี่โครงหัก และรอยช้ำตามร่างกาย
ล่าสุด ในการประชุมคณะกรรมการสอบสวน ที่มี พล.อ.อ.ชวรัตน์ มารุ่งเรือง รองเสนาธิการทหาร เป็นประธาน ได้สรุปผลการเสียชีวิตของ น้องเมย แล้วว่า เกิดจากปัญหาสุขภาพ ที่เกิดจากหลายสาเหตุ ส่งผลให้หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน
หลังจากสอบ ปากคำ พูดคุยกับ นักเรียนเตรียมทหาร ที่เป็นเพื่อนและรุ่นพี่ เจ้าหน้าที่ ผู้เห็นเหตุการณ์ ครู นักเรียนบังคับบัญชา ทหารปกครอง ทหารเสนารักษ์ กองแพทย์รวม 41 คน ประกอบกับประวัติการรักษาทางการแพทย์และเข้าห้องพยาบาล มาตลอดของน้องเมย และคำให้การของนักเรียนเตรียมทหารทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้อง ยืนยันว่าน้องเมยไม่ค่อยแข็งแรงป่วยบ่อย เข้าห้องพยาบาลบ่อย และพบว่าก่อนหน้านี้ หกล้มที่ตรงบันได มีภาพวงจรปิดยืนยัน ตอนจะไปเรียนวิชาพละศึกษา แต่ ไม่ได้เกิดจากการถูกซ่อมแต่อย่างใด
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ เข้าใจดีว่ากระแสสังคมเชื่อไปแล้วว่า น้องเมย ถูกซ่อม เสียชีวิต แต่คณะกรรมการฯ จะนำหลักฐานทางการแพทย์การตรวจรักษาและภาพวงจรปิดรวมทั้งการให้ปากคำมายืนยัน และ จากปากคำของนักเรียนเตรียมทหารพบว่าน้องเมย ไม่สบายบ่อย มีอาการปวดหัวไม่สบาย และนอนอยู่ห้องพยาบาลบ่อยครั้งอีกทั้ง ก่อนเสียชีวิต 2 วันก็อยู่แต่ห้องพยาบาล คงไม่มีใครไปทำอะไรน้อง
อย่างไรก็ตาม ได้มีการสอบปากคำนักเรียนเตรียมทหารรุ่นพี่ ที่เป็นนักเรียนบังคับบัญชาที่เคยซ่อมน้องเมยเมื่อ เดือนสิงหาคม ด้วยท่าปักหัวโหม่งโลก นั้น ก็ได้ถูกปลดออกจากตำแหน่งนักเรียนบังคับบัญชา และถูกลงโทษไปแล้วอีกทั้งตอนนั้น น้องเนยก็กลับมาเป็นปกติ ดี หลังจากนั้น ซึ่งถือว่า จบตอนไปแล้วแต่ต่อมาก่อน เสียชีวิต 2วัน นักเรียนรุ่นพี่ยืนยันว่า ให้วิดพื้น ไม่ได้ทำหนักแต่อย่างใด
ซุกซ่อนความผิดให้ใคร?
สังคมตั้งข้อสงสัยมากมาย ถึงความไม่สมเหตุสมผลที่ขัดแย้งกับผลตรวจนิติวิทยาศาสตร์ การฟันธงว่า เกิดจากปัญหาสุขภาพ เสียชีวิตจากหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน หลายคนตั้งข้อสงสัยว่า หากร่างกายไม่แข็งแรงโรงเรียนเตรียมทหารจะรับน้องเมยเข้ามาเป็นทหารได้อย่างไร
เพราะนักเรียนเตรียมทหารทุกคนต้องผ่านการทดสอบสมรรถภาพร่างกาย ผ่านการตรวจร่างกายอย่างละเอียด กว่าจะได้เป็นนักเรียนเตรียมทหารมีความยาก ต้องเก่งทั้งวิชาการ และด้านสมรรถนะทางร่างกาย ต้องสอบผ่านวิชาพละในคะแนนสูง รวมทั้งมองว่า กองทัพกำลังปกปิดคนทำร้ายน้องเมยจนเสียชีวิต และไม่เชื่อผลสอบ พร้อมคำถามที่ไม่เคยได้รับคำตอบว่า “ซี่โครงหักเพราะอะไร รอยช้ำมาจากไหน”
สอดคล้องกับ สุพิชา ตัญกาญจน์ พี่สาวของน้องเมย ที่ออกมายืนยันผลชันสูตรรอบ 2 จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ระบุชัดพบรอยช้ำตามร่างกายหลายแห่งเชื่อเกิดจากการถูกทำร้าย ส่วนกระดูกซี่โครงซี่ที่ 4 ที่หักไม่ใช่เกิดจากการทำ CPR ผลจากการตรวจชิ้นเนื้อ พบว่าตับ และม้าม มีการคั่งเลือด จึงทำให้หลายคน “ไม่เชื่อ” ผลการตรวจสอบล่าสุดนี้ แต่ปกปิดความผิดให้ใครบางคนมากกว่า
อีกทั้งหลากหลายความคิดเห็นในโลกโซเชียลฯต่างเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า กองทัพไทย “แถ”
“กองทัพไทยพูดแบบนี้ แสดงว่าประชาชนหลายสิบล้านคนโง่มากกับเรื่องการตายของน้องเมย รวมถึงโรงพยาบาลและหมอที่ชันสูตรศพ ทั้งที่พบว่าซี่โครงหัก แต่กองทัพไทยบอกป่วยตาย เสียดายเงินภาษีที่พวกคุณได้ไป ปีๆนึงกี่หมื่นกี่แสนล้าน...ความละลายใจหาไม่มีเลย ปกปิดความผิดช่วยเหลือฆาตกร”
“เพิ่งจะรู้ว่าการที่นักเรียนสุขภาพไม่ดีแต่แรกแต่สามารถผ่านทุกด่านสอบสำเร็จแล้วพอเข้าไปเรียนก็ป่วยตายเอง #ขอบคุณความแถ..ติดตามมานานไม่เคยเม้นเลย แต่มาอ่านเจอข่าวนี้ ประชาชนกินข้าวไม่ได้กินหญ้า อย่ายอมแพ้นะคะ สู้ๆ นับวันประเทศไทยเราถูกปกครองด้วยระบบอะไร..คนผิดเป็นคนถูก ต่อไปคนดีคงตายอยู่ร่ำไป
“เรื่องทั้งหมดโดยส่วนตัวเชื่อว่าเป็นการซ่อมที่เกินกว่าเหตุ เพราะหลานชายดิฉันเรียนที่นี่ตอนนี้ปีสุดท้ายแล้วและผ่านขบวนการนี้มาเหมือนกัน แทบจะไม่รอดได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของทหาร ดีที่มีคนรู้จักภายในที่เป็นทหาร คิดเอาเองนะคะ เพราะฉะนั้นเรื่องทั้งหมด เป็นเรื่องจริงและนักเรียนที่นี่ ตายทุกปี ทุกคนมีชีวิตและรักชีวิตตัวเองเหมือนกัน ขอบคุณที่ออกมาเปิดเผยนะคะ .ขอให้คุณพระคุ้มครองครอบครัวของคุณ”
ทวงคืนความยุติธรรม..ให้ทหารบนฟ้า
ขณะที่เฟซบุ๊กส่วนตัวของคุณแม่น้องเมย Sukanya Tankan ได้โพสต์ภาพตนเองและสามี กำลังนำเถ้ากระดูกของน้องเมยไปลอยอังคาร พร้อมข้อความอันแสนเศร้าจากแม่ผู้สูญเสียลูกอันเป็นที่รักอย่างไม่มีวันกลับ พร้อมทวงคืน “ความยุติธรรม” ให้ลูกที่เป็นทหารอยู่บนฟ้าไม่ตายฟรี อย่างน้อยก็เพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลัง
“ได้ยินเสียงหัวใจแม่หรือเปล่าว่ามันเหงา อ้างว้างเมื่อขาดเมย สิ่งที่เหลือที่แม่พอจะทำได้ นั่นคือการตามหา "ความจริงให้พบเจอ" จะตามหาไม่ว่าจะอยู่ไหน จะตามไปทวงความยุติธรรมคืนมา จะตามหาถึงแม้จะไกลสุดฟ้าเพื่อให้มาซึ่งความเป็นธรรม แม่ขอแบกรับความทุกข์ไว้เอง”
“ขอกุศลและผลบุญที่ลูกได้ทำมาทั้งหมดนี้ ส่งผลต่อตัวลูกเองได้เดินทางสู่ภพภูมิสวรรค์เบื้องบน และแรงกุศลนี้จงช่วยดลบันดาลให้เกิดความยุติธรรมโดยเร็ววัน เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข กับคนรุ่นหลังตลอดจากนี้ต่อไป”
ด้าน พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ อดีตผู้อำนวยการสถาบันวิทยาศาสตร์ ยังชี้ว่า ผลตรวจน้องเมย ใช้เวลานานเกินไป ย้ำเป็นปัญหาเรื่องเชิงระบบ คือ 1.เป็นการตายในหน่วยงาน ไม่ว่าหน่วยงานใดก็ตามไม่ควรให้หน่วยงานนั้นเป็นผู้ตรวจ ไม่ได้คำนึงว่าเป็นทหารหรือไม่ ในส่วนนี้สหประชาชาติอยู่ระหว่างการผลักดันกันว่า ต่อไปนี้การตายที่อยู่ในการควบคุมของเจ้าพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ทหารหรืออะไรก็ตาม ที่อยู่กับเจ้าหน้าที่รัฐ จะต้องมีหน่วยงานกลางในการตรวจพิสูจน์
2.ญาติสามารถเข้าถึงข้อมูลและไม่สามารถซักถามได้เต็มที่ ทำให้เขาต้องไปหาแหล่งที่ 2 ในการตรวจพิสูจน์ ตรงนี้จะต้องแก้ไข เพราะประชาชนทุกคนมีสิทธิโดยตัวของเขาที่จะเข้าถึงข้อมูล
ทั้งนี้ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ ยังอธิบายว่า โอกาสเกิดโรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ในเด็กอายุ 19 ปี และเป็นเด็กหนุ่มที่แข็งแรงนั้น มีโอกาสเกิดขึ้นได้ แต่ต้องคิดว่าเขาเป็นอะไร เช่น หัวใจเต้นผิดปกติ กรณีไหลตาย หรือมีอะไรไปกระตุ้นให้หัวใจหยุดเต้น ซึ่งเป็นประเด็นได้ทั้งนิติเวชและไม่นิติเวช
การไหลตายไม่เป็นนิติเวช เพราะจู่ ๆ หัวใจก็เต้นผิดปกติแล้วก็เฉียบพลัน ที่เป็นประเด็นทางนิติเวชก็คือการกดที่คอ แตะที่ชายโครง บีบที่อัณฑะ จะก่อให้เกิดการกระตุ้นประสาทแล้วไปทำให้หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน เพราะฉะนั้นจะดูที่หัวใจอย่างเดียวไม่ได้ ต้องไปดูในส่วนอื่นๆ ประกอบด้วย กรณีหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันในกรณีนี้จึงไม่ใช่การตายโดยธรรมชาติ!
แม้การตายของน้องเมยหลายคนอาจจะมองว่ายังคลุมเครือ ไม่ได้รับการพิสูจน์ที่ชัดเจน และความยุติธรรมยังเป็นเรื่องที่จับต้องลำบาก สำหรับลูกชาวบ้าน แต่สำหรับเวรกรรมย่อมตามทันแน่นอน!