กระชากหน้ากาก! ฤาษีจับ “ปอบ” ที่โดนสังคมประณามเพราะไปกล่าวหาว่าผู้หญิงคนหนึ่งในหมู่บ้านเป็นปอบ จนทำให้เดือดร้อนทำมาหากินกันไม่ได้ทั้งบ้าน หมอผีถูกขุดประวัติ! เคยต้องโทษในคดียาเสพติด ตั้งตัวเป็นผู้มีกายทิพย์ หลอกลวงชาวบ้านด้วยความเชื่อเรียกเงินหมื่น สังคมตั้งข้อสงสัย ฤาษีหรือแค่คนบ้า! ...ไทยแลนด์ 4.0 จะไปรอดมั้ยเมื่อเจอเรื่องนี้!?
เขาหาว่าฉันเป็น “ปอบ”
บ้านหลังหนึ่งใน ต.หนองกุง อ.ชื่นชม จ.มหาสารคาม ถูกชาวบ้านมโนว่า หญิงคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นเป็น “ผีปอบ” ครอบครัวของเธอที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังดังกล่าวมีกันทั้งหมด 9 ชีวิต รวมถึงยายวัย 70 ปี ลูกแฝดวัย 12 ปี และลูกวัย 14 ปี ทุกคนเครียด จิตตก!
สำหรับสาเหตุที่ชาวบ้านปักใจว่าเธอเป็นผีปอบนั้น เนื่องจากที่ผ่านมามีคนในหมู่บ้านเสียชีวิตที่ต่างจังหวัด 2 คน ผลการชันสูตรเกิดจากหัวใจล้มเหลว แต่มีหมอธรรมลงความเห็นว่าตายเพราะผีปอบ จึงมีการชักชวนให้ชาวบ้านลงขันกันไปจ้างฤาษีจากต่างจังหวัดมาทำพิธีปราบ โดยฤาษีมาทำพิธีทางไสยศาสตร์เรียกผู้ที่ถูกระบุเป็นผีปอบหลายคนเข้าไปหาทำพิธีแก้ไขตามแบบฤาษี ส่วนตนไม่ไปเพราะไม่ได้เป็นผีปอบ เมื่อไม่ไปพบฤาษี จึงถูกเข้าใจว่าขัดขืนคาดว่าคงไม่พอใจ
บรรยากาศในหมู่บ้านทุกคนรวมตัวกันทำพิธีขับไล่ปอบที่วัดโพธิ์ศรีหนองผือ พิธี “เซียงข้อง” ซึ่งเป็นการนำเอาไม้ง่ามวิ่งไล่จับปอบที่สิงสถิตอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ในหมู่บ้าน ลักษณะเป็นไม้ 2 อัน ขัดกันเพื่อจับผีปอบ โดยมีคนทั้งหมู่บ้านมารวมตัวกัน ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ โดยเด็ก จะถูกจับคู่กับผู้ใหญ่วิ่งข้องกัน เพื่อไล่จับผีปอบบริวาร 1,000 ตัว โดยออกมาจากบ้านหลังหนึ่ง ชาวบ้านเชื่อว่า บ้านนั้นมีผีปอบตน หนึ่งในร่างผู้หญิงที่ถูกสิง ชาวบ้านเรียกร้องให้ผู้หญิงคนที่เป็นปอบ ออกจากบ้านมาทำพิธีไล่ผีที่ศาลาวัดมาทำพิธีร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงที่ถูกใสร้ายว่าเป็นปอบ ยืนยันสาเหตุที่ไม่ไปร่วมพิธี เพราะไม่ได้เป็นปอบ เธอกล่าวว่า ไม่เชื่อเรื่องปอบแต่ไม่ได้ลบหลู่ เพราะตัวเองสุขภาพแข็งแรง ไม่ได้เบียดเบียนผู้ใด ก็เลยไม่คิดว่ามีอะไร เพราะมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในใจ
“ที่เราไม่ยอมไปร่วมพิธี ถ้าเรายอมไปแปลว่าเราเป็น ยังไงเขาก็หาว่าเราเป็น ถ้ายิ่งเราออกไปเขาก็ย้ำว่าเราเป็น เรายินดีจะพิสูจน์ทุกอย่าง แต่ไม่ใช่หมอธรรมผู้นี้ จะให้ไปพิสูจน์กับพระ กับใครก็ได้ เรายินดี บริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้เป็น”
เธอเล่าว่า ฤาษีก็มักจะพาชาวบ้านทำพิธีจับปอบไล่ปอบกันอย่างต่อเนื่อง ที่ตนเดือดร้อนที่สุดคือบางวันมีการมาชุมนุมทำพิธีกันหน้าบ้านของตน ชาวบ้านบางคนขว้างปาสิ่งของเข้ามา เพราะฤาษีบอกว่าผีปอบมารวมกันอยู่ในบ้านตน และญาติพี่น้องลูกหลานก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นผีปอบ จึงต้องมาอาศัยอยู่รวมกันในบ้านนี้
ฤาษีเก๊ ลวงโลก
ถูกแฉในโลกโซเชียลฯ ฤาษี หรือ หมอธรรม ลวงโลก อวดอ้างว่าเป็นผู้ปราบผี รักษาโรคได้ เรียกรับเงินเป็นหมื่น นอกจากนี้ ในเฟซบุ๊กส่วนตัวของเขายังมีการเฟซบุ๊ก Live สดให้ดูบรรยากาศในพิธีจับปอบอีกด้วย
“เป็นความเชื่อของแต่ละบุคคล เราไม่สามารถ จะให้ใครเชื่อเราได้ แม้แต่ผมเรียนมาก็ไม่สามารถไปบังคับใครได้” ฤาษีลวงโลก กล่าวผ่านสื่อ
ส่วนกรณีที่จะไปจับผู้หญิงที่ชาวบ้านอ้างว่าเป็นปอบ เขาเล่าว่า เพื่อฆ่าสิ่งชั่วร้าย
“คือชาวบ้านเขาไปลงขันหาอาจารย์ สุดท้ายก็ไปจ้างใคร แล้วเขาก็ไม่มา เขาก็เลยไปจ้างผมมา ลงขันกันมาบ้านละ 100 บาท ทีนี้เงินที่ผมจะได้คือ 25,000 บาท
ไม่เคยกล่าวหาว่าบ้านไหนเป็นปอบ แต่ถ้าลงขันแล้วมติชาวบ้าน คนในตำบล หรือบ้านนี้ ต้องออกมาทุกคน เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ในการที่จะมาแก้ด้วยกัน ไม่ใช่ฆ่าคน แต่ฆ่าสิ่งที่ชั่วร้าย จะให้เห็นเลยว่า ผมบอกเลยว่า ถ้าทำไม่ได้เป็นบ้าอย่างเดียว ถ้าทำไม่ได้คือเป็นปอบอย่างเดียว
เอาผ้าถุงมาเลยครับ เอาผ้าซิ่นมาเลยครับ(เรียกทีมงานเอาผ้าถุง) จะให้เห็นเลยว่า ทำไมเขาไม่กล้ามา เพราะถ้ามาในพิธีกรรมต้องใช้ผ้าถุงนี้ทำลายอาถรรพ์ในร่างกายของเขา แต่ผมครับ (เอาผ้าถุงวางบนหัว) ไม่มีหมอธรรมคนไหนกล้าทำครับ เอาผ้าถุงคลุมหัว หรือพวกไหนที่มีพระลองเข้ามาได้เลยครับ ลองเข้ามาเลย (เสียงชาวบ้านเฮลั่นพร้อมปรบมือ) ไมได้ท้าทายใคร ถ้าเขาไม่ยอมมันก็ต้อง "โดน" เพราะมีอวิชชา”
จากการตรวจสอบประวัติของ หมอธรรม ผู้ที่มาทำพิธีพบว่า เคยต้องโทษในคดียาเสพติดในพื้นที่โรงพักเมืองชลบุรีเมื่อปี 2554 เมื่อพ้นโทษจึงกลับไปที่บ้านเกิดที่ จ.กาฬสินธุ์ กระทั่งได้รับการว่าจ้างจากกรรมการหมู่บ้านให้มาจับปอบด้วยเงิน 25,000 บาท ทั้งนี้ เจ้าตัวยังยอมรับว่าเคยเข้ารับการรักษาอาการทางจิตมาก่อน
ล่าสุด เขาได้เก็บข้าวของและอุปกรณ์ไล่ปอบเดินทางออกจากบ้านไปแล้ว โดยบอกกับชาวบ้านว่าถ้าว่างจะกลับมาเยี่ยมเยียนชาวบ้าน แต่ไม่ได้บอกว่าจะไปไหน
นอกจากนี้ ยังมีคนในหมู่บ้านออกมาแฉอีกด้วยว่า เคยหลอกลวงเงินคนป่วยในหมู่บ้าน ออกอุบายถ้าไม่ทำพิธีจะต้องตาย!
"ฤาษีคนนี้เป็นคนบ้านดิฉันเองค่ะ อาทิตย์ที่แล้วก็หลอกเอาค่าครูไปจากอาฉัน 10,000 บาท อาของฉันป่วยมานานและก็หาที่พึ่งทางไสยศาสตร์ ปกติค่าครูจะไม่เกิน 200-300 บาท แต่เขาเรียกจากอา 10,000 บาท อาไม่มีเงินเลยขอเวลาหาก่อน
หลังจากวันนั้นเขาให้คนขับมอเตอร์ไซค์มาบอกอาว่า ฤาษีทำพิธีแล้ว ถ้าอาไม่รีบ มาทำพิธีวันนี้จะต้องเสียชีวิต อาเลยรีบไปทำกับเขา ก่อนทำเขาเรียกเก็บเงินเลยทีเดียว 10,000 บาท อาต้องจ่ายก่อน ทำแล้วอาการป่วยก็หนักกว่าเดิม ต้องรีบเข้าโรงพยาบาล 2 ครั้งแล้ว”
หมอธรรมของจริงไม่โลภ! เรียกค่าครูสูงสุดแค่ 24 บาท
อย่างไรก็ดี หมอธรรม คือ ผู้ที่เรียนคาถาอาคมทางพุทธเวทย์และไสยเวทย์ ปฏิบัติตัวอยู่ในคุณธรรมจริยธรรม มีศีลมีธรรม ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายสูงอายุ หรือเป็นพระภิกษุ เป็นคนที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือ สามารถขจัดปัดเป่าผีร้ายได้ทุกประเภท เช่น ผีปอบ ผีแม่ม่าย ผีกระสือ
สังคมอีสานเป็นอีกสังคมหนึ่งที่มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติ เมื่อคนในชุมชนเกิดเจ็บป่วยด้วยการถูกกระทำจากสิ่งเหนือธรรมชาติ ที่ชาวบ้านเรียกว่าถูกผีกระทำ เช่น โดนผีปอบเข้ามาสิง ในร่าง โดนผีซ่อนหรืออีสานเรียกว่าผีเสี่ยง และโดนผีหลอกขณะไปทุ่งนาเวลากลางคืน เป็นต้น ผู้ป่วยที่ถูกผีกระทำจะมาให้หมอธรรมรักษา ด้วยการรดน้ำมนต์ ผูกข้อต่อแขน หรือรับวัตถุมงคลเพื่อป้องกันภยันตรายจากการกระทำของผีให้หายเป็นปกติ
เมื่อหายเป็นอาการปกติแล้วผู้ที่มารักษาจะมา “ปงคาย” คือการถวายเครื่องบูชาค่าครูด้วย ขันธ์ 5, ขันธ์ 8, เงิน 1 สลึง, ผ้าผืนแพรวา 1 ผืน, เงินปงคายที่สูงที่สุดพบว่าเป็นเงินเพียง 24 บาทเท่านั้น ผู้ป่วยที่หายเป็นปกติแล้วต้องมาปงคาย ถ้าไม่มาถือเป็นการทำผิดครู ผู้เป็นหมอและครอบครัวจะเดือดร้อนต่างๆ นานา ผู้เป็นหมอธรรมต้องปงคายเองถึงจะหายเป็นปกติ และผู้เป็นหมอจะเรียกเงินค่าครูที่แพงกว่านั้นไม่ได้ เพราะจะผิดครูอีกเช่นกัน
ฉะนั้น จะเห็นได้ว่าหมอธรรม คือ ผู้ทำหน้าที่รักษาคนในชุมชนที่โดนกระทำจากสิ่งเหนือธรรมชาติ ไม่ว่าจะโดนผีเข้าหรือโดนผีหลอก มักจะให้หมอธรรมทำการรักษาหรือปัดเป่าให้หาย ด้วยการรดน้ำมนต์ ผูกข้อต่อแขน เมื่อหายเป็นปกติแล้ว ก็จะมาปงคาย(การถวายเครื่องบูชาค่าครู) ถือเป็นการตอบแทนค่ารักษาแก่หมอธรรม ซึ่งผู้ที่เป็นหมอธรรมจะไม่เรียกค่ารักษาที่เกินกว่ากำหนด เพราะจะถือว่าเป็นการผิดครู อีกประการหนึ่งผู้ที่เป็นหมอธรรมต้องมีจรรยาบรรณของหมอ ต้องรักษาโดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนใดๆ จากผู้ป่วยอีกด้วย
อย่างไรก็ดี สำหรับมุมมองของ พระมหาไพรวัลย์ วรวณโณ พระนักเทศน์นักคิด แห่งวัดสร้อยทอง เคยให้ข้อคิดเกี่ยวกับเรื่องผีปอบไว้ว่า
“เลิกเชื่อว่า ปอบมันมีอยู่จริง เหมือนเรากลัวผี ถ้าเราเชื่อว่า มันไม่มี เราก็ไม่กลัว”
น่าแปลก..แม้เราจะอยู่ในยุคไทยแลนด์ 4.0 แต่ความเชื่อเรื่องผีสาง ก็ยังไม่จางหายไป พร้อมสืบทอดต่อให้เด็กรุ่นใหม่ให้ได้เห็นพิธีไล่ปอบอย่างไม่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เพราะเด็กในหมู่บ้านเหล่านี้ต้องลงไปจับผีปอบด้วยตัวเองพร้อมผู้ใหญ่ที่คอยถือเหล้าถือเบียร์ และส่งเสียงเชียร์โดยมั่นใจว่า “ผีปอบ” กำลังมาสิงสู่อยู่ใน “ไม้ง่าม” ที่ใช้จับปอบด้วยวิธีไสยศาสตร์
....การติดอาวุธทางปัญญาจึงเป็นสิ่งสำคัญในยุคไทยแลนด์ 4.0 นี้อย่างที่สุด