xs
xsm
sm
md
lg

กุญแจซอล “ป่อง-ปิด-หนีตาม” เพราะ “การเลี้ยงดู” หรือ “ถูกบงการ”?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“นี่ขนาดดูแลนะ ถ้าคุณลองเลี้ยงลูกปล่อยๆ สิ เขาจะไม่ไปท้องไม่มีพ่อ อย่างที่มีข่าวกันเลย..หรือยังไง?” พ่อหนึ่ง-นึกคิด ฟันธงผ่านสื่อชัดเจนว่า สาเหตุที่ลูกสาวคนโต “กุญแจซอล” นางเอกสาวช่อง 7 แอบอุ้มท้องจนต้องหนีออกจากบ้านไปนั้น ไม่ได้เกิดจากผลของการเลี้ยงดูแบบ “ไข่ในหิน” อย่างที่ถูกวิจารณ์ ลูกสาวอีกคนออกโรง บอกครอบครัวไม่เคยเลี้ยงแบบบังคับ ขณะที่จิตแพทย์ชี้ การเลี้ยงดูย่อมส่งผลอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ทั้งหมด...



“ซอล” เปลี่ยนไป เพราะเลี้ยงแบบ “ไข่ในหิน”?

["น้องกุญแจซอล" กับ "คุณพ่อหนึ่ง-นึกคิด บุญทอง"]
“มันไม่ใช่ครับ มันไม่ใช่เพราะการดูแล” หนึ่ง-นึกคิด บุญทอง นักแสดงรุ่นใหญ่มากฝีมือ ผู้เป็นพ่อของนางเอกสาว “กุญแจซอล-ป่านทอทอง บุญทอง” ตอบอย่างเต็มปากเต็มคำว่า สาเหตุที่ลูกสาวหนีออกจากบ้านไปกับแฟนคนแรก “นาวาอากาศโท ฌณัฏฐ์ เลิศพัฒนาไทย” แฟนหนุ่มดีกรีกัปตันสายการบินไทยสมายล์ ตั้งแต่เมื่อ 8 เดือนที่แล้วนั้น ไม่ได้เป็นผลมาจากการเลี้ยงดูของครอบครัวแบบประคบประหงมเกินไป แต่น่าจะเป็นเพราะ “ความหลง” ในรักแรก กับการ “ถูกบงการ” จากฝ่ายชายมากกว่า

นี่ขนาดดูแลนะ ถ้าคุณลองเลี้ยงลูกปล่อยๆ สิ เขาจะไม่ไปท้องไม่มีพ่อ อย่างที่มีข่าวกันเลย..หรือยังไง มันเป็นดวงของเขาทั้ง 2 คน เป็นดวงของครอบครัวผม ก็พยายามบอกลูกตลอดว่า ให้ดูดีๆ เพราะคนที่จะมาเป็น “พ่อที่ดีของลูก” ไม่ได้หาง่าย แต่ผมเข้าใจ เพราะเป็นรักครั้งแรกของลูกสาว อาจจะมีความหลงเข้ามาปนอยู่ด้วย

ถามว่าในความรู้สึกของผม ณ ตอนนี้เป็นยังไง ผมยังช็อกและยังงงอยู่ ไม่รู้ว่าทำไมเรื่องอย่างนี้ถึงเกิดกับครอบครัวเรา แค่นี้เราก็เจ็บปวดมากพอแล้ว”


เรื่องที่ทำให้เจ็บปวดที่สุดสำหรับคนเป็นพ่อ ไม่ใช่แค่ลูกสาวหนีหายไปจากบ้านพร้อมผู้ชาย เป็นเวลา 8 เดือน แต่เพราะลูกสาวคนนั้น แอบตั้งท้องโดยที่ไม่เคยปริปากบอกครอบครัวเลย แม้กระทั่งตอนที่ฝ่ายชายเข้าไปหาครอบครัว เพื่อจัดงานหมั้นหมายและแต่งงานตั้งแต่ช่วงต้นปี ซึ่งทางครอบครัวฝ่ายหญิงจะไม่ได้คัดค้าน เพียงแต่ขอรอให้จัดงานในเดือน พ.ค.ปีนี้ แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะรอไม่ไหว อาจเพราะแอบท้องกันอย่างลับๆ ก่อนหน้านั้นแล้ว

ตอนแรกมีคนพูดลือกันไปมากมาย แต่เราก็ไม่รู้จะพูดยังไง ซึ่งพอเราเห็นรูปของลูกออกมา เราถึงเข้าใจ เพราะเราก็ไม่ได้เจอหน้าลูกมา 8 เดือนแล้ว ในช่วงแรกที่เขาออกจากบ้านไป เราเป็นห่วงเขาสารพัด แต่พอรู้ว่าเขาปลอดภัยดี ก็รู้สึกว่าดีใจแล้ว ก็รอให้เขาออกมาพูดเองดีกว่าครับ ผมไม่มีอะไรจะพูดแล้ว เพราะจุกไปหมดแล้ว

[คอมเมนต์ต้นเหตุ ที่ทำให้เรื่องนี้แดงขึ้น]

อย่าว่าแต่อะไรเลย ขนาดตอนน้องไปประกวดบ้าน AF (ซีซัน 6) ใจเรายังแทบสลาย เพราะซอลไม่เคยจากบ้านไปไหนเลย ขนาดแค่ 3-4 เดือนเองนะ อันนี้ 8 เดือน คุณลองคิดสภาพ คนเป็นโรคหัวใจสิ แล้วแม่เองก็เป็นไมเกรนด้วย
ผมภาวนาให้ชีวิตครอบครัวของเขาประสบความสำเร็จ และอยู่ด้วยกันไปตลอดรอดฝั่ง เราเลี้ยงลูก เราเลี้ยงได้แต่ตัวจริงๆ ถ้าวันหนึ่งเขาพาหลานมาไหว้ขอขมา ผมยังไม่รู้เลย ยังคิดไม่ออกเหมือนกัน

[ภาพหลักฐาน โชว์ว่า "กุญแจซอล" ท้องอย่างที่ร่ำลือจริงๆ]

ได้แต่ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า ฝ่ายชายทำตัวไม่เหมาะสม อายุก็ปาเข้าไป 38 ปีแล้ว แต่กลับไม่ให้เกียรติลูกสาวในตอนมาสู่ขอ แถมยังมีพฤติกรรมชอบบงการอีกด้วย คือชอบสั่งห้ามให้รับงาน แถมล่าสุด ยังพาไปยกเลิกสัญญากับทางช่อง 7 เรียบร้อยแล้วด้วย

ตรงกับความคิดของ แม่มุก-มุกดา บุญทอง ที่พูดถึงเรื่องพฤติกรรมการ “บงการ” ของฝ่ายชายเอาไว้อย่างชัดเจน เพราะตลอดเวลา 8 เดือนที่ลูกหายไปอยู่กับฝ่ายชาย ไม่รับโทรศัพท์ ไม่ตอบไลน์ครอบครัว คุณแม่เคยให้คนที่ติดต่อได้ฝากไปคุยกับกุญแจซอลให้กลับมาบ้าน แต่คำตอบที่ได้ที่ทำให้พ่อแม่รู้สึกเจ็บปวดที่สุดคือ “ต้องปรึกษาพี่นัทก่อน”


["คุณแม่มุก-มุกดา บุญทอง" ห่วงลูกจนนอนไม่หลับตลอด 8 เดือน]

คือผู้ชายขู่ทุกคนที่โทร.ไปหาเขาและกุญแจซอล แม่เชื่อว่าส่วนหนึ่งกุญแจซอลน่าจะถูกผู้ชายบงการด้วย แม้กระทั่งกับแม่ของผู้ชายเอง ก็ไม่ให้ข้อมูลอะไรกับครอบครัวเราทั้งสิ้น แม่โทร.ไปขอร้องแม่เขา อ้อนวอนก็แล้ว พูดดีก็แล้ว ด่าก็แล้ว แต่แม่เขาก็พูดมาประมาณว่า ลูกไม่ให้ยุ่ง... ตอนนี้กุญแจซอลก็จะเข้าข้างแฟนเขา เรียกว่าอยู่ในช่วงที่กำลังหลง สิ่งที่แม่เสียใจคือตลอดเวลา 27 ปี แม่ไม่ได้เลี้ยงกุญแจซอลมาแบบนี้ แต่ตอนนี้เขากลายเป็นอีกคนหนึ่งเลย แม่ก็ไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับครอบครัวเรา”



เลี้ยง “สมบูรณ์แบบ” เกินไป โตเป็นผู้ใหญ่หนีความจริง

“การที่คนคนหนึ่งจะเติบโตเป็นยังไง มันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยมากครับ ไม่ใช่แค่เรื่องการปลูกฝังอย่างเดียว” รศ.นพ.ศิริ ไชย หงษ์สงวนศรี สาขาวิชาจิตเวชศาสตร์เด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ย้ำชัดผ่านปลายสายว่า ปัญหาใดๆ ที่เกิดจากการตัดสินใจของคนคนหนึ่ง ไม่ควรโทษเรื่องการเลี้ยงดูเพียงอย่างเดียว แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีส่วนไม่น้อยเหมือนกัน

“ถามว่า การเลี้ยงดูแบบประคบประหงมเกินไป มันมีผลเสียไหม มีหลายทางเลยครับ คือถ้าประคบประหงมแบบช่วยเหลือเขาเยอะ ทำอะไรให้ทุกอย่าง พอโตมา เขาก็จะขาดทักษะหลายๆ อย่างในเรื่องการช่วยเหลือตัวเอง

บางครั้งการที่ดูแลเลี้ยงดูเด็กมาแบบ "สมบูรณ์แบบ" เกินไป คือแทบจะไม่ปล่อยให้เขาได้เจอกับปัญหาอะไรเลย โตขึ้นเขาก็จะเป็นคนที่แก้ปัญหาอะไรไม่ค่อยเป็น ตัดสินใจอะไรไม่ค่อยได้ดีนัก หรือตัดสินใจผิดพลาดเพราะไม่ค่อยได้เจอปัญหา


ส่วนที่ทำให้บางคนทำผิดแล้ว ไม่กล้าบอกความจริง มันก็เป็นที่เข้าใจได้ว่า บางเรื่องมันก็เป็นเรื่องยากที่จะบอก ยิ่งถ้าพ่อแม่ไม่ได้ฝึกทักษะให้เขาจัดการเรื่องต่างๆ ได้เหมาะสมมาตั้งแต่เล็กๆ แล้วด้วย ยิ่งยากครับ

ส่วนใหญ่ถ้าลูกไม่พูดความจริง ไม่ยอมรับผิดกับพ่อแม่ จะเป็นเพราะเขาเคยบอกข้อผิดพลาดไปแล้ว แล้วผู้ปกครองแทนที่จะช่วยประคับประคอง แต่กลับตำหนิมากกว่าเดิม หรือทำอะไรไม่ตรงกับความคิดพ่อแม่ แล้วเด็กจะถูกสั่งสอนให้ทำแบบนี้ๆ ก็จะทำให้เด็กรู้สึกว่า บอกไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร

การจะทำให้ลูกๆ กล้าบอกความผิดพลาดกับพ่อแม่ก็คือ ทำยังไงก็ได้ให้เขารู้สึกว่า บอกแล้วพ่อแม่รับฟัง หรือบอกแล้วจะไม่ถูกซ้ำเติม อยู่เป็นเพื่อน และพร้อมที่จะช่วยแก้ไขปัญหา และที่สำคัญคือต้องปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆ 3-4 ขวบก็สอนได้แล้ว หลายๆ อย่างมันขึ้นอยู่กับเรื่องความสัมพันธ์ว่า เราเข้าใจจิตใจลูก หรือมีเวลาพูดคุยกันแค่ไหน

["นัท-นาวาอากาศโท ฌณัฏฐ์ เลิศพัฒนาไทย” ที่เข้ามา แล้วทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป]

ส่วนเรื่องจะประคบประหงมแค่ไหน ถึงจะไม่เรียกว่าเกินไป ก็ควรดูแลเยอะๆ แค่ช่วงปีแรกครับ พอเขาโตถึงวัย 20 ขึ้นไป ก็ไม่ควรประคบประหงมอะไรมากแล้ว เพราะถือว่าเป็นผู้ใหญ่พอสมควรแล้ว ควรจะช่วยเหลือตัวเองเดินทางไป-กลับเองได้ตั้งแต่ช่วง ม.ต้นหรือ ม.ปลาย ให้ไปขนส่งสาธารณะได้เองบ้างตามความเหมาะสม

ถ้าเอาแนวทางจากคุณหมอ มาวิเคราะห์กับแนวทางการเลี้ยงลูกของครอบครัว “บุญทอง” แล้ว คนที่มองเพียงผิวเผินอาจจะคิดว่า ครอบครัวนี้เลี้ยงลูกแบบ “ไข่ในหิน” อย่างที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์จริง เพราะคนส่วนใหญ่มักจะเห็นภาพคุณพ่อคุณแม่ ไปรับไปส่งลูกสาวตลอดเวลา แม้กระทั่งช่วงลูกประกวดเวที AF ยังตามไปเฝ้าได้เป็นเดือนๆ


ความจริงในการเลี้ยงดูของครอบครัวนี้นั้นเป็นอย่างไร จะมีผลให้กุญแจซอลเลือกตัดสินใจผิดในวันนี้ไหม เราคงไม่อาจไปตัดสินแทนได้ มีเพียงคำพูดจากน้องสาวของกุญแจซอล “แจกัน-ปอถักทอง บุญทอง” ที่ได้พูดถึงการเลี้ยงดูของครอบครัวเอาไว้ ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวของเธอ "Jaegun Boonthong" หลังเรื่องราวของพี่สาวกลายเป็นประเด็นที่เดือดที่สุดขณะนี้

“สำหรับครอบครัวเราพ่อแม่เลี้ยงมาแบบสไตล์โบราณ คืออยู่ด้วยกันไปไหนด้วยกัน มีอะไรให้บอกกันตลอด พ่อแม่คอยรับส่งเวลาพวกเราไปไหนมาไหน ไปทานข้าวด้วยกันเกือบทุกวันและทุกมื้อ

แต่พอเราเริ่มโตขึ้นพ่อแม่ก็เริ่มปล่อยให้เรียนรู้ชีวิตมากขึ้น ให้เรานั่งรถเมล์ รถตู้ไปเรียนเอง แก้ปัญหาบางเรื่องเอง ใช้ชีวิตเหมือนวัยรุ่นทั่วไปทุกอย่าง ให้เราเลือกทำในสิ่งที่ชอบและคอยแนะนำอยู่ห่างๆ

แม่เราเป็นคนไม่ปากหวาน เขาจะไม่เลี้ยงลูกแบบโอ๋ แต่จะคอยใช้เหตุผลสอนลูกๆ ทุกเรื่องเสมอ เป็นคนดุ แต่ดุเฉพาะเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เป็นคนตรงๆ แต่ไม่เคยเลี้ยงลูกแบบบังคับ มีแต่คอยเคี่ยวเข็ญลูกๆ ทุกคนมากกว่า

[กาลครั้งหนึ่ง ครอบครัวเคยพร้อมหน้ากัน]

ครอบครัวเราอยู่เหมือนเป็นเพื่อน พี่น้อง มาถึงตอนนี้ อยากจะบอกทุกคนว่า ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ไม่รักลูกตัวเองนะคะ แต่ที่แม่หนูต้องออกมาพูด เพราะครอบครัวเราอดทนมานานถึง 8 เดือนแล้ว พ่อกับแม่ไม่อยากโกหกสังคม ทั้งครอบครัวเครียดกันหมด พ่อหนูก็เป็นโรคหัวใจ แม่ก็เป็นหัวใจเต้นผิดจังหวะ แม่นอนร้องไห้ทุกวัน บางวันหนูตื่นมาดื่มน้ำ เที่ยงคืน ตี 1 แม่ยังนั่งรอพี่ซอลหน้าบ้านอยู่เลย

หนูเองปกติสนิทกับพี่สาวที่สุด เรานอนห้องเดียวกัน ก่อนนอนต้องคุยกัน มีอะไรคุยเล่ากันทุกเรื่อง แต่มาจนถึงวันนี้ 8 เดือนแล้วที่ไม่ได้เจอกัน ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียง หวังว่าทุกคนคงเข้าใจความรู้สึกพวกเรานะคะ ขอบคุณค่ะ"


ข่าวโดย ผู้จัดการ Live
กำลังโหลดความคิดเห็น