พระเกียรติกึกก้องประจักษ์ชัด! ทั่วโลกประกาศสดุดี “องค์พ่อหลวง ร.๙” กษัตริย์นักพัฒนาผู้ทรงงานหนักและตรากตรำพระวรกายมายาวนาน 70 ปี ทรงวางรากฐานพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ได้รับคำกล่าวขวัญ คำชมจากทั่วโลก ได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลจากองค์กรต่าง ๆ มากมาย ผู้นำโลกต่างสรรเสริญยกย่อง “บุคคลต้นแบบในประวัติศาสตร์โลก” สดุดีพระเกียรติคุณให้เป็นที่ประจักษ์ทั่วโลก
จอมกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ “คิงภูมิพล”
“การเป็นพระเจ้าแผ่นดินนั้น ต้องเป็นตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีเวลาหยุดได้” พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตอกย้ำถึงการเป็นกษัตริย์ผู้ทรงงานหนักมากที่สุดในโลก
ความเป็นนักปราชญ์ และพระอัจฉริยะในด้านต่างๆ รวมถึงการเป็นนักปกครอง ทำให้พระองค์ ได้รับการยกย่องมาตลอดการครองราชย์นาน 70 ปี แม้แต่บุคคลระดับผู้นำประเทศ อย่างสมเด็จพระราชาธิบดี นัมเกล วังชุก พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรภูฏาน ยังทรงตามรอยพ่อหลวง ร.๙ นำนโยบายของพระองค์ ไปทรงใช้เป็นแบบอย่างในการบริหารประเทศ
ด้านผู้นำผู้ทรงอิทธิพลของโลกอย่าง วลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ยังได้กล่าวคำราชสดุดีถวายพระเกียรติแด่ พ่อหลวง ร.๙ ไว้อย่างตราตรึงใจ และยิ่งใหญ่
“มหาราชผู้ยิ่งใหญ่” ที่ไม่เคยสู้รบกับใคร แต่สามารถทำให้ทุกคนยกย่องสรรเสริญได้ ทั่วโลกยอมแพ้ได้… มีแค่คนเดียว คือ “คิงภูมิพล (King Bhumibol)"
ส่วนนายโรดริโก ดูเตอร์เต ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ยังเคยกล่าวว่า ในโลกใบนี้ มีบุคคลเพียง 2 คนที่เขาพร้อมจะคุกเข่าให้ นั่นคือกษัตริย์แห่งบรูไน และ ในหลวง ร.๙ เท่านั้น
ด้าน มัลคอล์ม เทิร์นบูลล์ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ร่วมแสดงความเสียใจและยกย่องพ่อหลวง ร.๙ โดยถือเป็น "บุคคลต้นแบบในประวัติศาสตร์เอเชียสมัยใหม่" เป็นผู้นำความก้าวหน้าในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้เกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างมหาศาล
ความเป็นกษัตริย์นักพัฒนาตลอดระยะเวลายาวนานหลายทศวรรษ พระองค์พระราชทานแนวทางการดำรงชีวิตเพื่อให้ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน จึงทำให้ องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น)ทูลเกล้าฯถวายรางวัล ความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ แด่พ่อหลวง ร.๙ เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติครองราชย์ 60 ปี เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2549
องค์การสหประชาชาติ ยอมรับว่าแนวทาง “เศรษฐกิจแบบพอเพียง” เป็นแนวทางที่เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจโลกยุคปัจจุบันและอนาคต และยังนำหลักเศรษฐกิจแบบเพียงพอมาเป็นนโยบาดยขององค์การสหประชาชาติเพื่อนำไปเผยแพร่ต่อประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนา
หลังการสวรรคตของพ่อหลวง ร.๙ ทั่วโลกต่างไว้อาลัย เช่นเดียวกับ ยูเอ็นมีการประชุมเพื่อสดุดีและถวายพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในวันที่ 28 ตุลาคม 2559 โดยเปิดให้ผู้แทนประเทศต่างๆ ขึ้นกล่าวสดุดี และร่วมยืนสงบนิ่ง 1 นาทีเพื่อไว้อาลัยต่อการสูญเสียพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ของโลก
“ การสูญเสียในหลวง ร.๙ ไม่เพียงแต่เป็นการสูญเสียของไทย แต่ยังเป็นการสูญเสียของโลกอีกด้วย “ ทูตไนเจอร์ ตัวแทนแอฟริกา กล่าวแสดงความอาลัย
สดุดีพระเกียรติคุณก้องโลก
ด้วยพระอัจฉริยภาพและพระปรีชา หลากหลายองค์กรทั่วโลกทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล อาทิ สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ (IUSS) ได้พระราชทานพระราชวโรกาสทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลนักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรมแด่พ่อหลวง ร.๙ เพื่อสดุดีพระเกียรติคุณให้เป็นที่ประจักษ์ทั่วโลก พร้อมกันนี้ ยังกำหนดให้วันที่ 5 ธันวาคมของทุกปี เป็น "วันดินโลก"
นอกจากนี้ พระองค์ทรงทุ่มเท อุทิศพระวรกายและพระราชหฤทัย เพื่อประดิษฐ์นวัตกรรม ที่สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และพัฒนาประเทศชาติจนก้าวหน้า เช่น โครงการฝนหลวง และกังหันน้ำชัยพัฒนา จนทำให้องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO )ทูลเกล้าฯรางวัล 'Global Leader Award' และสหพันธ์สมาคมนักประดิษฐ์ระหว่างประเทศ (IFIA) ประเทศฮังการี ทูลเกล้าฯถวายถ้วยรางวัล IFIA CUP ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2537 ให้กำหนดวันดังกล่าวเป็น “วันนักประดิษฐ์” ของทุกปี
ในส่วนของพระปรีชาสามารถด้านการกีฬาของพ่อหลวง ร.๙ ที่พระราชทานแก่วงการกีฬา จนเป็นที่ประจักษ์แจ้ง กระทั่งทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายพระราชสดุดีจากองค์การด้านการกีฬาจากนานาประเทศ ดังนี้
เหรียญดุษฎีกิตติมศักดิ์ของโอลิมปิก อิสริยาภรณ์โอลิมปิกชั้นสูงสุด (ทอง) ,อิสริยาภรณ์สูงสุดทางการกีฬาของสภาโอลิมปิกแห่งเอเชีย (OCA Merit Award) , ถ้วยลาลาอูนิส (Lalaounis Cup) ,เหรียญสดุดีพระเกียรติคุณ (Golden Shining Symbolof World Leadership)
วีรบุรุษแห่งเอเชีย
พระเกียรติเกรียงไกรแผ่ไพศาล เมื่อนิตยสารระดับโลก “ไทม์เอเชีย” ยกให้พ่อหลวง ร.๙ เป็นหนึ่งในวีรบุรุษแห่งเอเชีย (Time Asian’s Heroes) ในบทบาทของผู้เป็นแรงบันดาลใจ และยังทรงเป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลกอีกด้วย เพื่อแสดงสู่สายตาโลกให้ได้ชื่นชมพระบารมี ในวันครบรอบ 60 ปีนิตยสารไทม์เอเชีย ในปี พ.ศ.2549
ก่อนหน้านี้ ในปี 2509 นิตยสาร Time ได้เชิญพระบรมฉายาลักษณ์ลงพิมพ์บนหน้าปก และลงบทความ ยกย่องพระปรีชาสามารถของพ่อหลวง ร.๙ ในการทรงประสานกับทหาร และสร้างความสมดุลระหว่างอำนาจทั้งสองได้ในแบบของไทยเอง ซึ่งทำให้เกิดความราบรื่นในการปกครองประเทศของรัฐบาล ในช่วงเวลาที่ประเทศเพื่อนบ้านรอบข้างของไทย (ในปี 2509) กำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ ความยากจน ความทุกข์ยาก ความไม่รู้หนังสือ การปกครองที่ล้มเหลว และการล่มสลายของความรู้สึกของการเป็นชาติ แต่ประเทศไทยกลับโดดเด่นอยู่เหนือปัญหาทั้งปวง ขณะที่ชาติเพื่อนบ้านที่รายล้อมไทยกำลังเผชิญอยู่ Time ระบุว่า สิ่งที่หายากยิ่งกว่า และมีค่ายิ่งไปกว่า และไทยก็มีเช่นกัน คือ ความรู้สึกที่คนไทยรู้สึกว่าตนเป็นคนไทย และเป็นของประเทศไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดจากพระปรีชาสามารถของพ่อหลวง ร.๙
ในปี 2542 นิตยสาร Time ก็ได้ลงบทความถึงการที่พ่อหลวง ร.๙ ผู้ทรงใช้เวลาตลอด 53 ปี (ขณะนั้นเป็นปี 2542) ของการครองราชย์ ในการทรงพยายามจะสร้างความสมดุล ระหว่างด้านที่สดใสกับด้านมืดของประเทศไทย
พระองค์ได้รับการเทิดพระเกียรติทั่วทั้งสากลให้เป็นพระมหากษัตริย์ผู้มีวิริยอุตสาหะ และกษัตริย์นักพัฒนา เป็นเหตุผลที่พระองค์เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ และเป็นภูมิพลังต่อการพัฒนาคนบนแผ่นดินไทย