xs
xsm
sm
md
lg

น้าต๋อย เซมเบ้ “เด็กที่ดูการ์ตูนวันนั้น คือคนที่โตมาช่วยชีวิตผมวันนี้”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ขนาด "โงกุน" ยังทนเจ็บไหว แล้วทำไม "น้าต๋อย" ถึงจะทนไม่ได้!! เปิดใจนักพากย์ชื่อดังของไทย หลังป่วยหนักจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ล่าสุดเอาชนะโรคร้ายจนกลับมามีแรงพากย์เสียงได้อีกครั้ง พร้อมเผยเบื้องหลังที่ผ่านวิกฤติมาได้ เป็นเพราะ "แฟนคลับ" ที่โตมากับเสียงพากย์ของผู้ชายคนนี้นี่เอง!!

น้าต๋อยคัมแบ็ก!

“พลังคลื่นเต่าสะท้านฟ้าาาาา!!”
เมื่อเห็นประโยคท่าไม้ตายจากการ์ตูนเรื่อง ดราก้อนบอล ประโยคนี้ จะนึกถึงใครไปไม่ได้ นอกจาก น้าต๋อย - นิรันดร์ บุณยรัตพันธุ์ หรือที่คุ้นเคยกันในชื่อของ “น้าต๋อย เซมเบ้” นักพากย์การ์ตูนชื่อดังของเมืองไทย ที่ก่อนหน้านี้หายหน้าหายตาไปจากการพากย์เสียงอยู่พักใหญ่ เพื่อรักษาอาการป่วยทั้งหอบหืด ปอดติดเชื้อ งูสวัด รวมถึงกระดูกสันหลังแตก

ล่าสุดแฟนๆ เสียงพากย์ของน้าต๋อยได้เฮดังๆ ก็เพราะอาการป่วยในครั้งนั้นค่อยๆ ทุเลาขึ้นตามลำดับจนสามารถกลับมาสร้างความสุขผ่านหน้าจอได้ดังเดิม ทีมข่าวผู้จัดการ Live จึงคว้าตัวนักพากย์ในตำนานคนนี้มาพูดคุย พร้อมทั้งอัปเดตเรื่องราวในช่วงระหว่างที่เว้นว่างไปจากการพากย์เสียง ให้ได้หายคิดถึงกันอีกครั้ง

“สำหรับอาการป่วยตอนนี้มันทรุดนิดหน่อยเพราะงูสวัดเลยกำเริบอีก ช่วงที่ป่วยก็เข้าออกโรงพยาบาลบ่อยมาก เริ่มจากผ่าตัดตอนปี 57 กระดูกสันหลังแตก ช่วงผ่าตัดผมแทบไม่มีภูมิต้านทานเลย หมอบอกผมไม่น่ารอด เพราะว่าภูมิแพ้ก็เป็น หืดหอบก็เป็น แล้วงูสวัดมันเพิ่มเข้ามาตอนผ่าตัดเพราะว่าเสียเลือดมาก



จนกระทั่งกลางเดือนมกราคม 58 ก็ออกมา แต่ต้องเข้าไปใหม่ กระดูกสันหลังก็ยังไม่หายดี เดินไม่ได้เลย จิตตกมากเพราะกลัวว่าจะเป็นอัมพาต ผมต้องฝึกใช้วอร์กเกอร์พยุงไป ผ่านไปครึ่งปีก็ต้องเข้าผ่าตัดใหม่เพื่อใส่ไทเทเนียมประกบเอาไว้ ใส่น็อตอีกข้างละ 5 ตัว แต่งูสวัดก็ไม่ยอมหาย ช่วงนั้นผมผอมมากจากน้ำหนัก 70 ลดเหลือประมาณ 58 กิโล ลดฮวบเลย หลังผ่าตัดกระดูกสันหลังก็เชื่อมต่อได้ดีภายในเดือนกว่าๆ แต่ที่ไม่หายคือยังเป็นงูสวัดอยู่ มันปวดยิ่งกว่ากระดูกสันหลังอีก”

นักพากย์ชื่อดังวัย 62 ปี เล่าถึงอาการป่วยช่วงที่วิกฤตที่สุด ที่ไม่เพียงแค่กระดูกสันหลังแตก ยังรวมไปถึงความปวดจากการโดนงูสวัดเล่นงานอย่างหนัก เขาเล่าว่า กำลังใจสำคัญที่ผ่านพ้นช่วงนั้นมาได้ นอกจากครอบครัวแล้ว ยังได้กำลังใจจากแฟนคลับและกำลังใจจากตัวการ์ตูนแนวต่อสู้ชื่อดัง “ซุนโงกุน” ที่เขาเป็นคนให้เสียงพากย์เอง

“ช่วงนั้นงูสวัดก็กำเริบอยู่ตลอด ผมต้องทานยาแก้ปวดวันละ 8 เม็ด ยาบำรุงไขสันหลังอีกวันละ 6 เม็ด และยาอื่นๆ อีก ผมทานยามื้อนึงเกือบ 30 เม็ด ทานวันละ 2 รอบ ผ่านไป 2 ปีก็เริ่มทุเลาตอนครึ่งปีหลัง ทานยาแก้ปวดลดเหลือ 6 เม็ด ซึ่งยาแก้ปวดนี่แพงมาก ฉีดยาแก้งูสวัดเข็มละ 5,000 บาท ผมต้องฉีดวันละ 3 เข็มเป็นเวลา 7 วัน อื้อหือ(ถอนหายใจใหญ่) เฉพาะงูสวัดอย่างเดียว ผมเสียเงินไปประมาณ 500,000 กว่าบาท เยอะมากครับ ผมต้องทนปวด ทนมหาศาลเลย ทั้งกระดูกสันหลังทั้งงูสวัด

ถามว่างูสวัดมันปวดแบบไหน มันปวดจนต้องกลั้นลมหายใจ ต้องกำหนดจิตเลยนะ ปวดทุกๆ 5 วินาที ลองคิดดูนะ สมมติเป็นแผลประมาณ 1 - 2 ซม. เอาทิงเจอร์ไอโอดีนราดลงไป มันแสบแบบนั้น แต่ผมเป็นแผลใหญ่มาก กว้างเท่าสายนาฬิกาอยู่รอบเอว คิดดูจะปวดขนาดไหน มันปวดแสบปวดร้อน ปวดจนตัวบิดเลยล่ะ ตอนนี้ก็ยังปวดอยู่ แต่มันทุเลาลงหน่อย จากเมื่อก่อนเกือบ 100 % เหลือประมาณ 40%



แฟนคลับร่วมส่งภาพท่าบอลเกงกิมาเป็นกำลังใจให้

ตอนที่ผมเป็นหนักๆ ผมก็นึกถึงตัวการ์ตูนซุปเปอร์ฮีโร “ซุนโงกุน” เพราะมันสู้จนบาดเจ็บ มันก็ทน แล้วผมพากย์เอง ผมก็ต้องทนให้ได้ แล้วก็ได้กำลังใจจากตัวการ์ตูนและแฟนคลับ ที่ส่งภาพมาให้ในแฟนเพจ เขาชูมือ 2 มือเป็นท่าบอลเกงกิส่งมาให้เต็ม ทั้งตำรวจ ทหาร โจอี้บอยก็ส่งมาให้ หลากหลายอาชีพมาก เป็นกำลังใจให้ผมในช่วงเวลานั้น”

เมื่อให้น้าต๋อยประเมินความแข็งแรงของตัวเอง น้าต๋อยกล่าวว่า อยู่ที่ประมาณ 70 % เพราะสภาพจิตใจย่ำแย่ลง เนื่องจาก “เจ้าโนบิ” สุนัขสุดรักจากไปเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน แต่สุขภาพกายก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ จนตอนนี้สามารถใช้วอร์กเกอร์เดินได้ด้วยตัวเองและกลับไปทำงานพากย์เสียงได้อีกครั้ง

“ผมออกจากโรงพยาบาลอาทิตย์แรก ก็ขอเข้าไปพากย์หนังแล้ว ขนาดเดินไม่ได้ หิ้วปีกกันไป ที่ช่อง 7 เขาก็เมตตาผม ตั้งแต่ยามไปจนถึงทีมพากย์ช่วยกันประคอง ได้ไประบายอารมณ์ความปวดหน่อย ถ้าไม่ได้พากย์หนังคงบ้า อยู่บ้านผมจิตตกเพราะมันปวดมาก ช่วงเวลาที่ผมไปพากย์หนัง ผมก็จดจ่อกับหนัง ถึงมันจะปวดแต่จิตมันอยู่ที่หนัง ส่วนอาการป่วยก็ไม่ได้กระทบต่อเสียงพากย์ เพราะช่วงที่พากย์ เราใส่ของเราเต็มที่ครับ”


“คริสตัลไนท์” ฮีโรไทยฝีมือน้าต๋อย



“ตอนแรกคิดไว้ว่าถ้าไม่ป่วยจะหยุดพากย์แล้ว เพราะว่าก่อนอายุ 60 ช่วงนั้นผมเริ่มเป็นภูมิแพ้ รู้สึกว่าเหนื่อยกับการทำงานมาก เลยคิดว่าจะสร้างตัวแทนให้เด็กๆ เห็นก่อนลาวงการ เลยอยากจะสร้างคาแรกเตอร์ของตัวเองขึ้นมา เราควรจะมีฮีโร่ของตัวเอง ประมาณปี 49 ก็เลยคิดโครงการ คริสตัลไนท์ รวบรวมเงินทั้งหมดที่มีทั้งเงินเก็บส่วนตัวและของบริษัทด้วย เกิน 15 ล้านบาท ผมลงทุนไปวัดเส้าหลินเอง ทางวัดเส้าหลินก็ตอบรับอย่างดี
หลังจากนั้นผมก็ไปดูเขาฝึกกังฟูกัน มาปรับวิชา เอาตรงนี้มาสอนเด็กในหนังเรื่องนี้ ถ่ายทำอยู่ 2 ปีเต็ม สิ่งหนึ่งที่ภูมิใจคือ ชุดของเราคิดเองและจดลิขสิทธิ์ในเมืองไทยเรียบร้อย สัตว์ประหลาดก็จดลิขสิทธิ์ แล้วสถานที่ถ่ายทำผมก็เอาในเมืองไทยหลายจุด ให้สู้กับตรงป้อมพระสุเมรุเท่ๆ สะพานพระราม 8 ชลบุรี วัดพุทไธสวรรค์ ถ้ำค้างคาวราชบุรี เจอสิ่งลี้ลับเยอะมาก ใส่เอฟเฟกต์แบบง่ายๆ ไม่เหมือนของญี่ปุ่นแต่ดูดี ถามว่าทำไปเพื่ออะไร ผมทำเพื่อให้เด็กได้เห็นว่าครั้งหนึ่งน้าต๋อยก็ได้สร้างอะไรที่เป็นสิ่งที่เราฝันไว้สำเร็จ ได้เห็นช่วงเวลานั้น เก็บไว้เป็นอนุสรณ์”


“คนดูการ์ตูน ก็คือคนที่โตขึ้นมาเป็นคนดี”

จากที่กล่าวไปข้างต้นแล้วว่า ส่วนหนึ่งที่ทำให้มีกำลังใจต่อสู้จากอาการป่วย มาจากตัวการ์ตูนที่น้าต๋อยพากย์คือ “ซุนโงกุน” จากเรื่องดราก้อนบอล เขาเล่าว่า เมื่อ 30 ปีก่อน ในสมัยที่การ์ตูนเรื่องนี้มาเมืองไทยใหม่ๆ ก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่วายมีคำถ้วงติงจากผู้ใหญ่ว่า การ์ตูนไม่ให้ประโยชน์อะไรกับเด็ก ซ้ำยังมีเนื้อหารุนแรง

ในฐานะที่น้าต๋อยเป็นอีกคนที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการการ์ตูนมาหลายสิบปี จึงขอพูดถึงการ์ตูนในอีกมุมหนึ่ง ที่ไม่ได้ให้เพียงแค่ความสนุกนาน แต่ยังให้ความเป็นครอบครัว เป็นแรงผลักดันให้หลายคนทำตามฝันจนสำเร็จ สร้างคนดีมาช่วยเหลือสังคมรวมถึงช่วยชีวิตน้าต๋อยไว้ด้วย

“เมื่อ 30 ปีที่แล้ว ตอนดราก้อนบอลมาใหม่ๆ ก็โดนโจมตีว่ามันรุนแรง มันให้อะไรเด็กมั่ง ช่วงเวลานั้นมีการจัดสัมมนาใหญ่เลยนะ สื่อมวลชนมาเยอะมาก นักวิชาการ นักการเมือง ครูใหญ่ มีผู้อภิปรายมาเยอะมาก ผมก็เป็นคนสุดท้ายที่ขึ้นพูด มาถึงเห็นแต่ละคนหน้าตาเครียดกันเลย ผมก็สลายความเครียด ว่าที่มาสายเพราะยืนดูการ์ตูนที่ตัวเองพากย์อยู่ ก็เล่าเรื่องย่อแล้วถามมีใครดูบ้างครับ ปรากฏว่ายกมือกันเป็นแถวเลย



ผมก็เลยสรุป ไหนบอกไม่ชอบการ์ตูน หัวข้อการ์ตูนให้อะไรเด็ก ให้ความรุนแรง มอมเมาเด็ก ดูแล้วน่ากลัวมาก แต่คิดอีกมุมหนึ่งนะครับ การ์ตูนให้อะไรเด็กบ้าง ข้อที่ 1 ให้ความเป็นครอบครัว เพราะบ้านแต่ละบ้านก็มีทีวีจอแก้วเครื่องเดียว เปิดมาเด็กก็ดูการ์ตูนพร้อมกับพ่อแม่ สงสัยอะไรก็ถาม คุณอย่าไปมองว่ามันรุนแรง แต่ผมเน้นตรงนี้ นี่คือให้กิจกรรมร่วมกัน ข้อที่ 2 การ์ตูนมันมอมเมาเด็กแล้วโตขึ้นจะเป็นยังไง อันนี้ตอบยากมากเพราะยังไม่เกิดเลย แต่ผมก็คิดไปในทางที่ดี ว่าจะต้องเป็นคนดี คำตอบนั้นก็ทิ้งไว้เมื่อ 30 ปีที่แล้ว

30 ปีต่อมา คำถามนี้มันสะท้อนมาถึงผมเลย ผมมาเจ็บปางตาย คนที่มารักษาผมเขาดูการ์ตูนที่ผมพากย์มาตั้งแต่เด็ก คนที่ผ่าตัดผมเป็น พลตำรวจเอกมือหนึ่งของโรงพยาบาลตำรวจ ดูตั้งแต่สมัยหน้ากากเสือ หมอที่มารักษาหืดหอบ ภูมิแพ้ ดูการ์ตูนกันหมดทั้งโรงพยาบาล ก็เป็นคำตอบว่า เด็กที่ดูการ์ตูนโตขึ้นมาเป็นยังไง ก็มาเป็นคนที่ช่วยชีวิตผม”

นอกจากนี้ นักพากย์ในตำนาน ยังเล่าถึงประสบการณ์เมื่อครั้งได้มีโอกาสขึ้นเวที Ted Talk ที่เชิญเขาไปให้พูดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ น้าต๋อยก็ได้ย้ำคำตอบนี้บนเวทีอีกครั้ง ว่าคนที่ดูการ์ตูน ก็คือคนที่โตขึ้นมาเป็นคนดี



“คำตอบเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ที่ยังกังขาอยู่ว่า เด็กสมัยนั้นโตขึ้นจะเป็นคนยังไง ผมก็พูดบนเวทีว่า เขาก็มาช่วยชีวิตผมนั่นเอง แล้วยังมีอีกหลายคนที่เป็นคนดี เป็นทหาร เป็นตำรวจ ยกมือเป็นแถวเลย มีคนเขียนมาในแฟนเพจว่า ผมดูการ์ตูนเรื่อง มาครอสจ้าวเวหา ตั้งแต่ 7 ขวบ ผมอยากเป็นนักบินมาก ปัจจุบันนี้ผมเป็นกัปตันการบินไทย เห็นมั้ยครับว่ามันได้อะไรจากการ์ตูนมา เป็นแรงบันดาลใจ ไม่ใช่ว่าการ์ตูนจะเลวไปหมดหรือการ์ตูนจะดีไปหมด ผมก็ให้คำตอบนี้ไป

สำหรับการเปลี่ยนแปลงของการ์ตูนถึงตอนนี้ มันเปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ผมพากย์ สมัยก่อนยังเป็นการ์ตูนซุปเปอร์ฮีโร่ผดุงคุณธรรม แต่สมัยนี้การ์ตูนมันเป็นแฟชันไป การแปลงร่างก็เป็นแฟชัน มันสู้ด้วยความอิจฉาริษยา ผมก็ไม่ค่อยอยากพากย์เลยปลีกตัวออกมา เขาเชิญไปพากย์เซเลอร์มูนก็เข้าไปพากย์ทั้งที่ทิ้งมา แต่ที่ไม่น่าเชื่อคือได้กลับไปพากย์ดราก้อนบอลอีกครั้ง เพราะภาคสุดท้ายมันจบไปเกือบ 20 ปี แล้วก็สร้างซีรีย์ใหม่ให้ฟรีเซอร์กลับมาเกิดสู้กันใหม่ เขามาตามให้ไปพากย์ เป็นซุนโงกุนกับฟรีเซอร์ตัวเดิมครับ”


“กบเคอร์มิท” ตัวละครที่อยากพากย์มากที่สุด



เอกลักษณ์ที่มักจะใส่ไปในการพากย์ ผมใส่ความทะเล้นครับ ช่วงเวลานั้นการ์ตูนก็โดนโจมตีเยอะ ว่ามันมอมเมา โป๊บ้าง อย่างซิตี้ฮันเตอร์นี่โดนประจำ เพราะสาวๆ ในเรื่องใส่กระโปรงสั้นกัน พวกผู้ใหญ่บางคนก็จี้จุดว่ามันโป๊ ผมก็พากย์ให้มันทะเล้นมากยิ่งขึ้น เด็กจะได้ไม่ติดตรงนั้น แต่ไม่ได้นอกบทเสริมบทอะไร เป็นมุกสดๆ
ส่วนตัวละครที่อยากพากย์คือ เจ้ากบเคอร์มิท หุ่นมือของหนังฝรั่งใน Sesame Street ผมอยากพากย์ตัวนี้มากแต่ไม่ได้พากย์ แล้วเมื่อปีที่แล้วได้ไปออกรายการตีสิบเดย์ คุณวิทวัสเค้าถามว่า อยากพากย์ตัวอะไรแล้วไม่ได้พากย์ ผมก็ตอบไปว่าเจ้ากบเคอร์มิท แกไปควานหามา ผมก็พากย์นอกบท คุณวิทวัสแกก็เชิดของแกไปเรื่อย ก็ตลกไป เพราะเคอร์มิทมันต้องทะเล้น ต้องทำเสียงแบบนี้ แต่ว่าเสียงของเขาเป็นฝรั่งคนแก่พากย์ ผมว่ามันไม่ค่อยเข้า ผมเลยพากย์ให้ทะเล้นเนี่ยแหละครับ ที่ชอบเพราะมันทะเล้นมาก นอกจากซุนโงกุนแล้ว ก็มีเคอร์มิทเป็นบุคลิกที่ผมชอบ เลยอยากพากย์มากครับ


3 ทศวรรษในวงการนักพากย์

แม้จะห่างหายจากการพากย์เสียงเพื่อไปรักษาสุขภาพอยู่นาน แต่เสียงพากย์ของน้าต๋อย ก็ไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำของแฟนๆ แม้แต่น้อย ซึ่งตัวการ์ตูนที่สร้างชื่อเสียงให้เขาก็มีมากมาย อย่าง หน้ากากเสือ,ไจแอ้นท์,ดร.สลัม,ไซบะเรียวในซิตี้ฮันเตอร์,คอบบร้าเห่าไฟสายฟ้าฯลฯ แต่ที่ดังที่สุดก็เห็นจะเป็น ซุนโงกุน เมื่อให้นับย้อนไปตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบันที่อยู่ในวงการนี้ นักพากย์เสียงเอกลักษณ์ก็ตอบกลับมากว่าเป็นเวลากว่า 30 กว่าปีแล้ว

“ผมอยู่ในวงการโทรทัศน์มาตั้งแต่เด็ก เพราะว่าคุณปู่กับคุณพ่อผมเป็นรุ่นบุกเบิกวงการโทรทัศน์ของเมืองไทย ก็คือช่อง 4 บางขุนพรหม ปัจจุบันคือช่อง 9 อสมท สถานีโทรทัศน์แพร่ภาพตอนปีผมเกิดพอดีคือ 2498 และเป็นปีเดียวกับที่บริษัทโตเอะ อนิเมชัน ที่สร้างการ์ตูนเกิดขึ้นที่ญี่ปุ่นด้วย ผมไปวิ่งเล่นที่สถานีโทรทัศน์ประจำ คุณปู่กับคุณพ่อก็สอนเกี่ยวกับระบบหลายๆ อย่าง ทั้งระบบไฟ ระบบฟิล์มภาพยนตร์เพราะคุณพ่อเก่งเรื่องนี้ พอเลิกเรียนก็ต้องไปที่ช่อง จนกระทั่งมีความรู้สึกว่า เราอยากทำงานด้านโทรทัศน์


ขวัญใจเด็กๆ มาทุกยุคทุกสมัย

จนประมาณ มส.4 ผมก็ได้อาจารย์สอนผมให้ใช้เสียงคือ คุณฉลอง สิมะเสถียร แกก็สอนผมใช้เสียงที่ถูกต้อง การอ่านออกเสียง ผมเริ่มฝึกพากย์หนังตั้งแต่ปี 2518 ตอนนั้นเรียนอยู่ มส.5 เมื่อผมถูกโอนมาสังกัดภาพยนตร์ ก็มีความรู้สึกอยากพากย์หนัง ฝึกมาปีนึงก็ได้พากย์ เป็นหนังจีนเรื่องแรกที่เข้ามาเมืองไทยคือ ขบวนการเปาเปียวกับหนังตลกเรื่อง 3 เกลอหัวแข็ง ก็ฝึกมาเรื่อยๆ แล้วก็เรียนไปด้วย

ช่อง 9 การ์ตูนเกิดตอนปี 2523 มีคนเอาการ์ตูนมาฉาย เรื่องไดมอส ยอดขุนพล สมัยนั้นรุ่นใหญ่ไม่มีใครพากย์ ผมเลยก่อตั้งทีมพากย์การ์ตูนขึ้นมา 4 คน แต่เด็กไม่ติดเพราะเราพากย์สไตล์หนังฝรั่งหนังจีน พอตอนหลังเด็กเริ่มติดคือเรื่องหน้ากากเสือ ที่ติดเพราะผมพากย์มั่ว มั่วไปมั่วมาเด็กชอบ สมมติหน้ากากเสือจะเรียกแท็กซีจะไปย่านฮาราจกุ มันพูดยาก ก็เลยใส่เป็นไปราชดำเนินแทน(หัวเราะ)”

บทบาทนักพากย์การ์ตูนของน้าต๋อยดำเนินมาเรื่อยๆ พร้อมกับการเติบโตของช่อง 9 การ์ตูน แต่จุดเปลี่ยนที่ทำให้ช่อง 9 การ์ตูน โด่งดังอย่างสุดขีดนั้น ไม่ได้มาจากการ์ตูนต่อสู้สุดมัน หรือการ์ตูนแปลงร่างที่เด็กผู้หญิงชื่นชอบ หากแต่เป็นการ์ตูนแมวหุ่นยนต์สีฟ้า ที่ยังคงเป็นที่นิยมมาจนถึงทุกวันนี้ นั่นก็คือ “โดเรม่อน”

“มีการ์ตูนหลายเรื่องเข้ามา แต่ที่ดังที่สุดคือเรื่อง โดเรม่อน เขาให้ผมพากย์เป็น ไจแอ้นท์ คิดว่าเด็กจะเกลียด แต่ไม่เชื่อ พอพากย์ไปเด็กกลับชอบไจแอ้นท์เยอะมาก โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงที่เขียนจดหมายมา ไจแอ้นท์ไม่ใช่คนไม่ดีนะคะ ไจแอ้นท์เป็นคนรักเพื่อนแต่เขากร่างไปงั้นเอง


ส่วนหนึ่งของตัวการ์ตูนที่น้าต๋อยเคยพากย์

พอปี 2527 ก็มี ดร.สลัมกับหนูน้อยอาราเร่ ช่วงนั้นจดหมายมาเยอะมากเกือบ 5,000 ฉบับต่อเดือน เลยต้องหาคนออกทีวี ก็เป็นหน้าที่ผมเพราะรู้การ์ตูนเยอะ มีอ่านจดหมายที่เด็กส่งมา เด็กชอบบุคลิกแบบนี้(หัวเราะ) ชื่อน้าต๋อยเซมเบ้ก็ได้มาจากเรื่อง ดร.สลัมกับหนูน้อยอาราเล่ครับ

ถ้าถามถึงจำนวนตัวละครที่ผมพากย์ เยอะมากเลย จำไม่ได้ ผมว่าผมเป็นคนพากย์หนังมากที่สุดในเมืองไทยนะ ไม่ได้พากย์เก่ง แต่พากย์เยอะมาก การ์ตูนปีละ 7-8 เรื่อง หนังคืนละ 3 เรื่อง ผมพากย์หนังเป็น 7-8 พันเรื่อง พากย์มาได้ไงไม่รู้เกือบ 20 ปี(หัวเราะ) แต่ก็มีงานที่ปฏิเสธคือหนังไทย ยอมรับว่าพากย์ยากมาก เมื่อก่อนเวลาเขาถ่ายทำเขาจะไม่เอาเสียงเดิม เราต้องพากย์เป็นลิปซิงค์ โห พากย์ยากมาก ไหวครับขอลาเลย”

สุดท้ายนี้ น้าต๋อยได้ฝากคำขอบคุณถึงบรรดาแฟนคลับที่ติดตามผลงานอยู่เสมอ แม้ทุกวันนี้จะมีผลงานพากย์เสียงน้อยลง แต่หากคิดถึงกันก็สามารถมาเยี่ยมเยียนที่แฟนเพจ “น้าต๋อยเซมเบ้ FanPage” และ Time Machine Cafe by Natoi Sembe ร้านกาแฟของน้าต๋อยที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน

“ขอขอบคุณบรรดาแฟนคลับที่ตอนนี้โตกันหมดแล้ว ขอบคุณที่ยังเป็นห่วงเป็นใยกัน มีอะไรก็คุยกันได้ทางแฟนเพจหรือจะมาเยี่ยมผมที่ร้านถ้าไม่ไกลเกินไป มานั่งคุยกัน ก็ขอขอบคุณทุกคนมากครับ เจอข้างนอกทักด้วยแล้วกัน แต่ช่วงนี้เสียอย่างนึง ผมกินยาเยอะมาก เจ็บมาจะ 3 ปี กินยาเป็นหมื่นเม็ดแล้ว รู้สึกความจำไม่ค่อยดี ต้องบอกน้าต๋อยนะว่าชื่อนี้เจอกันตรงนี้จะจำได้ เจอก็ทักเลย”



ย้อนวันวานไปกับ Time Machine Cafe by Natoi Sembe



“จุดเริ่มต้นของร้านนี้คือช่วงเวลาผมป่วย มันไม่รู้จะติดต่อกับคนที่เข้ามาในแฟนเพจยังไง เพราะผมก็เป็นรุ่นเก่า เล่นเฟซบุ๊กไม่เป็น ลูกชายเขาก็ทำให้ บางคนก็อยากเจอ ก็คิดว่าจะเจอยังไง ก็ปรึกษาลูกว่าอยากมีร้านกาแฟ ให้แฟนๆ มาเจอได้น่าจะดีเหมือนกัน ลูกก็หาสถานที่ให้ ทำกันเอง บางทีจะมีแฟนคลับมา ก็จะแจ้งไปที่เพจก่อนว่าน้าต๋อยจะเข้าวันนี้ๆ แต่ส่วนใหญ่ดูอาการผมเป็นหลักก่อน
ส่วนชื่อร้าน ตอนแรกจะใช้น้าต๋อยเซมเบ้ แต่ก็คิดไปคิดมา ลูกชายบอกตั้งเท่ๆ ดีกว่า บรรยากาศในร้านเป็นสไตล์ย้อนยุค ให้คนที่รักการ์ตูนได้มา เลยใช่ชื่อว่าไทม์แมชชีนเหมือนโดเรม่อน แล้วก็มีภาพการ์ตูนที่ผมพากย์ มีวิดีโอบรรยากาศสมัยผมจัดรายการเมื่อก่อน รูปเก่าๆ แต่ว่าน่าภูมิใจนะ คนมาเยอะ บางคนมาจากเชียงใหม่ จากโคราช มาจากไกลๆ กัน มาคุย มาถ่ายรูป เอาของมาให้ ผมก็เกรงใจ ก็เป็นที่ที่มีความสุข ผมก็หายเหงาไปได้ครับ”


สัมภาษณ์โดย : ผู้จัดการ Live
เรื่อง : กีรติ เอี่ยมโสภณ
ภาพ : วชิร สายจำปา
ขอบคุณภาพ : แฟนเพจ “น้าต๋อยเซมเบ้ FanPage”
ขอบคุณสถานที่ : ร้าน Time Machine Cafe by Natoi Sembe ซอยรัชดา 32
กำลังโหลดความคิดเห็น