xs
xsm
sm
md
lg

เปิดชีวิตสุดแกร่ง! “พรีม-รณิดา” เลี้ยงแม่-ดูแลพี่ชายดาวน์ซินโดรม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 
พ่อ-แม่แยกทางกัน, ต้องเป็นเสาหลักของบ้าน, เรียนไป-ทำงานไป, หาเงินเลี้ยงครอบครัวตั้งแต่ยังเด็ก, ดูแลพี่ชายป่วยดาวน์ซินโดรม! นี่คือคำจำกัดความของนักแสดงสาวหัวใจแกร่ง เธอพร้อมบอกเล่าเรื่องราวทุกมุมชีวิต กว่าจะมีวันนี้ได้..ขอสู้เพื่อครอบครัว! จนหลายคนยกให้เธอคือ นางเอกที่มากกว่านางเอก “พรีม-รณิดา เตชสิทธิ์”






“เมื่อไหร่ที่มีโอกาส..จะคว้าเอาไว้เสมอ”

กว่า 5 ปีที่ได้โลดแล่นอยู่ในเส้นทางบันเทิง ชีวิตนักแสดงสาวในวัย 20 ปี ถูกทดสอบความสามารถผ่านอุปสรรคและความกดดันมาแล้วไม่น้อย เธอเล่าย้อนเหตุการณ์และความฝันที่ไม่เคยคาดฝันให้เราฟัง ถึงการที่ได้เข้ามาทำงานในเส้นทางนี้ ซึ่งแน่นอนว่าวงการนี้ให้อะไรกับเธอมากกว่าคำว่า 'ประสบการณ์'

“ช่วงแรกพรีมไม่มีความคิดว่าจะเข้าวงการบันเทิงเลย พรีมโตที่เมืองนอก ซึ่งที่เมืองนอกเขาจะมีความคิดเห็นต่อวงการบันเทิงที่แตกต่างกัน พรีมก็คิดว่ามันเป็นวงการที่ห่างไกลจากตัวเราด้วย ปกติพรีมเป็นคนขี้อาย ไม่กล้าแสดงอารมณ์ต่อหน้ากล้อง

ช่วงแรกๆ ก็ทำตัวไม่ถูก แต่พอเราเริ่มเล่นละคร ได้รับบทที่ท้าทายมากขึ้น ก็เริ่มสนุกมากขึ้น จริงๆ วงการนี้สอนอะไรกับพรีมหลายอย่าง ไม่ว่าวินัย ความรับผิดชอบในการทำงาน การสื่อสารกับคนอื่นๆ และที่สำคัญ คือ สอนให้รู้จักตัวเองมากขึ้น พอเราต้องอยู่กับคนเยอะๆ เราต้องทำให้ตัวเองแข็งแรง

พรีมก็อยากไปให้สุดนะคะ ไหนๆ ก็มาถึงตรงนี้แล้วด้วย พรีมได้รับโอกาสดีๆ ที่ทำให้พรีมได้พัฒนาฝีมือตัวเอง พรีมก็อยากจะพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่หยุดการเรียนรู้ที่จะทำงานตรงนี้ ไม่ใช่แค่ด้านนักแสดง แต่อนาคตอาจจะได้ทดลองทำด้านอื่นๆ ในวงการนี้อีกด้วยก็ได้”
นักแสดงจากละครเสน่ห์รักนางซิน
นักแสดงจากละครเสน่ห์รักนางซิน
 
สำหรับเรื่องผลงานการแสดง เราขอให้เธออัพเดตผลงานล่าสุดของตัวเองสักหน่อย จากที่เห็นว่าช่วงนี้แฟนๆ ละครต่างพากันคิดถึงผลงานการแสดงของเธออยู่ไม่น้อย ซึ่งแน่นอนว่าในเร็วๆ นี้ ทางช่อง 3 เราจะได้เห็นฝีมือการแสดงที่ท้าทายมากยิ่งขึ้น ผ่านละครถึง 3 เรื่องด้วยกัน!

“เสน่ห์รักนางซิน, ชั่วโมงต้องมนต์, เดือนประดับดาว หลักๆ 3 เรื่องนี้ที่กำลังรอออนแอร์อยู่ แต่ที่ใกล้ออนแอร์อีกไม่นานนี้ จะมีเรื่องเสน่ห์รักนางซินค่ะ เป็นละครโรแมนติก-คอมเมดี้ จริงๆ เป็นละครสบายๆ เรื่องราวของสาวๆ-หนุ่มๆ 6 คน คีย์หลักของเรื่องนี้คือการทำตามความฝันของตัวเอง ทำทุกอย่างเพื่อให้ความฝันของตัวเองสำเร็จ

เรื่องราวตัวละครหลักของพรีม คือ การเดินทางไปสู่ความฝัน ว่าจะต้องเจออุปสรรคอะไรบ้าง และด้วยบุคลิกของตัวละคร คือ ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองไปไกลที่สุด”

พอพูดถึงเรื่องความฝัน ทำให้เราอดนึกถึงความใกล้เคียงระหว่างคาแรกเตอร์ตัวละครกับชีวิตจริงของเธออยู่เหมือนกันว่า มีพาร์ทไหนในตัวละครที่คล้ายกับชีวิตเธอบ้างหรือเปล่า

“ความใกล้เคียง คงจะเป็นการคว้าโอกาส อย่างในละครถ้ามีโอกาสอะไรเข้ามา เราก็จะคว้าโอกาสไว้เพราะมันเป็นการเปิดช่องทางให้ได้อยู่ใกล้ความฝันเรามากขึ้น ซึ่งในชีวิตจริงพรีมก็เหมือนกันค่ะ พรีมจะยึดหลักว่าเมื่อไหร่ที่มีโอกาสเดินเข้ามาหา พรีมก็จะคว้าโอกาสนั้นเอาไว้ ตราบใดที่เรายังมีโอกาสนั้นอยู่ จะไม่ยอมพลาดเพื่อมาเสียดายทีหลัง”

“You only live once”

“จริงๆ แล้วพรีมเป็นคนที่ใช้ชีวิตด้วยทัศนคติหลายอย่างมาก แต่ประโยคที่ชอบที่สุด คือ YOLO หรือ You only live once.- เกิดมามีชีวิตเดียว อยากจะทำอะไรให้รีบทำ”

นี่คือหนึ่งในโค้ด (Quote) คำพูด ที่พรีมชอบที่สุดและหยิบมาเป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตอยู่เสมอ เธอคิดเสมอว่าชีวิตนี้เกิดมาแค่ครั้งเดียว และมันคงเป็นเรื่องน่าเสียดาย หากว่าเราพลาดโอกาสที่จะได้ทำบางสิ่งบางอย่างไป

“ที่ชอบเพราะต้องคิดเสมอว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำ เราอาจจะได้ทำมันแค่ครั้งเดียว หรือไม่ชีวิตนี้เรามีแค่ชีวิตเดียว เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอะไรที่เข้ามา จะดี หรือไม่ดี เราต้องรับมันไว้ พรีมจะพยายามมองทุกๆ อย่างที่เข้ามาในชีวิตพรีมว่าเป็นประสบการณ์อย่างหนึ่ง ที่มาแล้วผ่านไป

จริงๆ พรีมเป็นคนที่ยึดถือคำสอนทางพระพุทธศาสตร์ค่อนข้างเยอะ ต้องพยายามบาลานซ์ทุกอย่าง ถ้าเจอเรื่องดีก็ดีไป ถ้าเจอเรื่องไม่ดีก็แค่ปล่อยมันไป มันเป็นวิธีการที่พรีมยึดถือไว้และทำให้การทำงานหรือการใช้ชีวิตมันมีความสุขขึ้นได้”

อย่างที่เธอบอกว่า เธอเป็นคนที่ทำอะไรแล้วเต็มที่กับทุกสิ่ง เราจึงอดถามไม่ได้ว่าในเรื่องของการทำงานและการใช้ชีวิต เธอจะมีแรงกดดันมากน้อยแค่ไหน เมื่อต้องอยู่ในฐานะผู้ที่ดูแล-เลี้ยงดูครอบครัวให้สุขสบาย

 
“มันเป็นอะไรที่ค่อยๆ มาทีละนิด ด้วยอาชีพที่เราทำตรงนี้ไปเรื่อยๆ พอยิ่งนานไป ความรับผิดชอบมันจะค่อยๆ เข้ามาตามประสบการณ์ของงานที่เรามี และไม่เคยรู้ตัวว่าพออยู่ตรงนี้นานไป แล้วความรับผิดชอบเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ พอวันหนึ่งที่เจอความกดดันเยอะๆ

ทางผู้จัดการ เพื่อนๆ ญาติๆ ของพรีมจะคอยบอกตลอดว่า พรีมเคยลองมองย้อนกลับไปบ้างไหม ได้เห็นอะไรบ้างหรือเปล่าว่าพรีมได้ทำอะไรมาบ้าง ทุกวันนี้พรีมยืนอยู่จุดไหน

มันคือจุดที่เลี้ยงครอบครัวอยู่คนเดียว ทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย เราสามารถซื้อบ้านหลังใหม่ ซื้อรถคันใหม่ได้ จุดนั้นจึงทำให้พรีมได้รู้ตัวจริงๆ ว่า ความรับผิดชอบของเราก็ได้มาถึงจุดนี้แล้วนี่หน่า

พรีมภูมิใจนะคะ มันเป็นสิ่งที่ทำให้พรีมมีแรงขึ้น ทำให้รู้สึกว่าจริงๆ แล้ว เราเก่งและแข็งแรงกว่าที่เราคิด มันเป็นสิ่งที่พรีมให้กำลังใจกับตัวเอง บางครั้งการที่เราคิดว่าจะทำไม่ได้ แต่ถ้ามองย้อนกลับไปมันก็พิสูจน์ได้ว่า เราทำอะไรได้มากกว่าที่เราคิดซะอีก”

“พ่อ-แม่” สอนเสมอ..อย่าลืมตัว!

หากให้บอกลักษณะนิสัยระหว่างพ่อและแม่ คิดว่าตัวเองเหมือนใครมากกว่ากัน?

เธอยิ้มและคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะแจกแจงให้เราฟังว่า ทั้งคุณพ่อและแม่ของเธอมีบุคลิกภาพ-นิสัยกันอย่างไร รวมถึงกับตัวเธอเองที่เป็นเธอในทุกวันนี้ ได้รับส่วนผสมมาจากใครมากกว่ากัน!

“จริงๆ ก็ทั้งคุณพ่อและคุณแม่เลย แต่ทั้งสองคนจะมีบุคลิกภาพแตกต่างกัน คุณพ่อจะมีความเป็นเพื่อนกับพรีมมากกว่า มีความเป็นเด็กขี้เล่น มีจินตนาการสูง จะปล่อยให้พรีมได้บ้าไปกับเขาด้วย เราอยากทำอะไร ก็ทำเลย ถ้ามันไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำให้คนอื่นเสียหาย เขาจะสอนให้พรีมได้ทดลองทำอะไรใหม่ๆ กล้าเสี่ยง กล้าแสดงออก

คุณพ่อเป็นคนที่มีความรู้เยอะ เขาเลยทำให้พรีมเป็นคนที่ติดนิสัยอยากรู้-อยากเห็น เขาจะชอบเล่าเรื่องต่างๆ ให้เราฟัง พอโตขึ้นมาพรีมก็ชอบที่จะอยากรู้อยากเห็นไปหมด ส่วนฝั่งคุณแม่ ก็จะมีความเป็นแม่(หัวเราะ) มองอะไรก็จะละเอียดมากขึ้น อย่างในเรื่องงานบ้าน แม่จะสอนให้หัดช่วยเหลือตัวเอง การดูแลตัวเอง การใส่ใจคนอื่น

แม่จะชอบบอกว่าพรีมเหมือนพ่อ แต่พรีมว่าก็ทั้งสองคนผสมๆ กัน ถ้าใจร้อน โผงผาง ลุยๆ จะเหมือนคุณพ่อ แต่ถ้าขี้จุกจิก เจ้าระเบียบจะเหมือนคุณแม่ (หัวเราะ)”
ครอบครัวพรีม

 
สรุปแล้ว คือ เธอได้ลักษณะนิสัยจากทั้งพ่อและแม่มาคนละอย่าง สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัวสำหรับเธอ อย่างที่ใครหลายๆ คนต่างชื่นชมว่าเธอคือคนที่น่ารัก เธอเล่าต่อไปว่าครอบครัวเธอมีวิธีการเลี้ยงดูที่ค่อนข้างให้อิสระทางด้านความคิดและการตัดสินใจ นี่จึงเป็นสิ่งที่ทำให้เธอได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นในทุกช่วงของชีวิต

“ทั้งคุณพ่อ-คุณแม่ เขาจะเลี้ยงพรีมในแบบที่ไม่อยู่ในกรอบมาก ให้ได้ลองผิด-ลองถูก ให้ได้เจ็บบ้าง ให้ลองทำเอง-เจ็บเอง จะได้เรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะตัดสินใจอะไรก็แล้วแต่ พรีมจะปรึกษาพวกเขา ซึ่งเขาไม่ใช่คนที่ให้คำปรึกษาเต็มร้อย

แต่เขาจะแนะนำส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งก็จะสนับสนุนให้พรีมได้คิดด้วยตัวเอง เขาค่อนข้างเคารพการตัดสินใจของพรีม จริงๆ ทั้งสองคน คำสอนก็จะคล้ายๆ กัน จะเคารพในวิธีการทำงานของพรีม คอยสอนให้เราไม่ลืมตัวเอง เหมือนให้รู้ว่าเราเป็นใครมาจากไหน ให้รู้แบลกกาวด์ชีวิตตัวเอง ซึ่งคุณพ่อ-คุณแม่ เขาจะพยายามรักษาตรงนี้เอาไว้”

ดูเหมือนว่าสิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เราเห็นผ่านแววตาของเธอตลอดบทสนทนา คือ ความรักที่มีภายในครอบครัว และแน่นอนว่าโมเมนท์ที่มีความสุขที่สุดสำหรับเธอ คือ การได้อยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้าและเป็นตัวของตัวเองให้ดีที่สุด

“สุดท้ายแล้ว ต้องมีวันที่เราอยู่บ้านแล้วกินข้าวพร้อมกัน ต้องมีกิจกรรมบางอย่างที่ทำด้วยกัน ที่ไม่ต้องมีเรื่องของงาน หรือวงการบันเทิงมาเกี่ยวข้อง ไม่ต้องมีเรื่องของความหรูหรา ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายที่ยังคงมีความเป็นตัวของตัวเองอยู่”

ครอบครัว = ของขวัญของชีวิต

“พรีมเกิดมาก็มีพี่ชายแล้ว พี่ชายของพรีมเป็นดาวน์ซินโดรม พรีมไม่เคยมองว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติ”

สิ่งหนึ่งที่บอกเล่าตัวตนของเธอได้ชัดเจนที่สุด คือ ความรักและความผูกพันที่มีระหว่างครอบครัว อย่างที่รู้กันว่าเธอต้องดูแลครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่เสาหลักของครอบครัวแทนคุณแม่ ทว่า เธอยังเป็นน้องสาวที่แสนดี ช่วยดูแลพี่ชายที่เป็นดาวน์ซินโดรมอีกด้วย

“พรีมมองว่าพรีมไม่ได้ทำอะไรที่พิเศษเลย พี่ชายของพรีมเป็นดาวน์ซินโดรม ซึ่งเป็นโรคที่คนไทยอาจยังไม่คุ้นเคย คนส่วนใหญ่จะได้ยินคำว่าออทิสติกมากกว่า แต่ดาวน์ซินโดรมเป็นโรคที่ไม่ต้องใช้การรักษา จริงๆ พี่ชายพรีมสามารถดูแลตัวเองได้ทุกอย่าง ไม่ต้องมีการรักษาที่พิเศษ เขามีความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ทำให้เขาสื่อสารได้ช้ากว่าคนอื่นๆ เท่านั้น”

เธอเล่าให้ฟังต่อไปว่า ทุกครั้งที่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกับพี่ชาย เธอจะมีหน้าที่สำคัญในการหากิจกรรมสนุกๆ ที่ช่วยให้เกิดการพัฒนาทั้งทางร่างกายและสมอง นี่จึงเป็นความผูกพันที่มีระหว่างกันตั้งแต่ยังเด็กจนกระทั่งถึงตอนนี้

“พรีมเป็นน้อง ห่างกับเขาหนึ่งปี พรีมเกิดมาก็มีพี่ชายแล้ว พรีมไม่เคยมองว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติ เหมือนเป็นความเคยชินมากกว่าที่พรีมโตมากับพี่ ชินกับการเล่นกับพี่ วิธีการเล่นที่เล่นยังไง จะกระตุ้นเขาได้ยังไง ตั้งแต่เด็กๆ คุณแม่จะเป็นคนซีเรียสกับตรงนี้ด้วยว่า ไม่ให้คิดว่าพี่เราเป็นแบบนี้แล้วต้องปลง
พรีมและพี่ชายวัยเด็ก
 
แต่เราต้องหาวิธีการพัฒนาทางสมองและร่างกายให้เขา คุณแม่จะบอกกับพรีมตลอดว่า พี่ชายเป็นคนที่กล้ามเนื้อมือควบคุมได้ไม่เหมือนคนอื่นนะ เราต้องคอยกระตุ้นกล้ามเนื้อเขานะ แม่จะพยายามยกตัวอย่างให้พรีมลองสอนพี่ชายเล่นบอล วาดรูป หรือหากิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นการพัฒนาเขาอยู่ตลอดเวลา

พอเขาโตมาถึงตอนนี้ กลายเป็นพื้นฐานตรงนั้นก็ยังคงมีอยู่ ทุกวันนี้เป็นเขาที่ดูแลพรีมซะมากกว่า ในเรื่องของจิตใจ การเป็นห่วงใส่ใจ เช่น วันนี้พรีมไปไหน พรีมทำงานหรือเปล่า พรุ่งนี้ตื่นเช้าหรือเปล่า เขาจะคอยถามพรีมตลอด”

บทสนทนาเดินทางมาถึงตรงนี้ เราอยากให้เธอเล่าเหตุการณ์ประทับใจจากความทรงจำ ที่มีร่วมกันระหว่างเธอกับพี่ชาย เธอนิ่งคิดไม่นานก็เริ่มเล่าโมเมนท์ความสนุกที่เคยเกิดขึ้นเมื่อวัยเด็กให้เราฟังว่า เธอมีความทรงจำเกี่ยวกับการทำอาหารที่มีความสุขมากเลยทีเดียว

“พี่ชายเป็นคนชอบกินค่ะ จะมีความสุขกับการกินอาหารมาก ซึ่งพรีมกับพี่ชายจะมีโมเมนท์ตอนเด็กๆ ที่ชอบทำอาหารด้วยกัน ปั้นเส้นพาสต้าขึ้นมาเอง ตอนเด็กๆ ก็จะปั้นไปกินไป พี่ชายก็จะแซว มันเลยเป็นโมเมนท์ที่พี่น้องรู้กันสองคน เวลาที่นึกถึงมันก็มีความสุขค่ะ”

“เต้นบัลเล่ต์-ร้องเพลงแรพ” นี่แหละตัวตน!

“พรีมว่าสุดท้ายแล้ว คนเราต้องพยายามมองหากิจกรรม หรือว่ามองหาบางสิ่งที่รู้ว่าถ้าเราทำสิ่งๆ นั้น แล้วมันทำให้เรารู้สึกดี เราต้องมองหาช่องทางในการผ่อนคลายของเราที่มันไม่เกี่ยวข้องกับวงการบันเทิง อย่างพรีมชอบฟังเพลง หรือไปเที่ยว พอเราได้มีช่วงเวลาได้ทำอะไรพวกนี้ มันจะเป็นการพักผ่อนไปในตัว”

ดูเหมือนว่ากิจกรรมการท่องเที่ยวและการฟังเพลง จะเป็นสิ่งที่ใครๆ ต่างเลือกที่จะทำในช่วงเวลาที่กำลังรู้สึกว่า อยากพักผ่อนหรืออยากหลบหนีจากอะไรบางอย่าง ทว่า ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่บอกเลยว่าเป็นกิจกรรมที่อธิบายถึงตัวตนของเธอได้มากที่สุด

“พรีมเรียนบัลเล่ต์มา 6-7 ปีได้ พอมีงานละครก็เลยต้องหยุดตรงนี้ไป ตอนเด็กๆ คุณพ่อ คุณแม่ เขาจะสนับสนุนพรีมตั้งแต่อายุ 8-9 ขวบเลยว่า ยูต้องมีกีฬาหรือกิจกรรมสักอย่างทำแล้ว

เขาจะให้พรีมไปหาว่ากิจกรรมที่ชอบคืออะไร พรีมเคยเรียนว่ายน้ำก็ไม่ชอบ พอวันหนึ่งได้ดูรายการทีวีและลุกขึ้น บอกคุณแม่ว่า หนูรู้แล้วว่าจะทำอะไร หนูจะเรียนบัลเล่ต์และแจสค่ะ หลังจากนั้นก็เริ่มเรียนเลย

ทุกวันนี้อาจไม่ได้มีโอกาสได้ทำตรงนั้น แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่ชอบอยู่ ไม่มีทางลืม เพราะมันเป็นสิ่งแรกๆ ที่ทำตั้งแต่เด็ก พอหลังๆ บัลเล่ต์พรีมเริ่มแข็งแรงแล้ว ส่วนแจสพื้นฐานก็แน่นประมาณหนึ่ง พรีมเลยลองเต้นรูปแบบอื่นๆ ดู อย่างฮิพฮอพ หรือเพลงเกาหลีก็มีบ้าง”

เรียนบัลเล่ต์ตอนเด็ก
 
จากที่ฟังๆ ดูแล้ว เหมือนว่าเธอจะมีความสามารถพิเศษด้านการเต้นได้หลายอย่าง เราจึงอดถามไม่ได้ว่า แล้วการเต้นแบบไหนกันที่เธอชอบหรือคิดว่าได้เป็นตัวเองมากที่สุด

“ถ้าที่ชอบที่สุด คงเป็นบัลเล่ต์อยู่ดี จริงๆ มันยากมากเลยนะคะ ภายนอกอาจเห็นว่ายิ้ม แต่ข้างในไม่ได้หายใจ(หัวเราะ) แต่พรีมก็ไม่ได้อยากยึดเป็นอาชีพ เพราะมันมีโอกาสที่เราจะไม่ชอบสิ่งๆ นั้นแล้ว บัลเล่ต์เหมือนเป็นทางหนึ่งที่พรีมได้ผ่อนคลาย ได้อยู่กับตัวเอง ในเวลาเดียวกันก็ได้ท้าทายตัวเองและเป็นสิ่งที่เรารัก

จริงๆ แล้ว พรีมเป็นคนที่ร้องเพลงไม่ค่อยเก่ง พรีมจะรู้สึกอึดอัดเวลาที่ต้องใช้เสียง แต่พอเป็นการเต้น มันเป็นการที่พรีมได้ถ่ายทอด ได้สื่อสารบางอย่างผ่านร่างกาย พรีมสนุกกับการใช้ร่างกายในการควบคุมตัวเองได้มาก เหมือนทุกครั้งที่ได้เต้น มันทำให้พรีมรู้สึกสบายใจ-มั่นใจ เหมือนรู้ว่าเราควบคุมสิ่งนี้ได้เต็มร้อยจริงๆ”

แม้เธอจะบอกตลอดบทสนทนาว่า การร้องเพลงเป็นสิ่งที่ไม่ถนัดเอาซะเลย แต่ใครจะรู้หล่ะว่า จริงๆ แล้ว เธอชอบการร้องเพลงแรพมากทีเดียว หลังจากที่ได้แอบบอกความชอบที่ไม่ค่อยมีใครรู้ ก็ทำเอาเราแอบแปลกใจเล็กๆ

“พรีมเป็นคนไม่ชอบร้องเพลง แต่ชอบเพลงแรพ(หัวเราะ) เวลาอยู่ในรถ พรีมจะชอบเปิดเพลงแรพและฝึกร้องให้ได้ เพลงแรพเพลงแรกที่ฟังแล้วอยากแรพตาม คือ Super Base - Nicki Minaj เพลงนั้นทำให้พรีมอยากร้องตาม

พรีมทำการบ้านหนักเลยนะ ปรินต์เนื้อเพลง แบ่งวรรค ถ้าพรีมตั้งใจร้องเพลงเท่ากับการที่ตั้งใจในการร้องแรพ ป่านนี้คงร้องเพลงได้ดีมากแล้วค่ะ(หัวเราะ) หลังจากนั้นก็เริ่มย้อนกลับไปฟังเพลงแรพเก่าๆ นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยได้บอกใครเลย มีแค่ไม่กี่คนที่รู้ว่าพรีมชอบร้องเพลงแรพ(ยิ้ม)”

คนที่ใช่..ไลฟ์สไตล์ต้องคล้ายกัน!

“พรีมเป็นคนห้าวๆ ตรงไปตรงมา มีความแมนๆ อยู่ในตัว กระฉับกระเฉง พรีมเป็นคนชอบความท้าทาย อยากรู้อยากเห็น ทำอะไรก็เต็มที่ ไม่ติดสวย ทำอะไรก็ทำให้สุด ลุยก็คือลุยเต็มที่”

ทันทีที่จบประโยคคำถามว่า นิยามและตัวตนของผู้หญิงคนนี้เป็นอย่างไรกันแน่ เธอก็ตอบเราแบบที่ไม่ลังเลเลยว่า เป็นคนห้าวๆ ลุยๆ ไม่ห่วงสวย แต่แม้ว่าภายนอกเธอจะดูเป็นคนเฟรนลี่สุดๆ แต่จริงๆ แล้วเธอก็มีมุมเงียบๆ ของตัวเองเช่นกัน

“จริงๆ พรีมเป็นคนเงียบๆ โลกส่วนตัวสูงนะคะ มันอาจจะเกิดจากการที่เราทำงานกับคนเยอะๆ ด้วยค่ะ เลยทำให้ลักษณะนิสัยตรงนี้ชัดขึ้นไปอีก เหมือนเวลาที่ได้อยู่บ้าน ได้เป็นตัวเอง มันก็จะเป็นโมเมนท์ที่พรีมรีแลกซ์ เลยกลายเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงนิดหนึ่ง

นอกจากเรื่องตัวตนของเธอแล้ว เธอยังบอกอีกด้วยว่า ทุกครั้งที่คบเพื่อนหรือเลือกอยู่กับใคร เธอมักจะใช้ความรู้สึกจากการที่ได้อยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจ เป็นการบอกกับตัวเองว่า..คนนี้แหละที่อยากใช้เวลาอยู่ด้วย

 
“พรีมว่ามันขึ้นอยู่กับความสบายใจมากกว่า พรีมเคยเจอเพื่อนบางคนที่มีโลกส่วนตัวสูง กลายเป็นอยู่ด้วยกันแล้วไม่รู้สึกอึดอัด ในขณะที่บางคนมีนิสัยคล้ายกันมาก แต่พออยู่ด้วยแล้วอึดอัด พรีมจะใช้เซนส์ตัวเองเป็นหลักค่อนข้างสูง ถ้าในเรื่องเพื่อน พรีมจะวัดความรู้สึกตัวเองว่า ถ้าเราพูดคุย หรืออยู่ด้วยกันกับคนๆ นั้น แล้วรู้สึกสบายใจหรือเปล่า”

จบเรื่องเพื่อนไปแล้ว คราวนี้ขอถามถึงสเปกหนุ่มๆ ที่เข้าตา-เข้าใจพรีมบ้างดีกว่าว่า หนุ่มแบบไหนที่เธอถูกใจเป็นพิเศษ และนิสัยแบบไหนที่จะดีต่อใจสำหรับเธอ

“สเปกเหรอคะ(คิด) พรีมว่าต้องเป็นคนที่มีไลฟ์สไตล์คล้ายๆ กัน อย่าง พรีมเป็นคนชอบเล่นกีฬา หรือกีฬาเอ็กสตรีมก็มี ชอบความแอ็คทีฟ ชอบอยู่เอาท์ดอร์ ชอบลุยๆ พรีมคิดว่าอย่างน้อยต้องมีไลฟ์สไตล์ที่คล้ายกัน ต้องเป็นคนที่ลุยๆ เหมือนกัน ไปไหนไปกัน

ที่สำคัญ คือ เรื่องความคิด-มุมมอง ต้องเป็นคนที่พึ่งตัวเองได้ ต้องมีความเป็นผู้ใหญ่ เพราะด้วยความที่พรีมเป็นคนที่ดูแลตัวเองมาตลอด เลยรู้สึกว่าอย่างน้อยเขาต้องดูแลตัวเองให้ได้ก่อนที่จะมาดูแลเราหรือดูแลคนอื่น

ส่วนเรื่องเขาจะเป็นคนเงียบๆ หรือตลกๆ อันนี้แล้วแต่เลยว่าแบบไหนที่จะทำให้เราสบายใจ ส่วนเรื่องลักษณะท่าทาง หน้าตา มันเป็นเรื่องภายนอกหมดเลย พรีมว่าถ้าคนเราถูกใจที่ลักษณะนิสัย เดี๋ยวลักษณะภายนอกมันก็จะดูดีเอง”
 




เรื่อง พิมพรรณ มีชัยศรี
ภาพ กัมพล เสนสอน
ขอบคุณสถานที่ ร้าน Talk of the Tree Cafe & Restaurant
กำลังโหลดความคิดเห็น