xs
xsm
sm
md
lg

จับพิรุธ! “คดีน้องเมย” หัวใจล้มเหลวหรือโดนซ่อมจนร่างกายรับไม่ไหว?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ลับลวงพราง?! พิรุธหนักมาก กรณีนักเรียนเตรียมทหารน้องเมย ตายอย่างมีเงื่อนงำ ครอบครัวติดใจหลายประเด็น ทั้งสาเหตุการเสียชีวิตที่อ้างว่าหัวใจล้มเหลว ทั้งที่เป็นคนหนุ่มแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว รวมทั้งการผ่าพิสูจน์ศพที่ได้นำอวัยวะ หลายส่วนออกไป ไหนจะกระดูกซี่โครงหัก มีร่องรอยบอบช้ำ ตั้งข้อสงสัย? หัวใจล้มเหลวหรือโดนซ่อมจนร่างไม่ไหวกันแน่? ด้านกองทัพแจงแปลก ไม่ได้หาย แต่เก็บอวัยวะไว้ตรวจเชิงลึก!

ไม่แข็งแรง สอบติดนายร้อยได้ไง?

การตายสุดฉงนน่าสงสัยของน้องเมย -ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ที่หลายคนยังคาใจอยู่ตอนนี้ว่า เสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ได้อย่างไร เพราะในเมื่อทางครอบครัวยืนยันว่า น้องเมยแข็งแรงดี สอบวิชาพละได้คะแนนเกือบเต็ม ขัดแย้งกับทางกองทัพไทยที่ชี้ว่า น้องเมยอาจมีโรคประจำตัว

“การที่เสียชีวิตด้วยหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน หรือหัวใจล้มเหลว ที่มีข้อพิรุธ คือเขาไม่ได้บอกสาเหตุการเสียชีวิตว่าเกิดจากอะไร เขายังไม่มีคำตอบให้ผม ไม่ว่าจะเป็น ผอ.ทางกองแพทย์ หรือ ทางโรงเรียนเตรียมทหาร เขาก็จะคุยหนีไปมา หลบไปมา จนผมต้องไปคุยหลายครั้งแล้ว คือผมไปคุยกับ ผอ. กองพยาบาล เขาก็ตอบคำถามแบบย้อน และก็แย้งจากตัวเขานะ”พิเชษฐ์ ตัญกาญจน์ คุณพ่อน้องเมย กล่าวอย่างไร้ซึ่งความหวัง

ด้าน สุพิชา ตัญกาญจน์ พี่สาวน้องเมย ยืนยันหนักแน่น ปกติน้องชายแข็งแรงดี อาจจะมีอาการป่วยบ้างเหมือนกันแต่ไม่รุนแรง ก่อนจะเสียชีวิตในวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา มีนักเรียนในฐานะผู้บังคับบัญชา ได้มีการธำรงวินัยน้องชายจนเกินกว่าเหตุ ทำให้หมดสติ ชีพจรต่ำ เกือบจะเสียชีวิต แต่น้องยังมีร่างกายแข็งแรงทำให้ปั๊มหัวใจฟื้นขึ้นมาได้ ส่วนที่รู้นั้นเนื่องจากพ่อบังคับให้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนเสียชีวิต

ย้อนแยงกับการแถลงของกองทัพไทย โดย พล.ต.กนกพงษ์ จันทร์นวล ผู้บัญชาการโรงเรียนผู้บัญชาการโรงเรียนเตรียมทหาร เปิดเผยว่า ก่อนที่น้องเมยจะเสียชีวิต มีอาการเป็นลมจนถูกนำตัวส่งที่กองแพทย์ฯ จากนั้นหมดสติ และเสียชีวิตในเวลาต่อมาที่โรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า

“ในวันก่อนเกิดเหตุวันที่ 17 ต.ค. น้องเป็นลม และมีการพามาส่งห้องพยาบาล ส่วนวันจันทร์ ก็มีการทำกิจกรรมตามปกติ มีการวิ่งก่อนรับประทานอาหาร พบว่าน้องมีการหายใจเร็วกว่าปกติ จึงถูกส่งไปที่กองแพทย์ โดยมีกล้องวงจรปิด ว่าอยู่ที่กองแพทย์ในช่วงเช้า เที่ยงมีการโทรศัพท์คุย และอยู่กับเพื่อนทั่วไป ตอนบ่ายมีการเดินคุยโทรศัพท์ช่วง 15.00 น. เมื่อเวลา 16.00 น. ก็เกิดอาการขึ้น โดยพบว่าน้องโทรศัพท์คุยกับครอบครัว และระหว่างที่ครอบครัวโทรกลับมาหา ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้นำโทรศัพท์ไปให้ที่ห้องพักในบริเวณกองแพทย์ น้องก็ทรุดตัวลง มีการเข้าช่วยเหลือ และนำส่งโรงพยาบาลทันที”

ขณะเดียวกัน พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ยืนยันว่า การเสียชีวิตของ น้องเมย นั้นไม่ได้เกิดจากการเป็นโรคลม หรือฮีสโตรก โดยแพทย์ผู้ชันสูตรได้ชี้แจงไปแล้ว ซึ่งคาดว่า น้องเมยน่าจะมีโรคประจำตัวมาก่อน แต่ไม่ได้ร้ายแรงหรือขัดกับการเป็นนักเรียนเตรียมทหาร

สอดคล้องกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้สาเหตุการเสียชีวิตของ น้องเมย เกิดจากสุขภาพส่วนตัว ไม่ใช่การซ่อมทำโทษจนเสียชีวิต ข้องใจป่วยแล้วเข้ามาเป็นนักเรียนทหารได้อย่างไร

แม้แต่รุ่นพี่นักเรียนเตรียมทหารอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังสงสัยว่าสุขภาพไม่แข็งแรงสอบเข้าไปเรียนได้ยังไง เพราะนักเรียนเตรียมทหารทุกคนต้องแข็งแรง

“วัฒนธรรมการซ่อม” นตท.ตายทุกปี?

รวมถึงพิรุธใน “วัฒนธรรมการซ่อม” หรือการธำรงวินัย ที่หลายคนมองว่ากลายเป็น วัฒนธรรมของทหารที่สืบทอดกันมาหลายต่อหลายรุ่นจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เช่นในสมุดบันทึกประจำวันของน้องเมย รวมถึงแชตที่ระบายว่า โดนรุ่นพี่ซ่อม และเคยบอกกับคุณแม่ว่า ร่างกายยังไม่หายดีเลย ระบมไปหมดแล้ว”

สอดคล้องกับครูโรงเรียนกวดวิชาเตรียมทหารชื่อแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี ที่ น้องเมยร่ำเรียนมา 2 ปีเพื่อสอบเตรียมทหาร เผยสาเหตุสำคัญที่ทำให้น้องเมยเสียชีวิต ผู้บัญชาการปล่อยปะละเลย ให้นักเรียนรุ่นพี่ที่วุฒิภาวะเทียบเท่า ม.5 และ ม.6 ปกครอง และลงโทษรุ่นน้องโดยไม่คำนึงถึงเหตุร้ายต่างๆ แฉ 3-4 ปีมานี้มีนักเรียนเตรียมทหารตายทุกปี

“นักเรียนที่เข้าไปเรียนโดยมีความตั้งใจที่จะจบมา เพื่อทำงานรับใช้ประเทศชาติและแทนคุณแผ่นดิน กลายเป็นว่าเข้าไปเพื่อรับใช้ความบ้าคลั่งในใจของรุ่นพี่บางคน จนทำให้หมดโอกาสที่จะทำตามความตั้งใจที่ตั้งไว้แต่แรก หรืออาจจะมีข้อโต้แย้งว่าเป็นนักเรียนทหาร เป็นนักรบ ต้องฝึกหนัก ข้อนี้ผมเห็นด้วย แต่พวกท่านลืมไปหรือไม่ว่า น้องๆ ที่เข้าไปนั้น เป็นเพียงนักเรียนที่มีอายุเพียง 16-18 ปีเท่านั้น สมควรแล้วหรือไม่ที่จะทำการฝึกหรือลงโทษกันจนต้องบาดเจ็บ และเสียชีวิต”

แฉ!สาเหตุเพราะระบบงานในโรงเรียนเตรียมทหารล้มเหลว ขาดการเอาใจใส่จากผู้บังคับบัญชา ปล่อยปะละเลยให้นักเรียนรุ่นพี่ปกครองรุ่นน้อง ซึ่งมีวุฒิภาวะเทียบเท่า นักเรียนชั้น ม.5 และ ม.6 ปกครองกันเองโดยไม่คำนึงถึงเหตุร้ายต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น ขณะเดียวกัน วัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาอย่างผิดๆ ในส่วนของการสั่งโทษ ที่เรียกว่า การแดก กันจนเกินสมควร จนมีการบาดเจ็บ และสืบเนื่องมาจนถึงการที่มีผู้เสียชีวิต ซึ่งพบว่ามีนักเรียนเตรียมทหารเสียชีวิตทุกปี ในระยะ 3-4 ปีมานี้

พร้อมกันนี้ ยังเรียกร้องให้ทางโรงเรียนเตรียมทหาร ได้ลงมาดูแลนักเรียนที่เข้าไปเรียนในโรงเรียนบ้างว่า มีความเป็นอยู่กันอย่างไร โดยไม่ใช้คำว่า "สมัยก่อน เจอมาหนักกว่านี้" ซึ่งถือว่าเป็นข้ออ้างในการปัดความรับผิดชอบอย่างมาก ถ้าน้องเมย ไม่ถูกทำโทษจนเกินสมควร เหตุการณ์แบบนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น

“สมัยที่เป็นนักเรียนเตรียมทหาร ก็เคยถูกซ่อมจนสลบ แต่ไม่ตาย” พล.อ.ประวิตร รุ่นพี่นักเรียนเตรียมทหาร ยอมรับพร้อมเผยว่าการซ่อมเป็นเรื่องปกติ ย้ำถ้าใครอยากเป็นทหาร ต้อง ทำใจ ระเบียบธำรงวินัยให้ได้ วอนอย่านำเรื่องการซ่อม ไปโยงกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน ชี้หากไม่อยากให้เกิดเหตุแบบนี้ ก็ไม่ต้องมาเป็นทหาร เพราะคนที่จะมาเป็นทหาร ต้องเต็มใจและยอมรับการธำรงวินัยได้

มุบมิบเก็บอวัยวะสำคัญ ไม่แจ้งญาติ?

สำหรับการเก็บอวัยวะภายในของน้องเมยไว้ทั้งสมอง หัวใจ กระเพาะปัสสาวะ และตับไต โดยไม่ได้บอกครอบครัวจนทำให้สังคมตั้งข้อสงสัยในความเคลือบแคลงนี้นั้น แพทย์นิติวิทยาศาสตร์ ยืนยันเก็บชิ้นส่วนผู้เสียชีวิต กรณีการตายผิดธรรมชาติโดยไม่บอกญาติ ไม่ถือว่าผิด

นอกจากนี้ ยังชี้แจงว่า ทางสถาบันพยาธิวิทยา ศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้า เป็นสถาบันที่มีนักเรียนแพทย์ศึกษาอยู่ด้วย เมื่อเกิดกรณีการตายผิดธรรมชาติแบบพิเศษ อาจจะมีการเก็บชิ้นส่วนอวัยวะเพื่อให้นักศึกษาแพทย์ได้ทำการศึกษาต่อไป และทาง รพ.พระมงกุฎฯ จะส่งสมอง หัวใจ กระเพาะอาหารน้องเมยมาให้ ไม่เกินสิ้นเดือนนี้จะทราบผลชัดเจน

ทว่า เหตุใดจึงไม่แจ้งให้ครอบครัวน้องเมยทราบให้ชัดเจนตั้งแต่ทีแรกว่าจะเก็บไว้ตรวจเชิงลึก จนทำให้ครอบครัวเกิดความสงสัยถึงกับมีการเผาหลอกในวันฌาปนกิจ โดยแอบนำศพน้องเมยออกด้านหลังเมรุ เพื่อนำร่างลูกชายไปผ่าชันสูตรรอบ 2 ทำให้ทราบว่าอวัยวะภายในของน้องเมยอันตรธานหายไป!

ด้านแพทย์หญิงปานใจ โวหารดี ผู้อำนวยการกองส่งเสริมและพัฒนานิติวิทยาศาสตร์ ระบุว่า ในกรณีที่เป็นการตายแบบผิดธรรมชาติ หรือเกี่ยวข้องกับทางคดีความ ทางแพทย์สามารถเก็บชิ้นส่วนเอาไว้ได้ โดยที่ไม่ต้องแจ้งญาติ แต่ต้องแจ้งพนักงานสอบสวนในท้องที่นั้นๆ เพื่อที่จะเป็นพยานหลักฐานทางคดีความต่อไป


อย่างไรก็ตาม การบอกกล่าวเรื่องการเก็บอวัยวะของผู้เสียชีวิตให้กับทางญาติเป็นสิ่งที่ควรต้องบอกกล่าวมิใช่หรือ ?

“ขั้นตอนการเก็บชิ้นเนื้อ ส่วนใหญ่แพทย์ผู้ทำการเก็บจะแจ้งกับญาติผู้เสียชีวิตด้วยวาจา ว่าจะมีการเก็บ แต่จะไม่ได้มีการลงรายละเอียด ไม่มีการลงบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร จึงเชื่อว่าจะเป็นเรื่องของการสื่อสาร ทำให้เกิดความเข้าใจผิดตามมาได้” ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ. อำนาจ กุสลานันท์ อุปนายกแพทยสภาคนที่ 1 และอดีตหัวหน้าภาควิชานิติเวช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าว

นอกจากนี้ หลังจากการเก็บตัวอย่างอวัยวะ หรือ ชิ้นเนื้อ แล้วจะมีการแจ้งญาติให้มารับอวัยวะกลับ หรือ บางคนก็ไม่มา ทางนิติเวชที่ชันสูตรก็จะรวบรวมอวัยวะเหล่านั้นไปทำการฌาปนกิจพร้อมกัน หรือ บางชิ้นนำเก็บไว้ เพื่อประโยชน์ทางการศึกษา หรือเข้าพิพิธภัณฑ์ เพื่อให้นักศึกษาแพทย์ได้ศึกษาต่อไป ส่วนกรณีพบกระดาษทิชชูในสมอง คาดว่าทำไปเพื่อให้เกิดความสวยงามในระหว่างการเย็บศพ เพราะหากเอาสมองออกไป บริเวณนั้นจะยุบหายไม่สวยงาม

ข้อพิรุธเหล่านี้ จะได้รับความยุติธรรมและความกระจ่างเมื่อไหร่ หรือจะปล่อยให้เป็นแค่การตายของเด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น?
กำลังโหลดความคิดเห็น