ผู้หญิงที่กำลังให้สัมภาษณ์อยู่เบื้องหน้านี่นะเหรอที่เคยป่วยเป็นมะเร็ง เพราะสีหน้าที่เปื้อนยิ้ม แววตาเป็นประกาย เสียงหัวเราะที่อัดแน่นไปด้วยความสุข สัดส่วนรูปร่างที่ดูฟิตเฟิร์ม ดูไม่ออกจริงๆว่าเธอเคยป่วยหนักเพิ่งได้รับคีโมเข็มสุดท้ายมาเดือนมีนาคมและถูกรุมเร้าด้วยความทุกข์โศกจนถึงขั้นอยากฆ่าตัวตาย!
พิมพ์ - สุวพร ดำรงสุกิจ สาวสตรองวัย 31 ปี ผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่โรคสงบแล้ว เธอเป็นนักปีนหน้าผาผู้ป่วยสุดเอ็กซ์สตรีม ที่เอาชนะเนื้อร้ายด้วยความเชื่อที่ว่า "การออกกำลังกายคือยาวิเศษ" สตรองแค่ไหนถามใจดู ในขณะที่ป่วยหนักอยู่ในขั้นตอนรักษาให้คีโม เธอก็ลุกขึ้นมาสลัดชุดผู้ป่วยเดินออกจากโรงพยาบาลเพื่อไปปีนหน้าผารับลมชมวิวด้วยพละกำลังที่มีราวกับว่า เธอไม่เคยป่วย ลำพังแค่คนปกติสุขภาพดีลองไปปีนป่ายห้อยตัวด้วยการยกน้ำหนักร่างตัวเองขึ้นไปยังแทบไม่รอด แต่เธอ…ทำได้
สำรวจสัญญาณเตือน….
อาชีพของพิมพ์คือ “ผู้แทนยา” เซลส์ขายยา แน่นอนต้องเข้าออกโรงพยาบาลตลอดเวลา ทำงานอยู่กับวงการยา เจอคุณหมอ และมีความรู้เรื่องโรคภัยไข้เจ็บพอสมควร แต่ไม่เคยคิดว่าจะต้องกลับกลายมาเป็น “ผู้ป่วย” เสียเอง เธอเล่าว่า ตรวจพบว่าเจอมะเร็งเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว(2559) ปัจจุบันโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้สงบลงแล้ว ทว่า คุณหมอจะไม่ใช้คำว่าหายขาด จนกว่าจะตรวจมะเร็งไม่เจอ 5 ปี นั่นเอง
“ช่วงนั้นไอหนักมาก รู้สึกแน่น หายใจไม่ออก หายใจลำบาก เวลานอนหงายจะหายใจไม่ออก ไปหาหมอกินยาก็ไม่หาย บางวันเป็นไข้ บางวันไม่เป็น เราจึงสำรวจตัวเองโดยการใช้มือกดที่หน้าอกของเรา กดข้างขวาไม่เป็นไร พอกดข้างซ้ายปุ้บ ไอทันที ด้วยความที่งานของเราต้องเข้าโรงพยาบาลตลอดเวลา จึงคิดว่าไปติดวัณโรคมาจากที่ไหนหรือเปล่า”
เมื่อเอ็กซเรย์ช่องปอดดูปรากฏว่าไม่ใช่วัณโรค แต่กลายเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะที่ 2
“ คือเห็นเลยว่าเป็นก้อนใหญ่ขึ้นมาที่ปอดเรา ประมาณ 10 เซนฯ ต้องเจาะชิ้นเนื้อออกมาตรวจว่าคืออะไรกันแน่ แต่ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ด้วยความที่เป็นโรงพยาบาลเอกชน จึงย้ายมารักษาที่โรงพยาบาลรัฐ
ระหว่างรอผลเจาะชิ้นเนื้อ คือเราก็รู้อยู่ลึกๆว่าเป็นมะเร็ง แต่ก็ยังมีความหวัง บอกกับตัวเองว่าไม่ใช่หรอก แต่เมื่อผลออกมาว่าเป็นมะเร็ง จากที่เรายิ้มๆอยู่ น้ำตาร่วงเลย ช่วงทรมานที่สุดคือช่วงรอผลตรวจ ว่าเป็นมะเร็งที่ไหน ลุกลามไปขนาดไหน พิมพ์ไม่หาข้อมูลอินเตอร์เน็ตเลยนะ รู้สึกว่ายิ่งรู้ยิ่งเครียด ต่อหน้าแม่ ต่อหน้าคนอื่น เราต้องสตรองสุดๆ เพราะเมื่อไหร่ที่เราร้องไห้ แม่ร้องไห้ด้วย
พอครบ 1 อาทิตย์มาฟังผล หมอบอกว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง จากนั้นมาประเมินค่ารักษา แพงเอาเรื่องอยู่ จึงต้องพึ่งสิทธิ์ประกันสังคม สุดท้ายได้มารักษาที่โรงพยาบาลศิริราช”
ภายใน 1 เดือน ก้อนเนื้อใหญ่ขึ้นจาก 10 เซนฯ เป็น 13.9 เซนฯ คุณหมอจึงต้องรีบรักษาด้วยการให้คีโมโดยเร็วที่สุด
“เราแทบไม่มีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจอะไรเลย เราต้องหยุดงาน ที่ออฟฟิศก็ดีกับเรามาก บอกว่าพร้อมเมื่อไหร่ค่อยกลับมาทำงาน โอเคเรายังโชคดีเรื่องงาน
ในส่วนของค่าใช้จ่ายประกันสังคมจ่ายค่าคีโมให้ แต่จะมียาที่รักษาเฉพาะที่เราต้องจ่ายเอง ประกันสังคมไม่ครอบคลุม สรุปค่าใช้จ่ายรวมตลอดการรักษา 6 เดือนที่เราต้องจ่ายเองเกือบล้าน
ตอนให้คีโมเข็มแรก ก็ยังไม่เป็นไรสบายมาก แต่ไม่นานนักเม็ดเลือดขาวตก เป็นไข้ ต้องแอดมิด ในแต่ละรอบจะมีเวลาออกมาจากโรงพยาบาล 1 อาทิตย์ ให้คีโมทั้งหมด 6 ครั้ง เท่ากับว่า อยู่โรงพยาบาลครั้งละ 14 วัน ได้ออกมาข้างนอก 1 อาทิตย์ วนอยู่แบบนี้ 6 รอบ”
ท้อแท้…อยากฆ่าตัวตาย
โหมดแห่งความทุกข์เริ่มครอบงำเมื่อเริ่มคีโมเข็มที่สอง อยากหนีความทรมาน และความเจ็บปวด “ความตาย” ทางออกสุดท้ายจึงแล่นเข้ามาในหัว “อยากเดินออกไปนอกระเบียง กระโดดลงไป จะได้จบๆไปเลย!”
“จำได้แม่นเลยตอนให้คีโมเข็มที่สอง ไม่ได้สบายเหมือนรอบแรก เพราะเหมือนยาเริ่มสะสมในตัวเรา รู้สึกคลื่นไส้ ไม่ไหว มีความรู้สึกอยากฆ่าตัวตาย
จากที่เราเคยทำอะไรได้ทุกอย่าง แล้วเราไม่สามารถทำอะไรได้เลย ตอนให้คีโมครั้งแรก เรามีเวลาออกไปข้างนอกแค่ ไม่กี่วัน ก็ต้องกลับไปให้คีโมใหม่ เรารู้สึก เราไม่มีชีวิตเลย คุณแม่ก็ต้องหยุดทำงานมาดูแลเรา เวลาเรานอยด์ แม่ก็นอยด์ไปด้วย ยิ่งเห็นยิ่งไม่สบายใจ เครียด เวลาที่เราร้องไห้ได้คือเวลาที่แม่หลับ ไม่อยากให้แม่เห็น
วันที่พิมพ์จะฆ่าตัวตาย คือ เราดาวน์มาก เรารู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว นอนร้องไห้ วันนั้นคลื่นไส้มาก ทั้งวันกินอะไรไม่ได้เลย กินน้ำได้แค่ 3-4 จิบ และกินอะไรไม่ได้เลยทั้งวัน เฮ้ย ทำไมเราต้องนอนแบบนี้ ทำอะไรไม่ได้ อยากออกจากโรงพยาบาลก็ไม่ได้
อยากจะดึงสายน้ำเกลือ สายคีโมออก เดินออกไปนอกห้องเลย ไม่เอาแล้ว แม้เราจะพยายามบอกตัวเองมาตลอดว่า โรคนี้หายได้ เรามีกำลังใจ แต่วันที่เราคิดอยากฆ่าตัวตาย เพราะด้วยทุกอย่างมันรุมเร้า ครั้งแรกเรายังครึกครื้นเพราะเพื่อนมาเยี่ยมเยอะ รุมกันมาเยี่ยม แต่พอให้คีโมครั้งที่สอง เพื่อนมาน้อยลง อาการแพ้คีโมเกิดขึ้นในขณะที่ครั้งแรกเราไม่เป็นอะไรเลย บวกกับการที่เราออกไปข้างนอกได้แป้บเดียว รู้สึกเรายังไม่มีชีวิตเลย กลับมาอีกแล้ว รู้สึกแย่มาก จึงบอกหมอเลยว่า อยากเจอจิตแพทย์
เรารู้ตัวว่าเราไม่ไหว จิตแพทย์ต้องช่วยได้แน่ๆ เราอยากจะระบายกับใครสักคน ที่เราสามารถนั่งคุยด้วยแล้วร้องไห้ได้ เพราะเราอยู่กับแม่ ไม่สามารถปลดปล่อยได้ ไม่อยากบังคับความรู้สึกตัวเอง
วันรุ่งขึ้น คุณหมอนำอดีตผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่รักษาหายแล้วมาคุยกับเราเลย ว่าเขาสามารถก้าวผ่านเรื่องนี้ได้อย่างไรบ้าง พี่เขาบอกกับเราว่า มันง่ายมาก พี่ผ่านมาแล้ว เรารู้สึกกระปรี้กระเป่า กระชุ่มกระชวยขึ้นมาเลย เออ จริงๆมันก็ไม่ได้เลวร้ายนี่ พอเพื่อนรู้ว่าเรามีความคิดจะฆ่าตัวตาย ก็แห่กันมาเยี่ยมเลย มากันเกือบ 10 คน มาอยู่เป็นเพื่อน ปลอบใจเรา เราเลยรู้สึกว่า ทำไมคนอื่นเห็นคุณค่าชีวิตเรามากกว่าตัวเราเองอีกล่ะ
คุณหมอบอกกับเราว่า คุณรู้สึกอย่างนั้นได้ ไม่แปลกเลยเพราะว่าคุณเป็นคนปกติคนหนึ่ง แต่คุณอย่าจมอยู่กับมันมาก คุณจะซึมเศร้า ร้องไห้ เป็นได้ แต่คุณต้องต้องลุกขึ้นมา”
คืนความสุขด้วยการออกกำลังกาย
จากวันนั้นเธอจึงเปลี่ยนมุมมองใหม่ สะกดจิตตัวเองว่าต้อง “หาย” ต้องกลับมาเป็นปกติให้ได้ พอหลังจากให้คีโมเข็มที่สองผ่านความคิดอยากฆ่าตัวตาย เธอจึงกลับไปยิม ออกกำลังกาย ปีนหน้าผาเอาท์ดอร์ หน้าผาจริงเดินทางต่างจังหวัด ทำตัวปกติราวกับไม่เคยป่วย
“เราอยากเหมือนคนปกติ เรี่ยวแรงเราไม่กลับมาเหมือนเดิมหรอก เพราะเรานอนป่วยอยู่ แต่สิ่งที่เราได้คือ เราได้ตัวเองกลับมา ได้เพื่อน สังคม ได้ใช้ชีวิต แต่ก่อนจะไปปีนหน้าผาจะเช็กเม็ดเลือดขาวตัวเองก่อนนะ ว่าถ้าต่ำจนรับไมได้ เสี่ยงมากก็จะไม่ไปนะ
หลังจากให้คีโมครั้งที่ 3 คุณหมอนัดเก็บสเต็มเซลล์ คุณหมอก็บอกว่า ไม่การันตีนะ ว่าจะเก็บได้หรือเปล่า เพราะคุณโดนคีโมไปแล้ว แต่ก็เก็บไว้เผื่อ ก่อนเก็บสเต็มเซลล์ 2 วัน เราก็เอาเสื่อโยคะไปที่โรงพยาบาล เพื่อไปแพลงกิ้ง ซิทอัป เราเบื่ออยู่เฉยๆ คุณหมอต้องการสเต็มเซลล์ 3 ล้านเซลล์ ปรากฏว่า คุณหมอมาแจ้งแบบตกใจมากว่า สามารถเก็บสเต็มเซลล์เราได้ 13.7 ล้านเซลล์ ในขณะที่บางคนเก็บไม่ได้เลยหลังจากให้คีโม คุณหมอบอกไม่เคยเจอใครได้เยอะขนาดนี้
เราเชื่อมาโดยตลอดว่า เราออกกำลังกายจึงได้ขนาดนี้ หลังจากนั้นมีพี่ที่ให้คีโมเหมือนกัน เขาออกกำลังกาย เขาเก็บสเต็มเซลล์ก็ได้ 9 ล้าน ทุกวันนี้เลยบอกทุกคนว่า ออกกำลังกายเถอะช่วยได้จริงๆ”
สำหรับเรื่องผมร่วงนั้น เธอบอกว่า ตอนให้คีโมเข็มที่สอง ร่วงกองเต็มเตียง จึงต้องโกนเลย อยากแนะนำเลยว่า ก่อนให้คีโมโกนผมก่อนเลย จะได้ไม่รู้สึกสะเทือนใจ จิตตก
“พิมพ์ผมยาวมากถึงเอว เรารู้สึกว่า ผมคือความสวยงามของเรา แล้วจะมาให้เราโกนผมเหรอ ก่อนให้คีโมเราก็ตัดสั้นแล้วนะ แต่พอผมร่วงๆ เรารับไม่ได้จริงๆพอเราเห็นผมยาวๆมันต้องร่วงลงมาตลอดเวลา จนจิตตก ตอนโกนผมก็ร้องไห้ แต่พอโกนเสร็จ ก็คิดซะว่า ช่างมัน อยู่กับมันให้ได้
แต่บางทีก็รู้สึกว่า เวลาออกมาข้างนอกจะรู้สึกไม่มั่นใจ เพราะเรามีแผลเจาะบริเวณคอเพื่อเก็บสเต็มเซลล์ คนก็จะมองแบบ มองตาม เราไม่อยากได้รับสายตาแบบนี้ จึงทำให้กลัวเวลาจะไปห้างใหญ่ๆ
แต่สังคมของคนปีนหน้าผาจะมีความรักให้กัน ผูกพันกัน เหมือนกับคนที่รักในสิ่งเดียวกันมาเจอกัน มาคุยกัน เพื่อนที่มาดูแลเรา มาเยี่ยมเราตลอดเวลาก็คือเพื่อนที่ปีนหน้าผา เป็นคอมมูนิตี้ที่รักกัน ช่วยเหลือกัน ด้วยกีฬาที่เราจะต้องเทคแคร์ดูแลกันตลอด อย่างเวลาออกไปปีนเอาท์ดอร์”
กิน "ร้อน สุก สะอาด" จำให้มั่น
ด้วยไลฟ์สไตล์ที่ดูแล้วห่างไกลจากโรคร้ายแน่นอนเพราะเป็นตัวแม่เรื่องสุขภาพ เพราะเคยเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ โยคะ ปีนหน้าผาอย่างหนักหน่วง กินคลีน เลี่ยงของทอด ของมัน ของหมักดอง โนน้ำตาล ชอบกินผักผลไม้สดเป็นชีวิตจิตใจ ครอบครัวไม่มีประวัติการเจ็บป่วยจากมะเร็ง หารู้ไม่ว่า ผักผลไม้สดที่ซื้อกินตามท้องตลาดเสี่ยงเชื้อรา และแบคทีเรีย และสารเคมีตกค้าง!
“ตอนนี้พิมพ์กินทุกอย่างแต่หลากหลาย แต่ช่วงป่วยจะไม่กินผักผลไม้สด เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย เพราะก่อนที่พิมพ์จะตรวจเจอมะเร็ง พิมพ์เคยไปตรวจเลือดเพื่อหาค่าสารเคมีในร่างกาย สารยาฆ่าแมลงในเลือด พบว่ามีอยู่สูงเกินขีดอันตรายเลย เพราะเรากินอาหารนอกบ้าน ชอบกินสลัด ผักผลไม้สด ทำให้ควบคุมการทำความสะอาดไม่ได้
ดังนั้นตอนนี้ทุกอย่างที่กินต้องร้อน สุก และสะอาด ไม่กินของหมักดอง ผัก ผลไม้สดก็ยังทานเหมือนเดิมแต่เลือกที่สะอาด แต่อย่างอื่นพิมพ์กินหมดเลยทุกอย่าง เราก็กินแบบคนปกติ ในขณะที่คนที่ให้คีโมน้ำหนักลดเพราะอาเจียน เราจะไม่ยอมอาเจียน ทุกครั้งที่จะอาเจียนเราจะบอกพยาบาลว่าคลื่นไส้ ให้เขาเอายามาให้เรา เราไม่อาเจียน กินหนักกว่าเดิม น้ำหนักเราขึ้นมีแรงที่จะสู้กับมะเร็ง
หน้าที่ของเราไม่มีอะไรต้องกังวล แค่เราเตรียมตัวเองให้พร้อม การรักษาเป็นหน้าที่ของหมอ ไม่มีหมอคนไหนอยากให้คนไข้ตาย ฉะนั้นเขาต้องรักษาเราให้ดีที่สุดอยู่แล้ว ตัวเราเองต้องเตรียมตัวให้พร้อม แข็งแรง”
….หลังให้คีโมครั้งที่ 6 ไม่พบมะเร็งในร่างกายเธอแล้ว โรคสงบ หมอบอกตอบสนองต่อยาดีมาก
สุดท้าย เธอขอขอบคุณมะเร็งที่เข้ามาในชีวิต ทำให้ได้เปิดมุมมอง เปลี่ยนชีวิตใหม่ เห็นคุณค่าชีวิตของตัวเอง ผู้อื่น และสังคม เธอยืนยันว่า โรคนี้ต้องรักษาจิตใจให้เข็มแข็ง จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว เมื่อไหร่ที่ใจทรุด ร่างกายก็แย่ตาม เสียใจได้ ร้องไห้ได้ กลัวได้ ท้อได้ แต่ต้องกลับมายิ้มให้ได้เร็วที่สุด โฟกัสแต่สิ่งดีๆ เธอบอกตัวเองเช่นนี้มาเสมอ
นอกจากนี้ เธอ ย้ำว่าผู้ป่วยโรคมะเร็งต้องการกำลังใจมากที่สุด และการออกกำลังกายสำคัญมาก ตั้งเป้าแข่งไตรกีฬา
ล่าสุด เธอเพิ่งไปแข่งปีนหน้าผาชิงแชมป์ประเทศไทย ทว่า เป้าหมายเปลี่ยน เธอไม่ได้หวังเหรียญรางวัล เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือ การให้กำลังใจ เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น เพื่อลุกขึ้นสู้สุดใจเหมือนอดีตผู้ป่วยอย่างเธอ เพราะทุกครั้งที่แข่งเขาจะประกาศเลยว่า “น้องพิมพ์เคยป่วยเป็นมะเร็ง แต่ “สู้” จนโรคสงบแล้ว”
โดยผู้จัดการ Live
เรื่อง : สวิชญา ชมพูพัชร
ภาพ : กัมพล เสนสอน
ขอบคุณภาพจาก ศุภสิทธิ์ ศรีสวัสดิ์ศักดิ์ , เฟซบุ๊กแฟนเพจ สู้หว่ะพิมพ์ SuwaPym