ยังคงป็นกระแสร้อนให้ได้ถกเถียงกันในสังคม จากกรณีที่ น้องเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 เสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำ ล่าสุดทราบข้อมูลเพิ่มเติมว่า ก่อนที่น้องเมยจะเสียชีวิตนั้น ได้ถูกรุ่นพี่ “ทำโทษ” หรือ “ธำรงวินัย” โดยการสั่งให้ใช้ศีรษะปักลงพื้นซึ่งเป็นตะแกรงเหล็ก พร้อมกับเอามือไพล่หลัง และยกขาทั้ง 2 ข้างสลับกันไปมา เป็นเวลากว่า 1 ชั่วโมง จนสลบและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล หรือนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้น้องเมยเสียชีวิต!!?
** แพทย์เตือน! “ท่าปักหัว” พา “หัวใจล้มเหลว”
หลังจากมีการเปิดเผยข้อเท็จจริงจากกล้องวงจรปิด และการสอบสวนต่างๆ ทราบมาว่าก่อนที่ น้องเมย-ภคพงศ์ตัญกาญจน์ นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 จะเสียชีวิตนั้น เขาได้ถูกรุ่นพี่สั่งทำโทษในวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมาจนสลบด้วย “ท่าหัวปักพื้น” เป็นเวลากว่า 1ชั่วโมง ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไปในโลกออนไลน์ ชาวโซเชียลฯ ต่างตั้งข้อสงสัยว่าการลงโทษด้วยท่าหัวปักลงพื้นเช่นนี้ เป็นการฝึกที่ช่วยในเรื่องอะไรกันแน่ หากเป็นท่าที่อันตราย เหตุใดถึงถูกให้ลงโทษด้วยท่านี้
โดย นพ.สิทธา ลิขิตนุกูล แพทย์สังคมสื่อสารเพื่อคุณธรรมได้ให้สัมภาษณ์กับอมรินทร์ทีวีว่า ท่าหัวปักพื้น คือการที่นำศีรษะลงทิ่มกับพื้น แล้วยกขาทั้งสองข้างขึ้น เป็นท่าที่ศีรษะออกแรงกดกับพื้น และมีการโค้งตัวเป็นตัววี ท่านี้ทำให้ศีรษะรับน้ำหนักมาก มีผลทำให้เลือดที่มาเลี้ยงสมองมีแรงกดดันมากขึ้น อาจทำให้เกิดการฉีกขาดของหลอดเลือดในสมอง ผลข้างเคียงคือ อาการปวดมึนศีรษะ คอแข็ง ตามัว เบลอ เห็นภาพซ้อน ชักเกร็ง และอ่อนแรง
มีผลกระทบกับกระดูกคอ ถ้าหากรับน้ำหนักผิดปกติจากแรงกด อาจทำให้เคลื่อนที่ เส้นประสาทคอที่เลี้ยงกระบังลม จะมีผลต่อเส้นประสาทคอ ที่เชื่อมต่อกับกระบังลม มีผลทำให้การหัวใจล้มเหลวได้ และอวัยวะช่วงตรงกลางลำตัว ตับ ไต ม้าม จะมีเลือดไปเลี้ยงน้อย อาจทำให้อวัยวะเหล่านี้เสื่อมได้ หากมีการยกขาขึ้นสลับข้างด้วย ยิ่งเป็นอันตราย
ในขณะที่ผู้ใช้เฟซบุ๊ก “ภาคย์ โลหารชุน” หรือหลายๆ คนรู้จักกันดีคือ พ.ท.นพ.ภาคย์ โลหารชุน ผู้บังคับกองพันเสนารักษ์ที่ 3 ได้โพสต์แสดงความคิดเห็นในมุมมองของทางการแพทย์เช่นกันว่า ท่านี้เป็นท่าปกติธรรมดา เพราะกล้ามเนื้อคอได้รับการฝึกฝนมาแล้ว ใครๆ ก็ทำได้ นานเป็นชั่วโมงก็ยังได้
พร้อมบอกอีกว่า รุ่นพี่ที่ผ่านหลักสูตรรบพิเศษไม่ว่า ทบ. ทร. ทอ. ตร. ที่ผ่านการฝึกท่าหัวปักพื้นมาอย่างโชกโชน จนอายุมาก หรือเกษียณไปแล้ว ก็ยังไม่เคยได้ยินว่ามีปัญหาสุขภาพจากท่านี้ เอาเวลาดรามาไปทำประโยชน์ส่วนรวมเรื่องอื่นจะดีกว่า
** รุ่นพี่บ้าอำนาจ สั่งซ่อมรุ่นน้องจนตาย
ขณะเดียวกัน รุ่นพี่ที่จบไปแล้วรวมไปถึงนักเรียนเตรียมทหารต่างพากันลุกฮือ ออกมาปกป้องสถาบันของตนเองและได้แสดงความคิดเห็นกันมากมาย แต่งานนี้ดูเหมือนการโพสต์ข้อความเหล่านี้ของนักเรียนเตรียมทหารดูจะขัดกับความเป็นจริงซักหน่อย เมื่อชาวโซเชียลฯ ท่านหนึ่งได้ตั้งข้อสงสัยว่าช่วงเวลาที่โพสต์ข้อความนั้นนักเรียนยังไม่ถูกปล่อยให้กลับบ้าน และตามกฎของโรงเรียนจะไม่ให้มีการพกโทรศัพท์เข้าไปใช้
จึงสงสัยกันว่านักเรียนเตรียมทหารเหล่านี้เอาโทรศัพท์จากไหนมาโพสต์ข้อความในช่วงเวลานั้น และมองว่านักเรียนเตรียมทหารเหล่านี้น่าจะหลงประเด็นเพราะประเด็นอยู่ที่สาเหตุของการเสียชีวิต ไม่ได้เกี่ยวกับสถาบันแต่อย่างใด
โดยข้อความที่นักเรียนเตรียมทหารออกมาโพสต์มีทั้ง อ่อนแอก็แพ้ไป ลูกผู้ชายเค้าจะเดิน บ้างก็บอกว่า ไม่เคยอยู่แล้วจะรู้ได้ไงว่าโรงเรียนที่พวกผมรักมันเป็นยังไง พร้อมแฮชแทก #โรงเรียนใครใครก็รัก หรือจะเป็น ไม่มีใครเข้าใจพวกเรานอกจากพวกเราเอง #เตรียมทหารขอบคุณครับ รวมถึง เอาจริงๆ ก็มีแต่คนที่เคยเป็นเท่านั้นแหละที่รู้ ไม่รู้ความจริงแล้วอวดรู้นั่นรู้นั่นแหละคือความไม่รู้ ตายในสนามรบเป็นเกียรติของทหาร ส่วนตัวผมยังไม่ตายดีกว่าเพราะยังมีอีกหลายหน้าที่ #เตรียมทหารขอบคุณครับ
นอกจากนี้ เพจแหม่มโพธิ์ดำ ยังได้โพสต์ข้อความจากนักเรียนเตรียมทหารคนหนึ่งเช่นกัน ระบุข้อความว่า ทุกวันนี้ก็เห็นเดินกันเต็มโรงเรียน ไม่เห็นมีใครจะเป็นไร #พื้นที่ของพวกผมไม่ต้องการคนอ่อนแอ #อยากให้ลูกสบายก็ส่งลูกไปเรียนมหาลัยไป๊
ด้านรุ่นพี่ที่จบโรงเรียนเตรียมทหารไปแล้วก็ตบเท้าออกมาโพสต์ข้อความบ้างเช่นกันว่า ยากที่จะบอกว่า ซ่อมไปทำไม ซ่อมไปเพื่ออะไร แต่เป็นทหารมันก็อธิบายให้พลเรียนฟังยาก เหมือนนกอธิบายปลาว่ากระพือปีกทำไม
แม้จะมีข่าวลือหนาหูออกมาจากทางฝั่งรุ่นพี่ว่า แท้จริงแล้วสาเหตุการเสียชีวิตของน้องเมยนั้น เป็นเพราะถูกพ่อแม่บังคับให้มาเรียนทั้งที่ร่างกายไม่พร้อม จนเป็นสาเหตุให้เสียชีวิต ทันทีที่เรื่องดังกล่าวถูกแชร์ต่อๆ กันไป เพื่อนสนิทของน้องเมยก็ได้นำจดหมายที่น้องเมยเขียนด้วยลายมือก่อนเสียชีวิต 3 เดือนออกมาพิสูจน์ความจริง พร้อมเผยความตั้งใจว่าน้องเมยอยากที่จะเป็นนักเรียนเตรียมทหารมาแต่เด็ก ไม่ใช่อยากเป็นเพราะพ่อแม่บังคับ งานนี้ก็เล่นเอารุ่นพี่ที่ปล่อยข่าวลือออกมาหงายเงิบไปตามๆ กัน
** ประสบการณ์เรียลๆ “คนใน” เท่านั้นที่รู้
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวผู้จัดการ Live ได้สัมภาษณ์ “รุ่นพี่” ท่านหนึ่งที่เคยเรียนเตรียมทหาร และเคยถูกซ่อมจากครูผู้ฝึกและจากรุ่นพี่ มาแชร์ประสบการณ์การให้ฟังว่า สมัยเรียนตอนนั้นย้อนไปเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วจำได้เลยนักเรียนใหม่ไม่มีคำว่าถูก มีปากเหมือนมีตูด ห้ามชี้แจง พูดได้แค่คำว่า ครับ ห้ามปฏิเสธทุกอย่าง คำว่าไม่ได้ ไม่ไหว ไม่มี
“คอมแมน” หรือรุ่นพี่ที่ถูกผู้บังคับบัญชาเลือกมาให้ออกคำสั่งกับรุ่นน้อง จะสรรหาเรื่องมาให้นักเรียนใหม่ได้เรื่อยๆ ทั้งเรื่องจริง เรื่องแต่ง เรื่องที่แสนจะงี่เง่าที่สุดในโลกก็มี เพื่ออะไรเพื่อทดสอบความอดทน ฝึกความอดทน ทั้งร่างกาย และจิตใจ โดนทำโทษสารพัดทั้งหมอบลุก พุ่งหลัง ดันพื้น ทิ้งบอมบ์ แถกกระดี่ ปั๊มน้ำ แบกโลก กระโดดกบ ม้วนหน้า ปล่อยม้า
“ผมเคยโดนลงโทษท่าปักหัว เป็นการถูกลงโทษนอกเกมจากรุ่นพี่ แม้จะเข้าใจว่ามันเป็นท่าฝึกความอดทน แต่เวลาโดนสั่งให้ทำท่านี้ ต้องอยู่นิ่งๆ เป็นเวลา 30 วินาทีเคยโดนนานสุด 1 นาที ติดต่อกันครึ่งชั่วโมง เป็นอะไรที่ยากมาก บางครั้งโดนสั่งบนพื้นซีเมนต์ร้อนๆ บ้างก็โดนบนพื้นที่มีก้อนหินขรุขระ หัวนี่ถลอกเลือดออกเลยทีเดียว และยังเคยโดนซ่อมท่าอื่นๆ สร้างความเจ็บปวดให้ร่างกายทั้งหัวแตก ไหล่หลุด หรือกระดูกข้อเท้าร้าวมาแล้ว ทั้งหมดนี้ฝีมือรุ่นพี่ทั้งนั้น”
รวมถึง ภาคภูมิ สุนทรสร อดีตพันตำรวจเอก ที่เกษียณอายุราชการแล้วก็ได้โพสต์แสดงความเห็นต่อประเด็นร้อนดังกล่าวว่า สมัยเป็นนักเรียนจวบจนมาทำหน้าที่ผู้บังคับกองร้อยนักเรียนสาย ตชด. การถูกจวกหรือการซ่อม จะทำแค่เพียง ดันพื้น พุ่งเท้า กลิ้ง หมอบคลาน ม้วนหน้า ม้วนหลัง กระโดดตบเท่านั้น แม้แต่ท่าสก๊อตจั๊มก็ใช้ลงโทษไม่มาก เพราะจะทำให้หัวเข่าเสียในอนาคต
โดยเฉพาะนักเรียนใหม่ ท่าพิสดารจะไม่กระทำเด็ดขาด และห้ามแตะต้องตัว คนที่ไม่เกี่ยวข้อง ห้ามซ่อมนักเรียน ยกเว้นผู้รับการฝึกกระทำความผิดซึ่งหน้า นั่นคือ บรรทัดฐานของการธำรงวินัย ที่อยู่ในขอบเขต ปัญหา คือ รุ่นพี่ที่ไม่เกี่ยวข้องในการปกครองมักรวมตัวเป็นกองโจร แอบจวกรุ่นน้อง และมักนำท่าพิสดารมาใช้ อันเกินขอบเขตที่ร่างกายจะรับไหว ผู้ที่ถูกซ่อมจะไม่มีใครออกมาโวยวาย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็ปิดปากเงียบ เพราะทุกคนที่เข้ามาล้วนเต็มใจตายในสนามรบหรือหลักสูตรพิเศษ ไม่ใช่ “ตาย” จากความเมามันของคนบางคน
อีกมุมมีผู้ปกครองบางส่วนมองเรื่องการลงโทษเป็นเรื่องปกติที่ควรมีในการฝึกวินัยภายในโรงเรียนเตรียมทหาร โดยผู้ใช้เฟซบุ๊ก Thanawat Rienprasert ซึ่งมีลูกชายเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ได้โพสต์ข้อความก่อนที่จะปิดเฟซบุ๊กไปว่า
#แลกให้ลูกผมตายแทนมั้ย! ถ้ามันทำให้ทุกอย่างจบ ไม่ได้โลกสวย! แต่มันเกินจุดบางๆ ไปแล้ว ถ้าลูกผมตาย ผมก็ร้องไห้ฟูมฟาย พี่น้องผมก็เสียใจ แต่ผมยอมรับและศรัทธาโรงเรียนเตรียมทหาร ที่เขาไม่ได้ตั้งใจหรืออยากให้ใครตาย
“นักเรียนเตรียมทหาร” ชื่อนี้ความหมายมันมากมาย ไม่ใช่ฆาตรกร ไม่ใช่เด็กเสเพล คิดแต่ว่าเด็กแค่ 18-19 แค่เด็กมัธยมไม่มีการยับยั่งชั่งใจ! แล้วกว่า60 รุ่น รุ่นละหลายร้อยนาย ที่เป็นผู้นำแทบทุกหน่วยในประเทศ เขาอายุเท่าไรตอนที่เป็น นตท. “หัวปัก!”
แม้ประเด็นดังกล่าวยังหาข้อสรุปการเสียชีวิตที่แท้จริงของ “น้องเมย” นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ที่เสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำไม่ได้ เพราะต้องรอผลการชันสูตรจากทีมแพทย์ แต่ก็นับเป็นประเด็นร้อนที่ชาวโซเชียลฯ ให้ความสนใจและรอฟังความชัดเจนว่าสุดท้ายแล้วเรื่องนี้จะจบลงเช่นไร ความจริงจะถูกเปิดเผยได้หรือไม่ ยังคงต้องติดตามกันต่อไป...