ใครจะไปคาดคิดว่า พริตตี้เงินล้าน เบอร์ 1 ของไทย จะขอละทางโลกมุ่งหน้าเดินเส้นทาง "สายธรรม" ถึงขั้นบวชชี ปลงผม โกนคิ้ว ปลีกตัวจากสังคมแสงแฟลช เข้าป่าปฏิบัติกรรมฐานอดอาหาร เดินจงกรมวันละกว่า 10 ชั่วโมง
จากสาวปาร์ตี้เที่ยวกลางคืน 7 วันยันเช้า จนเกิดวิกฤตเหตุการณ์จุดพลิกผันบางอย่างในชีวิตเหวี่ยงพริตตี้ตัวท็อป สต็อป - ศรัณย์รักษ์ ศิริรำไพวงษ์ สาวสวยผู้มีรูปเป็นทรัพย์วัย 34 ปี เข้าสู่ “ธรรมะ” เพื่อมุ่งสู่การเป็น “อริยบุคคล” ตั้งเป้า “บรรลุโสดาบัน” หวัง "นิพพาน" ให้ได้ในชาตินี้!
จากคนไม่มีศรัทธา เพราะ “ตัวฉันคือพระเจ้า”
แม้บัตรประชาชนของเธอจะระบุว่านับถือ ศาสนาพุทธ แต่เธอบอกชัดว่า ไม่เคยศรัทธา ไม่ได้กระทำตัวเยี่ยงพุทธศาสนิกชนเลย เพราะเธอนับถือตัวเองเท่านั้น!
“อะไรที่เป็นคำสั่งสอนศาสนาพุทธ ต็อปก็สวนทางหมด” เธอเล่าย้อนก่อนที่จะมาสู่เส้นทางสายธรรม ที่แม้บัดนี้ภายนอกรูปลักษณ์จะดูปกติ แต่ “ภายในจิต” กลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“เพราะเราเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองเกินร้อยมาตั้งแต่เด็ก หาเงินใช้เองมาตั้งแต่ยังเรียนอยู่ อย่าบอกว่านับถือศาสนาพุทธเลย เรียกว่าไม่มีศรัทธาเลยดีกว่า เพราะเราไม่เคยเจอความทุกข์ เราอยากได้อะไร เราได้ตลอดอย่างที่ต้องการ เราจึงรู้สึกว่า “ตัวเราคือพระเจ้า” เพราะเราดูแลตัวเอง คิดเอง ทำเอง อยากได้อะไรเราก็หามาได้ด้วยตัวเอง
เราจึงคิดว่า ก็เราทำตัวดี เราก็ได้ดีสิ ขณะเดียวกัน ทำไม่ดี ก็ได้ไม่ดี แต่เราไม่เคยไปศึกษาให้ลงลึกถึง “ดี” และ “ไม่ดี” คืออะไร ที่ศาสนาพุทธสอนไว้ คิดเองเออเองว่าอันนี้ดี อันนี้ไม่ดี โดยมี “กิเลส” เข้าไปปรุง เจือ ว่าสิ่งนี้ดี แต่จริงๆแล้วกิเลสต่างหากที่บอกว่าดี”
แม้ครอบครัวของเธอจะชอบเข้าวัด ทว่าในทุกครั้งที่เธอไปวัดก็ไม่ได้ไปด้วยความศรัทธา พระสวดมนต์ก็นั่งหาว ไม่เคยรักษาศีล 5 เพราะไม่รู้สึกว่าจำเป็น มองว่าเป็นแค่ “กุศโลบาย” นอกจากนี้ เธอยังไม่เชื่อว่า “นรก” มีจริง
“ต็อปคิดเลยนะ ว่าพระท่านสอนให้เรารักษาศีล 5 เพราะเป็นกุศโลบาย ว่าถ้าไม่รักษาศีล 5 จะตกนรก แค่กุศโลบายให้คนทำดีเฉยๆ และไม่เชื่อด้วยว่านรกมีจริง เพราะคิดว่า พระพุทธเจ้าสอนให้รักษาศีล 5 เพื่อป้องกันคนไม่ทำชั่วเฉยๆ
ส่วนคำว่า “อริยทรัพย์” ก็เป็นกุศโลบาย ไม่มีจริง คิดว่าพระหลอก นี่ไง "เราโง่มั้ยล่ะ" ถ้าเราตายตอนนั้นเราก็คงไปนรกอย่างเดียว เพราะคิดแย้งหมดเลย"
นอนจมติดหล่มความทุกข์นับปี
แม้เธอจะบอกว่า “ความทุกข์” เป็นสิ่งที่ไม่เคยเจอ แต่พออายุย่างเข้า 30 ชีวิตก็โน้มให้รู้จักความทุกข์จน “จม” เกือบปี
“ก่อนหน้านี้ก็อาจจะมีทุกข์เบาๆ แต่เมื่อเกิดแล้วก็ดับ เพราะทุกคนต้องมีความทุกข์มาตั้งแต่เกิดแล้ว เรามีทุกข์แต่เรามองไม่เห็น เราไม่รู้ว่ามันคือความทุกข์ ไม่ได้ไปเสพ จึงทำให้เกิดดับ แต่ทุกข์จริงๆ ตอนนั้นคือ การอกหักจากความรัก แล้วเราก็เพิ่งมาอกหักตอนอายุ 30 ทุกข์เพราะเราไปเสพ”
แม้การอกหักครั้งแรกในชีวิตของเธอจะก่อให้เกิดทุกข์ แต่ก็ยังไม่ใช่เหตุให้เข้าสู่เส้นทางธรรมกระทั่งอายุ 33 ปี ย้อนหลังไป 1 ปี เธอสารภาพว่า เป็นเพราะความทุกข์ จากความ "ยึดมั่นถือมั่น” และ “ความคาดหวัง” จากคนที่ไว้เนื้อเชื่อใจ
“ไม่รู้ว่าเป็นจังหวะที่ถึงเวลาที่อะไรบางอย่างบีบเราเข้าหาธรรมะหรือเปล่า เพราะเป็นความทุกข์ที่ไร้สาระมากเลย อย่างคนที่เรารักไม่เข้าใจเรา เข้าใจเราผิด อารมณ์น้อยใจกันไปมา ไม่พูดคุยกัน ประกอบกับเราเป็นคนที่มีความยึดมั่นถือมั่นทำไมเขาเปลี่ยนไป เมื่อก่อนไม่เป็นแบบนี้ ก็เสียใจ สัญญาว่าจะทำแบบนี้ก็ไม่ทำเราก็ผิดหวังในสิ่งที่เราคาดหวัง
คาดหวังกับคน คาดหวังกับคำพูดของคน คาดหวังกับสิ่งที่เราเคยมี คาดหวังจากสิ่งที่เราคิดว่ามันใช่ ด้วยสาเหตุข้างต้นจึงทำให้เราทุกข์มาก ทุกข์กว่าตอนอกหักมาก”
เธอจมอยู่กับความทุกข์ครั้งนี้นานเกือบปี เพราะเธอมัก “แคร์” คนที่รัก จึงเอาใจไปไว้กับคนนั้นเต็มร้อย ผลที่ได้จึง “เจ็บ” หนัก
“เวลาเสียใจเราไม่ได้เสียใจแป้บเดียว เฮิร์ธหนักมาก ไม่จำเป็นต้องเป็นแฟน เป็นใครก็แล้วแต่ที่เราให้ใจไป เพราะเวลาให้ก็ให้หมด หมดตัวหมดใจ มีอะไรให้หมด”
เธอเล่าว่า จมอยู่กับความทุกข์ ขนาดที่ไม่ไปทำงาน นอนเป็นผักอยู่เกือบปี
“ไม่ทำงานเลย ไม่ดูแลบริษัท ปล่อยให้เพื่อนที่เป็นหุ้นส่วนดู เพื่อนคนนี้ดีมาก ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าเพื่อนแท้ เป็นอย่างไร เขาไม่เคยทิ้งเรา อยู่เคียงข้างเราทุกครั้ง
เราก็นอนเปลี้ย นอนทบทวนเรื่องราวที่เป็นทุกข์ ทวนว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ เขาบอกจะทำแบบนี้ก็ไม่ทำ จู่ๆก็นึกขึ้นได้ว่า นี่ใช่มั้ยที่เขาเรียกว่า “ไม่เที่ยง” ผุดขึ้นมาในหัว นี่สินะ “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” กฎไตรลักษณ์ ทุกอย่างมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เราจะหมายมั่นคำพูดคน หรือสิ่งของ จะคงอยู่แบบนั้นไมได้ โดยเฉพาะกับคน ลิ้นคนพลิกง่ายยิ่งกว่าอะไร เขาพูดแล้วเขาก็ลืม แต่เรากลับจำ ”
ส่วนจุดไคลแม็กซ์ที่ทำให้เธอหันหน้าเข้าสู่ธรรม วันนั้นเธอเปิดเฟซบุ๊กดูพฤติกรรมคนในโลกโซเชียล หลายคนโพสต์ภาพตัวเองกับอาหาร ไปเที่ยว ถ่ายรูปฮิปสเตอร์แต่งตัวสวยๆ นั่งรอคนมากดไลก์ ชื่นชมปลื้มปริ่มกับคำในคอมเมนต์ ทำแบบนี้วนไปเวียนมาทุกวัน แต่ทำไมไร้ซึ่งความสุข ไร้ค่า ทำให้เธอเห็นการเกิดดับ อยากหาอะไรที่เป็นความสุขโดยไม่ปรุงแต่งไม่มีใครหยิบยื่นให้ คุณค่าของชีวิตจริงๆคืออะไร จึงทำให้เธอหันไปฟังธรรมะ
นั่นคือจุดเริ่มต้นแห่งเส้นทางธรรม เข้าวัดปฏิบัติธรรมบวชเนกขัมมะ ถือศีล 8 ในช่วงสงกรานต์ 13 เม.ย 2559 ซึ่งโดยปกติเธอต้องไปอาร์ซีเอ เล่นน้ำ กินเหล้า….
ตั้งเป้า! บรรลุโสดาบัน ให้ได้ชาตินี้!
จากสาวห้าว อารมณ์ร้อน เปรี้ยว ซ่า หากวันไหนเหล้าเข้าปาก จะมีความเป็นนักเลงเข้าสิง ชอบปาร์ตี้เที่ยวกลางคืน เที่ยว 7 วันยันเช้า ไม่เมาไม่เลิก ชีวิตพลิกเลย หักดิบ! ตัดเหล้า ตัดขาดจากการสังสรรค์ 6 เดือนไม่ออกจากบ้าน รักษาศีลเข้าวัดฟังธรรมทุกเดือน
“เมื่อตอนเด็กเป็นเด็กหัวโจก เปรี้ยว ซ่า เป็นผู้นำในทางไม่ดี อยู่ห้องปกครองมากกว่าห้องเรียน แต่ไม่ได้ไปหาเรื่องใครนะ แต่ถ้าใครมาหาเรื่องเราก่อน เราก็ใส่เลย เป็นคนอารมณ์ร้อนมาก รักเพื่อนพ้องมาก หากเพื่อนมีเรื่องเราจะลุยก่อนเลย
พอเริ่มเข้าสู่วงการพริตตี้ คนก็จะมองว่าเป็นสาวหวาน แต่จริงๆนิสัยห้าว เถื่อน เหมือนผู้ชาย และเป็นคนพูดตรง ไม่แอ๊บ ยิ่งเวลาเมา จะยิ่งนักเลงมาก ไม่ได้ชอบกินเหล้า แต่ชอบบรรยากาศแห่งการสังสรรค์เจอเพื่อนฝูง แต่ตอนนี้เหรอก็ยังคงไปเจอเพื่อนฝูงปาร์ตี้เช่นเดิมแต่เปลี่ยนจากดื่มเหล้า เป็นน้ำเปล่า!”
เธอเล่าว่าใช้เวลา 1 ปีเพื่อศึกษาธรรม โดยวัดแรกที่ไปบวชเนกขัมมะ เธอเลือกวัดป่าใน จ.อุดรธานี จากนั้นจึงบวชอีกหลายวัดในเวลาต่อมาแต่ก็ยังไม่ถูกจริต จนมาปฏิบัติธรรมบวชเนกขัมมะที่วัดตรีวิสุทธิธรรม สระกระโจม จ.สุพรรณบุรี เนื่องจากมีความเลื่อมใสศรัทธาพระครูพิทักษ์ศาสนวงศ์ ( หลวงพ่อไก่ ) เจ้าอาวาสวัดตรีวิสุทธิธรรมที่เปิดวัดดูแลรักษาคนเจ็บป่วยฟรี จึงตัดสินใจบวชเนกขัมมะ 10 วัน จึงเข้าใจธรรมะอย่างลึกซึ้งเพราะถูกจริต
“จากนั้นก็ศึกษาว่า ศีล คืออะไร ทำไมต้องรักษาศีล ศีลจะเป็นตัวที่รักษาเรา เป็นเครื่องกั้นเราจากความชั่ว จากนรก เราก็คิด ตกลงนรกมีจริงมั้ย หลวงพ่อหลายท่านพูดถึงเรื่องนรก ตรงกันหมดเลย เราจึงคิดว่า คงไม่ใช่กุศโลบายแล้ว จึงเริ่มกลัว ตกนรก จึงไปค้นหาว่า ต้องทำอย่างไร ต้องเป็นอริยบุคคล ขั้นโสดาบัน
.
การเป็นอริยบุคคล ขั้นโสดาบัน เป็นสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปสามารถทำได้ โลกสงบสุข ทุกคนก็จะมีแต่ความสุข ไม่ได้เป็น “ขั้นลึก” เป็นธรรมะที่เราสามารถนำไปปรับใช้ได้ในชีวิตประจำวัน แม้จะมีครอบครัว มีสามี มีลูก ก็สามารถนำไปปรับใช้ได้ ปิดประตูอบายภูมิ”
บวชชีทดแทนคุณพ่อแม่
กระทั่งสภาวะจิตก้าวหน้า เริ่มมีสมาธิ สติ ประกอบกับอยากบวชทดแทนบุญคุณให้พ่อแม่ญาติพี่น้องไม่ให้ตกอบายภูมิ ในวันที่ 26 มิ.ย. 2560 ที่ผ่านมา เธอจึงได้ตั้งมั่นโกนผมบวชชี 1 พรรษา
“เรารักพ่อแม่ญาติพี่น้องเรามาก ไม่อยากให้พวกเขาต้องทุกข์ทรมานในชีวิตหลังความตาย มี ไม่มี ไม่รู้ แต่พระพุทธเจ้าสอนว่า ธรรมทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนย่อลงมาแล้ว สุดท้ายก็คือ “ความไม่ประมาท” ทุกอย่างพอไม่ประมาท นรก สวรรค์ มีจริง ไม่มีจริง ไม่รู้ แต่ถ้านรกมี แล้วเราคิดว่าไม่มี เราใช้ชีวิตแบบประมาท เราตายไปแล้วนรกมีจริงล่ะ แต่ถ้าเราคิดว่ามีจริง ตั้งใจอยู่ในคุณความดี ถึงจะไม่มีแต่สิ่งที่เราได้ ไม่มีอะไรเสีย มีแต่ได้กับได้
ก่อนบวชชีจึงตัดสินใจชวนพ่อมาบวชที่วัดนี้ เพราะต็อปมาวัดนี้แล้วเห็นคนเจ็บป่วยเป็นคนแก่ เราก็มอง พ่อไม่ค่อยเข้าวัด ไม่เคยปฏิบัติธรรม ไม่เคยฟังเทศน์ฟังธรรมเลย แก่ไปถ้าเจ็บป่วยเป็นอะไรขึ้นมาจะอยู่ภพภูมิที่ไม่ดีหรือเปล่า เราอยากให้พ่อพ้นด้วย โทร.หาพ่อเลย “พ่อรักหนูมั้ย ขออะไรอย่างหนึ่งได้มั้ย มาบวชด้วยกันได้มั้ย เช้าวันรุ่งขึ้นพ่อก็ขึ้นเครื่องมาจากอุดรฯเลย เพื่อมาบวช”
ขณะเดียวกัน เธอเล่าว่า ด้วยรูปร่างหน้าตาความสวยของเธอ ยังเป็นสิ่งที่ทำให้ยึดมั่น หวงแหน เพียงแค่ตีนกา หรืออ้วนขึ้นมานิดเดียวยังรู้สึกทุกข์
“เรารู้เลยว่าเราติดเรื่องรูปลักษณ์ของตัวเองมาก เพราะมองกระจกก็ยังเห็นตัวเองสวย น่ารักอยู่ เราจึงอยากจริงจัง ให้พ่อเชื่อศรัทธาในตัวเรา และใกล้จะวันเกิด ปีนี้จึงตั้งใจบวชเข้าพรรษาเลยดีกว่า แต่จะไม่บวชเนกขัมมะ แต่จะบวชชีปลงผมไปเลย ดูซิ จะยังสวยอยู่มั้ย ผมก็ไม่มี คิ้วก็ไม่มี จะเป็นยังไง เครื่องแต่งตัวสวยๆก็ไม่มี ยังจะติดในรูปลักษณ์ตัวเองอยู่อีกมั้ย จึงตัดสินใจปลงผม”
สำหรับความต่างของการบวชเนกขัมมะ กับการบวชชี เธอเล่าว่า มีความต่างมาก แม้จะถือศีลเท่ากัน แต่การบวชชีครั้งนี้กลับทำให้เรารู้สึกว่า ถ้าไม่โกนผม เราจะรู้สึกเสียดายมาก
“เรารู้สึกว่า เกิดมาไม่เสียชาติเกิดแล้ว เกิดมาในครอบครัวนี้ และได้บวชชีในวัดนี้ ไม่เสียใจเลยที่เกิดมาเป็นคน จบแล้ว ชีวิตไม่ต้องการอะไรแล้ว ที่เหลือก็ลองผิดลองถูกไป”
เดินจงกรมพิจารณาอสุภะ จนอาเจียน
ในขณะที่บวชชีเธอได้พิจารณาอสุภะ เห็นความเสื่อม ความสกปรกของร่างกาย พิจารณาถึงความไม่งามของกาย
“ระหว่างที่ยังไม่เข้ากรรมฐานต็อปอ่านหนังสือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านสอนให้ละทิ้งตัวตน และสอนให้พิจารณาอสุภะ จากนั้นเราก็ไปเดินจงกรม เราก็พิจารณาคำตามที่ในหนังสือบอก คิดตาม ท่านสอนว่า “ตัวเรามันคิดว่าตัวเราสะอาด มันสวย มันงาม ความจริงแล้วตัวเรานั่นแหละ ที่สกปรกที่สุด อย่างตื่นนอนมาทุกอย่างในตัวเรามีแต่ "ขี้” ขี้ตา ขี้มูก ขี้ฟัน ขี้หู ขี้เล็บ ขี้เต่า ถ้าสะอาด สวยจริง ไม่ต้องไปล้างหน้าแปรงฟันสิ ไม่ต้องอาบน้ำสิ อาบน้ำทำไม ฉีดน้ำหอมทำไม ถ้าสวย น่ารัก สะอาดจริง จะแต่งหน้าทำไม
ข้างในมันมีแต่ของเน่าเหม็น กินอาหารเข้าไปก็อุจจาระออกมา อาหารดีแค่ไหนพอผ่านร่างกายก็เป็นอุจจาระ ตอนเป็นอาหารจับได้ แต่พอผ่านร่างกายเป็นอุจจาระกล้าจับมั้ย
แม้จะสวยหล่อขนาดไหน แต่ข้างในก็เน่าเหมือนกันหมด เรายึดติดกันแค่หนัง เหมือนเรามองคนนี้แล้วเราชอบ ชอบเพราะอะไร เราชอบเพราะหนังที่หุ้มเขาไว้ เพราะว่าหนังตึง ถ้าเป็นหน้าเดิมแล้วเหี่ยวจะชอบอยู่มั้ย อย่างมีคนมาบอกชอบเรา เขาชอบเราเพราะหนังเรายังตึงอยู่ ฉะนั้นคนเราก็หลงกันแค่หนัง ไม่มีอะไรเลย เราจะไปยึดติดอะไรกับคนที่เราชอบ คนที่เรารัก
มนุษย์เราประกอบไปด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ พอตายไปร่างกายก็จะอืดบวม ลิ้นจุกปาก ตาถนน เขียว อืด น้ำเลือด น้ำหนอง น้ำเหลืองไหลเยิ้ม ในระหว่างเดินจงกรมเราก็คิดภาพคนที่เรารัก เราชอบ เป็นซากศพ ในขณะเดียวกันก็นึกถึงภาพของตัวเองด้วย ว่าตายไปเราก็อืดพอง น้ำเหลืองไหล ปรากฏว่า ต็อปอ้วกแตกออกมาหมดเลย เราเห็นตัวเองในรูปเราก็รู้สึกสะอิดสะเอียน คือเราพิจารณาจนเข้าจิต”
ขั้นลึก! เข้ากรรมฐานพิจารณากิเลส
ในการเข้ากรรมฐานจะมีช่วงอดอาหาร 5 วัน สิ่งที่ตกถึงท้องมีเพียงน้ำเปล่า และช่วงทานอาหารได้วันละมื้อ ซึ่งเป็นอาหารมังสวิรัติ ไร้เนื้อสัตว์ ในแต่ละวันเธอจะเดินจงกรมวันละกว่า 10 ชั่วโมง
“ตอนเข้ากรรมฐานต็อปจะปฏิบัติจริงจัง เพราะเป็นสถานที่เงียบ สงบ เหมือนอยู่ในป่าไม่มีอะไรรบกวน ในแต่ละวันก็จะเดินจงกรม นั่งสมาธิ
ทว่า พอขึ้นเดือนที่ 2 กิเลส มันดิ้น แทบอยากจะปีนรั้วออก ทรมานมาก “ไม่ไหวแล้ว อยากกินเนื้อสัตว์” เพราะมีความนิ่งและความสงบ คนเราทุกคนมีกิเลสที่นอนนิ่งอยู่ ฝังอยู่ในจิต เมื่อไหร่ที่เรามาปฏิบัติธรรมมีสติ สมาธิ สงบ จะเห็นกิเลสชัดเจน เรามาปฏิบัติธรรมครั้งนี้เพื่อให้เห็นกิเลส และไม่เอากิเลส เมื่อเราเห็นกิเลสว่า อยากกินหมูปิ้ง นั่นคือกิเลสอยากกิน ก็แค่ดูมัน แต่ไม่ต้องไปดับมัน ละกิเลสด้วยปัญญา รู้ ละ กิเลสไปเรื่อยๆ จิตจะรู้ จะเริ่มละไปทีละเรื่อง ล้างความชั่วออกจากจิต
ต็อปปฏิบัติเพื่อไม่อยากเกิดแล้ว อยากนิพพาน เพราะรู้แล้วว่าการเกิดมันคือทุกข์ ถ้าเกิดว่ามีคนมาบอกว่า เกิดมาชาติหน้าจะมีเงินเป็นหมื่นล้าน เป็นมหาเศรษฐี สวยมาก ต็อปก็ไม่เอานะ ขอไม่เกิด ขอนิพพานดีกว่า
ทุกคนสามารถขึ้นมาเป็นอริยบุคคลได้ถ้าตั้งใจ ดูอย่างต็อปสิ จากคนไม่มีศาสนา ไม่มีศีล ภายใน 1 ปียังมาอยู่ในศีลในธรรมขนาดนี้
ปัจจุบันนี้พ่อต็อปไปสมัครกรรมฐาน เดินจงกรม นั่งสมาธิ รักษาศีล ที่วัดใน จ.อุดรฯ แล้วนะ เห็นมั้ยสิ่งที่เราทำเห็นผล ตอนนี้เราไม่ห่วงพ่อแล้ว พ่อมีอริยทรัพย์แล้ว แต่สำหรับคุณแม่ปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงอะไร"
ลาที "ความรักยึดติด" ชีวิตนี้ขอไม่มีสามี
ส่วนคำถามที่ว่า หลังจากสึกจากการบวชชีแล้ว ชีวิตนี้จะมีคู่ครอง ครอบครัว สามี และลูกมั้ย เธอตอบด้วยความมั่นใจว่า
“แค่คิดว่าจะให้ผู้ชายมากอดจูบ ก็อี๋แล้ว”
“จะให้ไปมีครอบครัว มีเพศสัมพันธ์ มีลูกมีเต้า มันไม่ได้แล้ว คือถ้าจะมีผู้ชายเข้าในชีวิตอยากเป็นเจ้าของเรา แต่งงาน มีลูก ไม่เอา แต่ถ้าเป็นเพื่อนนำพาปฏิบัติธรรมก็ได้ เราไม่ได้เป็นคู่รักกัน ใครคิดยังไงต็อปไม่รู้ แต่ตัวเราไม่ได้คิดอะไรกับใคร
แน่นอนเราไม่สามารถห้ามความรู้สึกของคนอื่นได้ แต่ต็อปเห็นทุกคนเท่ากันหมด ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย ถึงต็อปไปกับเพื่อนผู้ชาย เราก็มีความรู้สึกเหมือนไปกับเพื่อนผู้หญิง ไม่ได้รู้สึกพิศวาส ให้ความรู้สึกเท่ากัน มันคือความรักแบบเพื่อนมนุษย์”
นอกจากนี้ เธอยังแนะนำผู้หญิงที่รักสวยรักงามทั้งหลายไม่ต้องเสียเงินจ้างเทรนเนอร์ออกกำลังกายเดือนละหลายหมื่นเข้าฟิตเนส มาปฏิบัติธรรม เดินจงกรม วันละ 3-4 ชั่วโมง ได้สมาธิ สติ ได้บุญกุศล การทำสมาธิเป็นบุญสูงสุด แถมเซลลูไลต์หายด้วย
การนั่งสมาธิยังทำให้หน้าเด็ก ผ่องใส เพราะในขณะนั่งสมาธิ จิตของเราจะนิ่ง ไม่คิดอะไร จิตไม่แส่ส่ายออกไป เหมือนจิตหยุดนิ่ง แม้เวลาของโลกจะเดิน แต่เวลาของจิตจะนิ่ง หยุดแค่อายุตรงนั้น ทำบ่อยๆ หน้าก็จะผ่องใส”
ไม่แปลกใจเลย ทำไมเธอถึงมีใบหน้าออร่าผ่องใสทั้งที่เพิ่งออกจากกรรมฐานอดอาหารมา 5 วันเต็ม!
ประหยัด สมถะ ไม่ยึดติดวัตถุ
ปัจจุบันนี้เธอไม่ได้ทำงานเป็นพริตตี้มา 4 ปีแล้ว แต่ผันตัวเองมาอยู่เบื้องหลังทำ เปิดบริษัทออแกไนเซอร์ โมเดลลิ่ง แม้จะเป็นพริตตี้เงินล้านตัวท็อปเบอร์ 1 แต่เธอเป็นคนประหยัด ไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย "พร้อมถึงซื้อ"
“ต้องมีเหลือมากๆ แล้วถึงเจียดเงินส่วนหนึ่งไปซื้อสิ่งที่เราต้องการ อย่างกระเป๋าแบรนด์เนมใบแรกที่ซื้อคือชาแนล ต็อปซื้อตอนอายุเกือบสามสิบนะ ทั้งที่ทำพริตตี้มาตั้งหลายปี มีเงินสามารถซื้อได้นะแต่รู้สึกว่า มันไม่จำเป็น
อย่างรถของต็อป คันที่ขับปัจจุบันนี้ก็เป็นรถที่พ่อให้ ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีรถตัวเอง คันนี้ก็ขับมา 14 ปีแล้ว หลายๆคนถามว่า ทำไมไม่ซื้อรถใหม่ คือเราเอาเงินไปซื้อบ้านแล้ว แต่รถก็เป็นแค่ออปชั่นเสริมบารมี รถเรายังใช้ได้อยู่ รถซื้อมาเพื่อให้คนอื่นมาชื่นชมเรา แต่บ้านจำเป็นกว่ารถ เราเอาเงินไปซื้อบ้าน คอนโด ปล่อยให้คนเช่าดีกว่า เงินที่เรามีควรเก็บไว้สำรองยามฉุกเฉิน และต็อปกำลังจะสร้างสตูดิโอให้คนเช่า ฉะนั้นเราจะซื้อรถเพื่อให้คนมาชื่มเราทำไม ทำไมเราไม่สร้างสิ่งอื่นให้ตัวเองชื่นชมเป็นของเราดีกว่า
ความสุขจากข้างใน แบบที่ไม่ต้องพึ่งสิ่งของ ไม่ต้องพึ่งวัตถุ ไม่ต้องพึ่งคนอื่นมาทำให้เรามีความสุข นี่มันดีจริงๆ มีความสุขแบบพอดี มีความสุขกับสิ่งที่มี ไม่รู้สึกว่าขาด ไม่รู้สึกว่าเกิน พยายามทำให้ดีที่สุด อะไรก็แล้วแต่ มีก็ดี ไม่มีก็ได้ ใครจะอยู่ ใครจะไป ใครจะรัก ใครจะเกลียด ใครจะชม ใครจะด่า ใครจะเข้าใจ ใครจะไม่เข้าใจ มันก็ไม่ได้มีผลกับจิตใจเราเท่าไหร่แล้ว ไม่เหมือนเมื่อก่อน ทุกข์ใจเพราะเอาใจไปยึดติด กับคนอื่น ถ้าเค้าทำดีกับเรา พูดดีกับเรา เราถึงจะมีความสุข แต่ถ้าเค้าทำไม่ดีกับเรา พูดไม่ดีกับเรา เราก็จะไม่มีความสุข เป็นทุกข์"
"มาคิดดูทำไมเราถึงปล่อยให้คนอื่นเป็นผู้กำหนดความสุขของตัวเอง ทำไมเราถึงเอาความสุขของเราให้ไปอยู่ในมือของคนอื่น เหมือนลูกไก่ในกำมือ จะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด มันไม่ถูกต้อง หลายๆอย่างในความคิดและจิตใจค่อยๆเปลี่ยนไป เหมือนถูกกะเทาะความโง่เขลาออกไปได้บางส่วน จากโง่มาก เป็นโง่น้อย และเราเชื่อว่ามันจะค่อยๆดีขึ้นเป็นลำดับขั้นการทำงานของมัน
จากวันที่หันหน้าเข้าหาธรรมะเป็นเวลา 1 ปี นิดๆ มีอะไรหลายอย่างเปลี่ยนไปมากมาย แม้ว่าภายนอกเราจะยังดูบ้าๆบอๆเหมือนเดิม แต่เรารู้ดีว่าภายในเราไม่เหมือนเดิม มันมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป แต่เราก็ไม่รู้ว่าอะไรที่เปลี่ยนไป มันอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้แต่รู้ว่ามันดีจริงๆ"
แม้ปลายเดือนตุลาคมนี้ แม่ชีสต็อปจะสึกจากการบวชชีเพื่อกลับมาใช้ชีวิตในทางโลกอีกครั้ง แต่ "ธรรมะ" ก็จะยังอยู่ในจิตใจของเธอตลอดไปแม้จะอยู่ในคราบฆราวาสก็ตาม
"จากนี้ก็จะพยายามศึกษาและปฏิบัติให้ดีขึ้นไปอีก ฝึกฝืน สู้ทนต่อความชั่วความเลวและกิเลสของตัวเองให้ยิ่งขึ้นไปอีก ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ก็ขึ้นชื่อว่าคน จะดีตลอดเวลาคงไม่ได้ และจะเลวตลอดเวลาก็คงไม่ใช่ อยู่ที่รู้ทันและแก้ไขได้ไหมก็แค่นั้น ไม่มีอะไรสายเกินไป ถ้าเรายังมีลมหายใจ”
สัมภาษณ์โดย ผู้จัดการ Live
เรื่อง : สวิชญา ชมพูพัชร
ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ค Nattha Sirirumpaivong