xs
xsm
sm
md
lg

ผิวแทน-กล้ามแน่น-ซิกแพกฟิต "เมจิ" สวยตะลึงหลังสลัดยาลดอ้วน!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เปิดใจ “เมจิ อโณมา” เจ้าของหุ่นสุดแซ่บ “กล้ามแน่น - ซิกแพกฟิต - ผิวสีแทนสวย” จากสาวขี้โรคสู่ไอดอลผู้รักสุขภาพ ลองผิดลองถูกมาทุกวิธี ทั้งอดอาหาร ออกกำลังกายสุดโต่ง กินยาลดความอ้วน จนสุดท้ายหันกลับมาสู่วิธีง่ายๆ แค่ออกกำลังกายให้พอดีและกินอาหารที่มีประโยชน์ กว่าจะสตรองแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย พูดได้เต็มปาก “เมจิทุกวันนี้แข็งแรงกว่าเมจิเมื่อ 10 ปีที่แล้ว”!

เคยเฉียดตายเพราะพึ่งยาลดน้ำหนัก!

“เมจิเป็นผู้หญิงตัวผอมตั้งแต่สมัยอยู่ในวงการ ตอนเมื่ออายุ 20 กว่าๆ น้ำหนัก 45 กิโลฯ ผอมมาก หลังจากนั้นพออายุ 33 น้ำหนักก็กระโดดขึ้นเป็น 60 - 62 ค่ะ เป็นอะไรที่วิกฤตมาก แล้วเมจิสุขภาพไม่ค่อยดี เป็นโรคภูมิแพ้ขั้นรุนแรง ตื่นมาตาจะบวม ตัวจะบวม น้ำมูกไหล บางทีผื่นขึ้น เกาจนแผลถลอกก็มี สิ่งที่เกิดขึ้นคือพอภูมิคุ้มกันตกก็ป่วยบ่อย มีผลข้างเคียงคือหดหู่ นอนไม่หลับ คิดมาก เคยถามคุณหมอ เขาบอกเป็นผลข้างเคียงจากอารมณ์ของคนสุขภาพอ่อนแอ


เมจิก่อนที่จะหันมาใส่ใจสุขภาพ

มันเหมือนชีวิตมันอยู่ไปวันๆ อยู่เหมือนผักเหมือนปลาค่ะ ก็เลยรู้สึกว่าถ้าอยู่อย่างนี้ มันไม่ใช่ชีวิตที่ดีเลย แล้วน้ำหนักก็เยอะ ทำอะไรก็เหนื่อย เจ็บข้อ เจ็บเอว เจ็บเข่า เจ็บไปหมด เครียดมาก กินเยอะขึ้นอีก เหมือนมันสะสมเป็นวงจรที่แย่ เมจิก็เลยคิดว่าถ้าไม่เปลี่ยนอะไร อายุมากกว่านี้คงแย่มากๆ ก็เลยมาปฏิวัติตัวเองเป็นจริงเป็นจัง เริ่มต่อสู้กับตัวเอง เปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนความคิดตัวเอง มันเหมือนกับว่าถ้าเมจิไม่รบกับตัวเอง จะไม่มีใครช่วยอะไรเมจิได้เลย”

“เมจิ-อโณมา ศรัณย์ศิขริน” อดีตนักแสดงสาว ลูกครึ่งไทย - ญี่ปุ่น วัย 39 ปี ที่ปัจจุบันผันตัวเข้าสู่วงการสุขภาพและการออกกำลังกาย บอกเล่ากับทีมข่าวผู้จัดการ Live ถึงที่มาก่อนจะมีร่างกายที่แสนจะฟิตแอนด์เฟิร์ม ทั้งกล้ามและซิกแพก บวกกับผิวสีแทนสุขภาพดีนี้ เธอต้องสู้รบกับหัวใจและร่างกายของตนเองอย่างหนัก ทำให้ทุกวันนี้ไม่หลงเหลือเค้าสาวขี้โรคในสมัยก่อนแม้แต่น้อย



เธอเล่าต่อไป ถึงช่วงชีวิตในตอนนั้น ที่ลองทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะน้ำหนักที่มากเกินตัว ทั้งการอดอาหาร การโหมออกกำลังอย่างหนัก ตลอดจนวิธีที่หลายคนเลือกใช้อย่าง ‘ยาลดน้ำหนัก’ ด้วยคิดว่าทางลัดนี้จะทำให้กลับมาเป็นสาวหุ่นดีอีกครั้ง แต่เมื่อลองใช้ยาลดน้ำหนักดูแล้ว เธอกลับพบว่า เป็นวิธีที่ผิดมหันต์

“ตอนแรกก็พยายามจะเปลี่ยนปุบปับ จากเป็นคนชอบกินไอศกรีม พิซซ่า ของหวาน ก็ไม่กินเลย จากคนไม่ค่อยออกกำลังกายก็มาออกหนักๆ เมจิคิดว่าต้องทำให้สุดโต่ง สิ่งที่เกิดขึ้นคือพังค่ะ ทรมานมาก ได้แต่ความทุกข์ทรมาน ท้อแท้ แล้วก็ไม่เห็นผลที่มันเกิดขึ้น เมจิเลยคิดว่า ถ้าทำสำเร็จเองไม่ได้ ก็เลยลองกินยาลดน้ำหนัก น้ำหนักเมจิลง แต่รู้สึกถึงความทรมานของหัวใจ ยามันทำให้ใจสั่น คล้ายคนดื่มกาแฟเอสเพรสโซ่ไปประมาณ 1 ลิตรเลยค่ะ นอนไม่หลับ อารมณ์เสีย แต่หลังจากยาหมดฤทธิ์ มันทำให้เมจิกลับไปกินเหมือนเดิม น้ำหนักมันก็ดีดขึ้นเหมือนเดิม



พอหัวใจสั่นก็กลายเป็นคนลุกลี้ลุกลน เสียบุคลิกภาพ การตัดสินใจในการทำงานผิดพลาดหมดเลย คนรอบข้างเวลาอยู่กับเราแล้วเขาไม่สบายใจ แล้วคุณภาพชีวิตของเราอยู่ไหน พูดตรงๆ ว่า ถ้าเทียบกับร่างกายที่สวย กับสิ่งที่ต้องเสีย เมจิคิดว่ามันไม่ใช่ สุดท้ายต้องกลับมาเริ่มทุกอย่างช้าๆ ดูว่าข้อดีของเราคืออะไร ศึกษาข้อมูลให้กว้าง และตัดสินใจจะไม่ตั้งเป้ากับตัวเองแล้ว

สุดท้ายเมจิคิดว่า กว่าแม่เราจะเลี้ยงให้เราโตมาเป็นคนต้องใช้เวลานานมาก ต้นไม้กว่าจะโตต้องใช้เวลาเป็นร้อยปี แล้วการที่เราจะเปลี่ยนนิสัยแย่ๆ ให้มันจบภายในชั่วข้ามคืนน่ะ เรากำลังพูดถึงเรื่องเพ้อฝัน เมจิคิดอย่างนั้น ก็ต้องกลับมาปลุกตัวเอง เริ่มใหม่ มันจะจบที่เมื่อไหร่ไม่รู้ ขอแค่ให้ตัวเองรู้สึกว่า ดีกว่าในทุกๆ วัน วันละเล็กวันละน้อย หรือล้มเหลวแต่ให้ได้อะไรจากมัน”



หลังจากนั้นปี 56 ผลลัพธ์จากการเริ่มดูแลตัวเองก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้น แม้จะไม่ได้ดีในชั่วข้ามคืน แต่ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปในทิศทางที่เธอพอใจและมีความสุขกับตัวเองในทุกวัน และที่สำคัญ อาการภูมิแพ้นั้นก็ทุเลาลงจนเกือบลืมไปแล้วว่าเคยเป็นหนักขนาดไหน

“เมจิเริ่มเรียนรู้ เห็นว่าร่างกายตัวเองเปลี่ยนไป เมจิส่องกระจกก็รู้สึกว่าไม่ได้ห่วงเรื่องน้ำหนักแล้ว อีกอย่างคือโรคภูมิแพ้มันหาย เมจิลืมไปเลยว่าตัวเองเป็น ทุกวันนี้ยาภูมิแพ้ไม่ได้ใช้เลย กินแค่อาหารกับออกกำลังกาย แล้วก็มีพวกวิตามินแร่ธาตุที่ไม่ใช่อาหารเสริมลดความอ้วนค่ะ ปีนี้เมจิอายุ 39 คิดว่าตอนนี้แข็งแรงกว่าผู้หญิงคนเดิมเมื่อตอน 20 ปีที่แล้ว ปัจจุบันน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 53-54 กิโลฯ จะหนักเท่าไหร่ไม่สำคัญ ขอให้มีร่างกายที่ฟิตแอนด์เฟิร์ม ไม่ผอมเกินไป แล้วก็ไม่ได้อ้วนจนมีไขมันสะสมจนเกิดโรค แค่นั้นเมจิพอใจแล้วค่ะ”


กินเยอะ ต้องจัดการให้เป็น


-บุฟเฟต์และของหวานต่างๆ กินได้ แต่ต้องออกกำลังกายด้วย

สมมติเราสั่งอาหารคลีน มากินแล้วรู้สึกว่าร่างกายเราดี แต่ก็แพงมาก เห็นเพื่อนๆ ไปกินข้าวขาหมูแล้วอิจฉา สุดท้ายเราก็จะหลุดจากอาหารคลีน เพราะรู้สึกว่าเสียดายตังค์ กินแล้วไม่มีความสุข เมจิเลยรู้สึกว่า ประเด็นคือจริงๆ เรากินอะไรก็ได้ เราไปกินข้าวขาหมูกับเพื่อน แค่เอาหนังออก ลดข้าวลง เพิ่มผักเข้าไป ก็ไปนั่งกินกับเขาได้ หรือจะกินส้มตำปลาร้า ลดข้าวเหนียวลง สั่งไก่ย่างเอาหนังออก
เราไม่จำเป็นต้องไปซื้อน้ำปลาโซเดียมต่ำ ตราบใดที่เรารู้จักกินน้ำปลาปกติแต่ตวงช้อน เราลดด้วยตัวเรา อย่าไปโปรดักส์มันบังคับจิตใจเรา เรานี่แหละคือตัวบังคับทุกวิ่งทุกอย่าง อย่างน้ำปลาโซเดียม ต่ำ พอกินแล้วมันอร่อยก็กะชุไป 3 ครั้ง สรุปก็มาโซเดียมเยอะเหมือนเดิม มันเป็นแคจิตวิทยาหลอกลวงผู้บริโภคที่มีจิตใจอ่อนแอ
วันไหนเมจิอยู่บ้าน พักผ่อน ไม่ได้ใช้พลังงานเยอะ ไม่กินข้าวเยอะ หรือถ้าเมจิรู้ว่าจะต้องทำงานทั้งอาทิตย์ วันอาทิตย์เมจิก็จะไปกินบุฟเฟต์ ถึงน้ำหนักจะขึ้นมาหน่อยก็ไม่กังวลเพราะในอนาคต เรารู้ว่าจะต้องเอาพลังงานไปใช้ เมจิก็เลยไม่กลัวในการกินเค้ก กินพิซซ่า เพราะพวกนี้ทำให้เราคลายเครียด แต่เราก็ต้องรู้ กินเสร็จแล้วต้องทำอะไรกับมัน ไม่ใช่กินเสร็จแล้วต้องมานั่งกลุ้มใจ แล้วก็ไม่ทำอะไรกับมัน สิ่งที่เราต้องคิดคือ ทำยังไงกับมันล่ะ ก็ต้องไปเผาผลาญทิ้ง เดี๋ยวมันก็ออกมาเอง อย่างแฟนคลับก็จะมาเม้นในไอจี ‘รู้สึกผิดมากเลยค่ะที่กินไอติม อยากจะเอาหัวตัวเองโขกกำแพง’ เมจิเลยบอกอย่าไปทำอย่างนั้นลูก มันแก้อะไรไม่ได้ เราต้องแก้ที่ปัจจุบันกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตค่ะ


ยอมรับเต็มปาก “บ้าออกกำลังกาย”

จากการลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงเพื่อเอาชนะความอ่อนแอของร่างกาย จนเกิดผลอันงดงาม สาวเมจิจึงอยากถ่ายทอดประสบการณ์นี้เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ผู้อื่น ในเวลาต่อมาเธอจึงสร้างช่องทางติดต่อบนโลกโซเชียลฯ ทั้งเพจเฟซบุ๊ก “Meiji Anorma” และอินสตาแกรม@meiji_27anorma ที่ ณ ตอนนี้มีผู้ติดตามถึงหลักแสน ซึ่งเธอจะคอยอัปเดตบทความสุขภาพ การกินอาหารและเทกนิกการออกกำลังกายในแบบฉบับของเธอเอง และทุกคอนเทนต์ที่เธอถ่ายทอดออกมา เธอได้ลองเอาตัวเองลงไปสัมผัสถึงข้อดีข้อเสียของการออกกำลังกายหลากหลายรูปแบบมาแล้วทั้งสิ้น

“ไอเดียการเขียนคอนเทนต์ บางทีมันแวบเข้ามาในหัว หรือมาเกิดจากคอมเมนต์ของแฟนคลับด้วย แม้กระทั่งตอนไปร้านกาแฟ เจอกาแฟที่มีทั้งสตีเวียหรือหญ้าหวาน น้ำตาลเทียม ครีมเทียม น้ำตาลทรายแดง สรุปแล้วกินอันไหนดีสุด อะไรแบบนี้ บางทีเกิดขึ้นสดๆ ณ ตอนนั้นก็มี ให้น้องตั้งกล้องถ่าย อัปโหลดเลยก็มีค่ะ เรื่องรอบตัวมันเป็นความรู้หมด


ได้รับเชิญเป็นวิทยากรตามหน่วยงานต่างๆ

การที่เราจะสอนใครสักคน ถ้าร่างกายเราอ่อนแอเราจะไปสอนเขาให้แข็งแรง มันเป็นไปไม่ได้ การที่เมจิจะเขียนคอนเทนต์ดูแลสุขภาพ แต่ตัวอ้วน พูดชักแม่น้ำทั้งห้า อ้างทฤษฎีร้อยแปด แล้วบอกคนอื่นให้ลดความอ้วน มันจะสอนใครได้ ถ้าตัวเองไม่ทำให้เกิดขึ้นแล้วเห็นผล ร่างกายเรามันคือคำตอบ เวลาออกกำลังกายก็ชอบคิดคอนเทนต์ใหม่ๆ ทุกวันนี้ห้องออกกำลังกายของเมจิมันเลยเป็นที่ที่คอยฝึกความรู้ ถ้าเมจิไม่ฝึกตัวเองทุกวัน มันจะทำให้เมจิไม่เกิดภาคปฏิบัติ

เมจิเห็นเทรนเนอร์หลายคนที่ไม่ยอมดูแลตัวเอง ทฤษฎีเขาเรียนรู้มาเยอะมากเลย แต่ตัวเองตุ้ยนุ้ย ทฤษฎีถามว่าจริงไหม จริงหมดนะ แต่คนเขาจะไม่ค่อยเชื่อ เพราะเขาไม่ลงปฏิบัติให้เกิดขึ้น เมจิเลยบอกว่า เวลาจะทำอะไร เมจิลงภาคสนาม เอาตัวเองไปก่อน เราจะได้ความรู้สึกมากกว่าแค่เห็นแค่ฟัง เหมือนเวลาเมจิเห็นเขาเล่นเครื่องกระโดดแล้ว อู้หู...มันมาก ไม่เห็นยาก พอลองจริงๆ ไอ้สิ่งที่พูดมามันคนละเรื่องเลย โคตรเหนื่อยเลย(หัวเราะ)”

และหากใครได้ที่ติดตามช่องทางโซเชียลฯ ของเธอ ก็จะพบว่า แต่ละภาพ แต่ละคลิปวิดีโอที่โพสต์ลง จะจัดเต็มไปด้วยข้อมูล และความแข็งแรงที่ปรากฏอยู่บนร่างกายเอง จนหลายคนพอกันอดสงสัยไม่ได้ว่า ต้องออกกำลังกายหนักขนาดไหน ถึงจะได้หุ่นแบบนี้มาครอบครอง



“ถามว่าส่วนตัวเมจิออกหนักไหม ออกหนักค่ะ(ตอบเสียงหนักแน่น) เพราะเมจิตั้งเป้าหมายให้ตัวเองว่า ต้องการที่จะพัฒนาเลเวลตัวเองไปเรื่อยๆ แต่ความหนักต้องอยู่บนความพอดี บางทีการออกกำลังกายหนักมันต้องปนความบ้า ความระห่ำ ไปด้วย(หัวเราะ) แต่ถ้าออกหนักเพื่อสุขภาพ ไม่หนักค่ะ เมจิยอมรับนะคะว่าเป็นคนที่พอถึงในระดับนึงแล้ว รู้สึกว่ามันไม่ลุ้นแล้ว มันไม่มีเป้าหมาย เมจิเลยตั้งเป้าหมายของตัวเองไปเรื่อย ทุกวันนี้บ้าค่ะ บ้าออกกำลังกาย(หัวเราะ) ยังไม่เชื่อเลยว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนึงจะยกน้ำหนักได้ตอนนี้ 80 กิโลแล้ว ซึ่งจริงๆ ไม่ควรนะคะ เราไม่ควรยกอะไรที่หนักเกินตัวน้ำหนักของเรา

เรื่องบ้าออกกำลังกายไม่มีใครปรามค่ะ เพราะสามี(เควิน คุค)เป็นนักกีฬากอล์ฟอยู่แล้ว เมื่อมันมาถึงจุดหนึ่งมันจะถอยกลับไม่ได้ ถ้าเขาจะออกไปตีกอล์ฟ เมจิก็ไม่ว่า การเป็นนักกีฬาที่ดี สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการฝึกซ้อม เขาก็เลยเข้าใจเมจิว่าถ้าวันนี้ที่เมจิต้องไปยิมเพื่อฝึกซ้อม อีกอย่างคือเมจิไม่ได้ไปเพื่อออกกำลังกายอย่างเดียว เมจิจะไปทำการบ้าน ไปดูว่าตอนนี้มันเกิดเทรนด์อะไรใหม่ๆ ไปเพื่อเปิดสมองแล้วก็พัฒนาร่างกายตัวเอง


เมจิและ เควิน คุค สามีชาวออสเตรเลีย คู่รักผู้ใส่ใจสุขภาพ

ถ้าเรื่องรูปร่าง เป้าหมายเป็นที่น่าพอใจแล้วค่ะ แต่สิ่งที่สำคัญตอนนี้ ต้องลดตัวเองให้บาดเจ็บน้อยลงดีกว่า ถ้าเกิดอาการบาดเจ็บ สิ่งที่ตามมาคือเมจิจะไม่สามารถออกกำลังกายพัฒนาอย่างอื่นได้ คือต้องลดความบ้าระห่ำของตัวเอง เมจิรู้สึกว่าพอสนุกแล้วมันไปเรื่อยเลยเตือนตัวเองว่าใจเราไหว แต่ร่างกายมันก็ไปตามอายุขัย อาการบาดเจ็บมันคืออุปสรรค เพราะฉะนั้นเมจิจะบอกน้องๆ ว่า ออกอะไรอย่าลืมคิดถึงอนาคตว่าต้องเก็บร่างกายไว้ใช้ตอนแก่ด้วย ออกกำลังกายไม่ใช่ทางออกที่จะทำให้แข็งแรงอย่างเดียว ถ้าออกหนักบางทีก็พังเหมือนกัน”

สำหรับผลงานของเธอตอนนี้ นอกเหนือจากการเขียนบทความแล้ว ทุกวันนี้เธอยังมีหน้าที่เป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้ด้านการออกกำลังกายและโภชนาการให้กับหลายๆ องค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงทำธุรกิจส่วนตัวร่วมกับสามี นำเข้าและส่งออกยารักษาโรคข้อ โรคกระดูก ระบบกล้ามเนื้อ ระบบหัวใจสำหรับน้องหมาน้องแมว เรียกได้ว่าสวยและเก่งครบทุกด้านของจริง


ซิกแพกไม่ใช่ทุกอย่าง!



เรื่องของซิกแพกซินโดรม เมจิรู้สึกว่าหลายคนกลายเป็นวิกลจริต ว่าจะต้องทำทุกวิถีทางให้ตัวเองมีซิกแพก ก็เลยกลายเป็นเหยื่อของการโฆษณา เครื่องสั่นเอามาแปะแล้วกระตุ้นซิกแพก อย่างนั้นนักกีฬาบอดี้บิวเดอร์ก็ไปซื้อมาแปะแล้วนอนกินพิซซ่ากันหมดแล้ว
ปัจจุบันระวังให้ดี พวกยาที่มันเป็นสารกระตุ้น สารฉีด มันระบาดมากในสังคมฟิตเนส เทรนเนอร์แทนที่จะเป็นเทรนเนอร์ที่ฝึกให้คนรู้จักออกกำลังกาย กลับกลายเป็นใช้คนออกกำลังกายภายนอก เบื้องหลังขายยาฉีดสารกระตุ้นให้เกิดซิกแพก ผลข้างเคียงคือเนื้องอกในตับ ฮอร์โมนทรุด
มีเด็กหลายคนที่เลือกไปทางลัด ถามว่ามีไหมซิกแพก มีค่ะ แต่ทางลัดเรียกว่าต้องจ่ายกันมหาศาลเลย ตับพัง ไตพัง อารมณ์ฮอร์โมนสวิง แต่เด็กบางคนสมัยนี้เขาขอสวยแต่ภาพลักษณ์ แต่บุคลิกภาพไม่ได้ เมจิอยากจะเตือนไว้ด้วย ถ้าเจอเทรนเนอร์ที่ขายยาพวกนี้ ไม่ควรค่ะ เมจิคลุกคลีวงการนี้มา เห็นว่ามันระบาดขึ้นเรื่อยๆ พวกนี้รายได้มหาศาล ทุกวงการมีทั้งคนดีคนไม่ดี ถ้าเราเจอเทรนเนอร์ที่ยัดเยียดขายยา ให้เลิกใช้เลย จริงๆ การที่เราจะมีสุขภาพดี เราต้องดูเรื่องการกินการออกกำลังกายเป็นหลัก มากกว่าการใช้ยาค่ะ


ลองให้รู้ วิถี ‘นักเพาะกาย’

อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ว่าแต่ละคอนเทนต์ที่สาวเมจิเขียน เกิดจากการพาตัวเองเข้าไปภาคสนาม เพื่อลองให้รู้ลึก รู้จริง ไม่ได้มีเพียงแค่ทฤษฎีลอยลม และอีกหนึ่งสิ่งที่เธออยากรู้และได้รู้ คือการเป็น ‘นักเพาะกายหญิง’ ที่ถือได้ว่าเป็นประสบการณ์การเตรียมตัวที่ทั้งโหดและหิน จนทำให้สาวสตรองอย่างเธอถึงกับเกือบถอดใจ ไม่ขอมีครั้งที่ 2 อีกแล้ว

“เมจิไปเป็นแขกรับเชิญในงานมิสเตอร์ไทยแลนด์ปี 2016 อยากรู้ว่า เวลาเราเห็นนักกล้ามผู้หญิงบนเวที เห็นเส้นเลือดปูด ตัวแห้งๆ หยิกไปเจอแค่ผิวหนังกับกล้ามเนื้อเนี่ย มันต้องทำยังไง ก็เลยตัดสินใจคุยกับโค้ช โค้ชถาม เอาจริงนะ สู้นะ เราก็สู้ค่ะ แกก็บอกถ้าตัดสินใจแล้ว ต้องกินให้ได้เหมือนกันทุกวันตลอด 3 เดือน เท่ากับเมจิต้องกินไก่ บล็อกโคลี ฟักทอง หัวมัน 4 มื้อ หลังจากนั้นเมจิกลัวไก่ไปเลย(หัวเราะ) ต้องกินให้แคลอรีเสมอ ต้องเทรนด์ให้หนัก เพราะการที่เราจะไปโชว์ตัวเพื่อให้กล้ามมันชัด ต้องเล่นให้เจ็บไม่ใช่เล่นให้เหนื่อย เมจิปั๊มกล้ามจนกล้ามมันเกิดอาการแสบ ยกจนยกไม่ไหวแล้ว จนเมจิน้ำตาไหลเลยค่ะ



ทีนี้พองานประกวด มันประมาณช่วงต้นเดือนเมษายน เมจิเดินทางมาได้ครึ่งทาง ช่วงนั้นคิดว่าเริ่มไม่ไหวแล้ว มันเหนื่อย เครียด แต่คิดในใจ ดูบอดี้ตัวเอง มันเริ่มมาแล้วว่ะ สามีบอกให้เมจิเต็มที่ อย่ากังวล ส่องกระจกดูตัวเองก็คิด เห้ย...เรามาไกลแล้วนะ กล้ามเริ่มเยอะ ไขมันเริ่มลง ก็ติดสินใจเดินหน้าต่อ เวลาเห็นใครโพสต์รูปส้มตำปลาร้า ข้าวเหนียว คิดในใจ เขาช่างมีความสุขเหลือเกิน เหมือนเราอยู่ในมุมมืด (หัวเราะ)

จนถึงวันสุดท้ายที่ขึ้นเวที นั่นแหละเมจิคิดว่าวันที่ขึ้นเวทีแค่เพียง 1 นาที กับการเตรียมงานมา 3 เดือน เมจิรู้สึกว่าสิ่งที่ได้ก็คือ กินเป็นนักกีฬากับกินเฮลท์ตี้มันคนละเรื่อง มันทำให้เมจิได้บทความอะไรมาเขียนในการเตือนน้องๆ อีกเยอะเลย ว่าการจะมีกล้ามแห้งๆ เห็นเส้นเลือด ไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีด้วย เชื่อไหมว่าน้ำหนักที่ลดไปเหลือ 49 น้ำหนักเมจิดีดขึ้นมาเป็น 57 เลย เหมือนร่างกายมันโหยหามานาน อย่าไปหลอกร่างกายเรานานค่ะ การเล่นกล้ามคือไดเอตสุดโลก หลังจากนั้นคืออาการโยโย่กลับค่ะ”


รูปร่างของเธอในช่วงที่เป็นนักเพาะกาย

เมื่อถามต่อไปว่า อยากลองกลับไปในแวดวงเพาะกายอีกสักครั้งหรือไม่ ไอดอลด้านการออกกำลังกายตอบแทบจะในทันทีว่า “ไม่เอาแล้ว”

“(หัวเราะพร้อมกับถอนหายใจใหญ่) เมจิสงสารร่างกายค่ะ ใจสู้นะ แต่รู้สึกว่าสิ่งที่เราทำคือเราทำร้ายร่างกาย มันโหดมาก แล้วเมจิรู้สึกว่า ช่วงที่ไดเอตมันทุ่มอยู่กับตัวเองคนเดียว เพราะเป้าหมายคือตัวเอง มันไม่มีหัวในการจะไปคิดอะไรเพื่อคนอื่นเลย แต่ทุกวันนี้เมจิคิดว่าจะทำคอนเทนต์นี้เพื่อใคร

เป้าหมายขึ้นเวทีเสร็จก็จบไป มันไม่ได้มีอะไร แค่รู้สึกถึงความสะใจ แต่ประโยชน์เพื่อตัวเองไม่มี ประโยชน์เพื่อสังคมไม่มี แต่สิ่งที่ได้คือได้เตือนสติตัวเอง แล้วก็ไปเตือนน้องๆ คนอื่นว่า ถ้าอยากจะมีหุ่นแบบนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย แค่คุณมีไขมันหน้าท้องที่ไม่มาก อาจจะไม่ต้องมีซิกแพก แต่ขอให้คุณอยู่อย่างสุขภาพดี นี่คือคีย์สำคัญ มันทำให้เมจิได้เข้าไปอยู่ในวงจร แล้วก็ออกมาสอนน้องๆ ได้ค่ะ”


“ผลิตภัณฑ์ออแกนิก” เทรนด์ฮิตทั่วโลก



“ตอนนี้ไม่ว่าไปประเทศไหน เทรนด์ออแกนิกมันมาแรงมาก โดยเฉพาะที่อเมริกาหรือที่ยุโรป ถ้าไปยุโรปเมืองเล็กๆ เขาจะไม่สนใจเลยคำว่าออแกนิก เพราะว่าเขาปลูกของเขาอยู่แล้ว ใครจะมาหลอกลวงไม่ได้ น้ำมันมะกอกก็สกัดกันหลังบ้าน ขนมปังก็ปั้นเองด้วยแป้งออแกนิก ต่างจากคนเมือง เมจิไปที่ที่เป็นเมืองหลวง พอเจอคำว่าออแกนิก มันเป็นสิ่งที่โหยหาเพราะเขาอยู่ไกล เป็นกันทั่วโลกค่ะ เราคิดว่าเราเป็นผู้ที่ควบคุมธรรมชาติ สุดท้ายจริงๆ เราไม่ใช่ผู้ควบคุมเราคือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ แต่พอเราคิดจะฝืนมัน สุดท้ายมันก็เกิดโรค

ทุกวันนี้เรากินอะไรที่ปรุงแต่ง กินอาหารแปรรูป ซึ่งในสมัยอดีต เราไม่ได้มีเลยพวกอาหารแพ็ก จะกินอะไรก็ทำกันสดๆ น้ำผลไม้ก็ดื่มสดๆ ไม่ได้มาใส่สารกันบูด อยู่ในกล่องเราก็ได้แค่น้ำตาล ส่วนวิตามินแร่ธาตุเราไม่ได้เลย สมัยคุณตาคุณยายเขาไม่มีหรอกเวย์โปรตีน เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญคือ ถ้าอยากมีสุขภาพดี อย่าคิดให้ยาก คิดกลับคืนสู่สามัญ ข้าวก็แค่เอามาหุง เนื้อสัตว์ที่ไม่แปรรูป คิดเมนูง่ายๆ แค่เปลี่ยนจากดิบเป็นสุก อันไหนที่กินสดได้ก็กินสด แค่นั้นเอง การกินเรียลฟู้ดคือคีย์สำคัญค่ะ”


หุ่นดีทางลัด = เรื่องเพ้อฝัน!

เมื่อได้พูดคุยกับเทรนเนอร์ตัวแม่ทั้งที ผู้สัมภาษณ์จึงใช้โอกาสนี้ ล้วงเคล็ดลับวิธีออกกำลังกายของเธอมาให้ได้ ว่าวิธีใดที่สามารถเห็นผลได้แม้จะมีเวลาน้อย ในสภาพสังคมที่เร่งรีบเช่นนี้ โดยเฉพาะคนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง ที่อาจจะหาเวลามาใส่ใจสุขภาพของตัวเองได้ยาก

“เห็นผลจริงๆ ไม่มีค่ะ(ตอบเสียงหนักแน่น) คำว่าเวลาน้อยแล้วเห็นผล มันจะเป็นลักษณะการกินยา เราต้องตั้งเป้าว่าถ้าเรามีเวลาน้อย ก็ขอให้เรามีสุขภาพดีอย่างที่เราเป็น แบบนี้มันจะถึงเป้าได้ดีกว่า ขอให้เราได้กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาบ้าง เช่น ถ้าเราต้องขึ้นรถไฟฟ้าทุกวันก็เดินขึ้นบันได ก็ตั้งเป้าว่าต่อไปนี้ 1 เดือน ฉันต้องต้องเดินขึ้นบันไดรถไฟฟ้าทั้งขาไปและขากลับ ถ้าทำครบ 1 เดือน นี่คือคำว่าเห็นผลในระดับที่ทำได้ แต่ถ้าคุณจะขึ้นบันไดรถไฟฟ้าแล้วเห็นซิกแพก แบบนั้นมันก้าวกระโดดไป


แค่ออกแรงยกของ ก็ถือว่าได้ออกกำลังกายไปในตัว

เพราะฉะนั้นเมจิจะบอกสาวๆ เราต้องเซ็ตผลด้วยการกระทำ ทีนี้เป้าใหม่ ถ้าทำได้แล้ว ให้เซ็ตผลอีกอัน อย่างต่อไปนี้จะออกไปวิ่งอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้งภายในเวลา 2 เดือน แผนร่างกายก็เหมือนแผนงาน ถ้าเรารู้จักวางแผนล่วงหน้า กำหนดอนาคตได้ อย่างวันจันทร์ก็ดูว่ามีช่องว่างตอนไหน เราก็ใส่การออกกำลังกายเข้าไปสัก 15 นาที

แต่บางคนจะออกกำลังกายตามความรู้สึก วันนี้ฉันว่างก็ออก วันนี้ฉันไม่ว่างก็ไม่ออก มันก็ทำร่างกายของเราไม่สม่ำเสมอ การที่เราจะทำให้ร่างกายของเราให้เกิดเป็นรูปธรรม เราต้องใช้ความต่อเนื่อง ถ้าเกิดเราใช้ตามอารมณ์ ผลงานก็จะเป็นแค่เป้าหมายที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง พอหมดอารมณ์ก็หายไป 3 เดือน สุดท้ายเป้าหมายมันก็ลอยอยู่ ไปไม่ถึงซะที ก่อนที่เราจะไปคว้าดาว เราต้องสร้างดาวของตัวเองก่อน แล้ววันนึงเรานะเห็นว่าบันไดมันเริ่มก่อตัวสูงขึ้น การคว้าดาวมันก็ไม่ยากแล้ว แค่นี้เองค่ะ”


เลือกกินอาหารที่ไม่ปรุงแต่งมาก

เจ้าของเรือนร่างสุดแข็งแรง ได้สรุปทิ้งท้าย ถึงเรื่องการออกกำลังกายที่ดี คนที่แข็งแรงไม่จำเป็นต้องมีซิกแพกเสมอไป หากแต่เป็นคนที่สามารถปรับการออกกำลังกายให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของตนเองในแต่ละวันได้ และกินอาหารที่ไม่ปรุงแต่งอะไรให้มากมาย

“อย่าไปคิดว่าออกอะไรดี ขอแค่เคลื่อนไหวตัวเองให้บ่อย เดินขึ้นบันได อย่านั่งแช่นาน อย่างนั่งในออฟฟิศก็ลุกขึ้นมาเดินบ้าง ยืดเส้นยืดสาย อย่าไปคิดให้หนักถ้าตัวเองไม่มีเวลา ออกกำลังกายเป็นเรื่องใกล้ตัว แค่ใช้การแอกทีฟตัวเอง อย่างเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตซื้อของไม่กี่อย่างก็ใช้ตะกร้า เปลี่ยนมาสะพายกระเป๋าข้างที่ไม่ถนัดบ้าง เราจะได้ไม่เป็นคนที่แข็งแรงข้างเดียว



การออกกำลังกายที่ดีคือ 1.ต้องเข้ากับไลฟ์สไตล์ตัวเอง 2.ออกเท่าที่เวลาที่ตัวเองมี 3.ไม่ทรมานตัวเอง ออกให้เหมาะกับวัย คนวัย 40 จะให้ไปบ้าพลังเหมือนหนุ่มๆ ก็ไม่ได้ หรือเด็กหนุ่มๆ จะไปยืนแกว่งแขนเหมือนอากงอาม่ามันก็ไม่ใช่ เมจิจะบอกว่า คนที่แข็งแรงที่สุดในโลก ไม่ใช่คนที่ยกเหล็กได้หนักที่สุด แต่เป็นคนที่รู้จักดัดแปลงการออกกำลังกายและการกินให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ในแต่ละวัน นั่นแปลว่าคนๆ นี้จะต้องปรับโหมดทุกวัน เพราะเราวันนี้กับเราเมื่อวานก็ไม่เหมือนกัน ถ้าใครสามารถทำแบบนี้ได้ทุกวัน รู้จักยืดหยุ่น เมจิคิดว่าคนแบบนี้สมาร์ตที่สุดในการดำรงชีวิตค่ะ

ตอนนี้เมจิคิดว่าตัวเองมาถึงจุดที่พอใจหมดแล้วค่ะ ซิกแพกมันขึ้นๆ ลงๆ ไม่ได้ไปกังวลอะไรกับมันมาก ก็ดูแลตัวเองไปตามสถานการณ์ เป้าหมายตอนนี้คือ อยากเปลี่ยนสังคมให้ทุกคนหันมาใส่ใจสุขภาพมากกว่าในเรื่องของรูปร่าง ถ้าเกิดคุณไปกังวลที่จะเปลี่ยนรูปร่าง แต่เปลี่ยนนิสัยการกินไม่ได้ สิ่งใหญ่มันจะเปลี่ยนได้ยาก ถ้าสุขภาพดี รูปร่างที่ดีจะตามมาค่ะ”

สัมภาษณ์โดย : ผู้จัดการ Live
ภาพ : พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณภาพ : อินสตาแกรม@meiji_27anorma
ขอบคุณสถานที่ : ฟิตเนส 911 by JT
กำลังโหลดความคิดเห็น